แฟนเห็นแก่ตัว หรือเราตึงเกินไป

สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรก ไอดีตัวเองค่ะ (ไม่ได้ยืมใครมา)
ขออนุญาติเล่าเป็นเหตุการณ์ เป็นเรื่องๆเลยละกันนะคะ เพราะต้องการความคิดเห็น/มุมมอง หรือคำแนะนำจากผู้อ่านคนอื่นๆด้วย
***ขอย้ำนะคะ ไม่ใช้การโพสต์แฉแฟนเก่าแต่อย่างใด เขียนขึ้นเพื่อสอบถามความคิดเห็นและมุมมองจากหลายๆคนเท่านั้นค่ะ
   ก่อนหน้านี้เราได้ไประบายความอัดอั้นในเรื่องนี้ลงในบอร์ดๆนึงมาแล้ว แต่ไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่
   แต่ก็มีผู้อ่านใจดีเข้ามาถามถึงหัวข้อว่าเป็นเรื่องไหนที่โดนเอาเปรียบ
  เราขอคิดเองเออเองว่าปัญหาของเราเป็น "เรื่องเงิน" กับ "เรื่องแรงงาน" จากหลายๆเหตุการณ์ ดังนี้นะคะ (เราขอเล่าพร้อมวงเล็บ มุมมอง/สาเหตุที่เราทำลงไปด้วยนะ)ขอเล่าแบบละเอียดๆละกันนะคะ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำต่างๆด้วย
   เรากับแฟน(เก่า) คบกันมาปีกว่าแล้วค่ะ (ญรักญ ค่ะ) ตอนนั้นเราเป็น นศ ปี 4 ค่ะ มหาลัยในตัวเมืองนครปฐม บ้านแฟนเราอยู่ปิ่นเกล้าค่ะ เค้าอยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่ค่ะ แน่นอนค่ะเวลาเจอกัน เค้าจะเป็นฝ่ายสละเวลามาหาเราที่นครปฐม มาอยู่ด้วยครั้งหนึ่งก็สามสี่วันค่ะ (ทำงานเป็นนายหน้าขายอุปกรณืไอทีค่ะ หาซื้อเครื่องราคาต่ำกว่าตลาด แล้วขายออกไป มีเวลาว่างมาก) เรียกได้ว่ามาเฝ้าตลอด การมาของเค้าทำให้ต้องเสียโอกาสในการซื้อขายเครื่องไปบ้างในบางที (ซึ่งบางอาทิตย์ก็ไม่มีเลย) สำหรับเรา เราเห็นการเสียผลประโยชน์ในส่วนนั้น ทำให้ตลอดเวลาที่เค้ามาอยู่ด้วย เราก็ช่วยดูแลและอำนวยความสะดวกให้เค้ามากที่สุด เพื่อตอบแทนน้ำใจ ทั้งค่าน้ำมันรถ (เค้ากับเราหารคนละครึ่ง ปิ่นเกล้า-นครปฐม รถอีโคคาร์ ราวๆ 200-300฿ )ค่าข้าวกับขนมตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ เราจ่ายเกือบทั้งหมดและเกือบทุกมื้อ เสื้อผ้าที่เค้าใส่ เราเป็นคนรับผิดชอบรวมถึงอุปกรณ์ส่วนตัวทุกอย่าง มีวิถีชีวิตแบบนี้สี่ห้าเดือนค่ะ
   หลังจากนั้นเป็นช่วงที่ต้องย้ายหอพัก เพราะต้องมาฝึกงานค่ะ (ตอนเรียนปี 5)เราเลือกมาอยู่แถวๆ ศาลายาค่ะ ใกล้กว่าเดิมมาก ทั้งใกล้เค้ามากขึ้น และสะดวกกับงานช่วงเสาร์อาทิตย์ที่เรารับจ๊อบไว้ด้วย (งานเราอยู่ใน กทม)
   พอมาฝึกงาน เราซื้อมอไซค์ 1 คันค่ะ ตอนนี้คู่เรามียานพาหนะทั้ง 2และ4 ล้อ แรกๆก็ใช้ขับเฉพาะที่ใกล้ๆ เวลาจะไปทำงานก็นั่งรถโดยสารไป ไม่ก็ติดรถแฟนไปลงแถวๆบ้านเค้าแล้วต่อรถโดยสารไปอีกที
ตอนฝึกงาน เราต้องไปที่ทำงาน 5วัน/สัปดาห์ เสาร์อาทิตย์ก็มีงานพิเศษ เหมือนจะยุ่งนะคะ แต่เปล่าเลยค่ะ เราเป็น นศ ฝึกสอน รร เข้า 7 โมงกว่า เลิกเกือบๆสี่โมง แต่เราไปจริงๆ ถ้าไม่มีสอนไม่มีงาน บางที 10 โมงก็ออกมาแล้วหละ เป็นแบบนี้ 4 วัน/สัปดาห์ แฟนเราก็เหมือนเดิมค่ะ ยังเป็นฟรีแลนด์ เวลาเยอะ ออกจากที่ฝึกงานของเรา (รร)ก็มาอยู่กับแฟน ทำนั่นนี่ไป งานบ้านบ้าง วงจรระหว่างเรากับแฟนเป็นแบบนี้ตลอด 7 8 เดือนที่เราฝึกงานที่ศาลายา
แต่จุดที่มันมีปัญหามันก้อยู่ในการใช้ชีวิตแบบนั้นแหละค่ะ
   1.แรกๆแฟนเป็นคนขับรถยนต์จากปิ่นเกล้ามาหอเรา (ที่ศาลายา) เพราะเรากลับจากทำงานตอนเย็นๆวันอาทิตย์ เค้าก็กลับมาพร้อมกัน แล้วก็มาพักอยู่วันนึงบ้าง สองสามวันบ้าง ค่าน้ำมันรถก็เหมือนเดิมค่า หารสอง(แต่น้อยลง เพราะใกล้กว่านครปฐม) พอหลังๆเราขับมอไซค์คล่องขั้น เราขับจากศาลายาไปทำงาน ขากลับก็รับเค้ากลับมาด้วย ในส่วนนี้คือเส้นทางที่เราต้องผ่านอยู่แล้ว บ้านเค้าอยู่นอกเส้นทางสองสามกิโลก็ไม่เท่าไหร่ แต่พอขากลับ เพราะเค้าไม่ได้ขับรถมา แม้เราจะไม่มีธุระเข้า กทม เราก็ขับไปส่งเค้า (ด้วยมอไซ-เค้าไม่อยากนั่งรถเมล์หลายต่อ-ลำบากหรือไม่อยากจ่ายค่ารถไม่รู้ เพราะเราไปส่ง ฟรีค่ะ-เค้าพูดเอง)สองสามครั้งแรกก็ไม่อะไรค่ะ พอเริ่มนานๆเข้า เราเริ่มแซวทีเล่นทีจริงเรื่องค่าน้ำมันบ้างหละ (เพราะเรามองว่ารถเค้า เราก็ช่วยออก ทำไมรถเราไม่ช่วยออกบ้าง แม้ว่ามันจะถูกกว่ากันมาก ก็จะได้ช่วยกันประหยัดไม่ใช่เหรอ) เค้าก็ทีเล่นทีจริงมาเหมือนกันค่ะ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย
พอนานๆเข้าก้เริ่มคุยเป็นจริงๆจังๆ จนมีปากเสียงกัน เพราะต้องไปรับไปส่งกันบ่อยขึ้น เค้าก้ไม่อยากให้รถเค้ามีค่าสึกเหรอเพิ่มขี้น (เค้าพูดเอง) เราก็มองว่าประหยัดกว่า เร็วกว่า เพราะรตติด เค้าก็ยอมจ่ายเป็นครั้งคราว แบบไม่ค่อยเต็มใจ (ครั้งละไม่เกิน 30฿)
   ในส่วนของเรื่องมอไซ เนื่องด้วยความประหยัดและความเร็ว มันเลยกลายเป็นพาหนะหลักของเราทั้งคู่ไปเลย โดยเราเป็นคนขับ มีหลายๆครั้ง เค้ามาพักอยู่ที่ศาลายา แต่มีเครื่องราคาน่าสนใจอยู่อนุบ้าง อโศกบ้าง ไกลสุดก็รังสิต เราก็แว้นกันไปนะ ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน ก็ไปด้วย ในส่วนนี้เค้าก็จ่ายค่าน้ำมันไป แล้วก็หลายครั้งก็ตีเนียนไม่จ่าย
2.สืบเนื่องจากการเดินทางมาหอเราที่ค่าใช้จ่ายถูกลงกว่าตอนอยู่นครปฐมมาก แต่เราก็ยังดูแลเรื่องอาหารให้เค้าวันละสองมื้อค่ะ เช้าเที่ยง แรกๆยังปรับตัวเรื่องหอเรื่องเวลางาน ก็ซื้อเป็นโรซ่าค่ะ ฉีกซองทานได้เลยง่ายๆกับหุงข้าวไว้ บางทีก็ซื้อกับข้าวมาทำเองบ้าง แกงถุงบ้าง กลับมาตอนเที่ยงๆก็มีขนมมาให้บ่อยๆ(เค้าเป็นคนอยู่ติดห้อง/ติดบ้าน ตื่นมาก็อยู่ในชุดนอนอยู่ห้อง แทบไม่ไปไหน เราเลยต้องจัดแจงเรื่องอาหารไว้ให้) (ส่วนเค้าก็เสริชๆหาเครื่องขายเครื่อง ดูหนัง อ่านกระทู้พันทิปค่ะ)ตอนเย็นจะเป็นช่วงปาร์ตี้ค่ะ มีเวลาออกไปกินข้าวนอกบ้าน จนเกิดเป็นความเคยชิน ที่เค้าแทบไม่ต้องสนใจ/รับผิดชอบอะไรเลย (จานกินข้าวไม่ล้าง ผ้าที่ใส่ไม่ซัก)พอเราเห็นว่าเดินทางมาก็ไม่ต้องจ่าย
ขากลับก็ไปส่ง เลยขอให้ช่วยค่ากับข้าว/อาหารบ้าง เพราะเราออกเองจนถึงตอนนี้เกือบๆปีแล้วค่ะ  รับผิดชอบผ้าที่ใส่บ้าง เพราะบางช่วงยุ่งมาก เค้าก็มีท่าทางอารมณ์เสียคือไม่จ่ายนั่นแหละ เรื่องผ้าก็บอกจะเอาไปซักที่บ้าน แต่ได้แค่พูดค่ะ ทำจริงๆน้อยยยยยยยมาก เค้ามาที่นี่ตัวเปล่าค่ะกับแทปเลตโทรศัพท์ เสื้อผ้าไม่พอใส่ก็มาเอาของเราไปค่ะ บางที่ใส่กลับบ้านไป ก็ไม่ได้หวงขนาดให้ยืมไม่ได้ แต่คือ เอาไปแล้วขนหมา เห็บหมา กลิ่นเหม็นมากติดกลับมาตอนคืนตลอด ซักบ้างไม่ซักบ้าง เราเหนื่อยจากงาน ต้องมาเหนื่อยเรื่องนี้อีก พูดทีก็มีปากเสียงค่ะ เอือมระอามาก
3.การมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ สิ่งที่ตามมาคือ ค่าน้ำ-ไฟที่เพิ่มขึ้น แต่ก่อนไม่มีปัญหา เพราะอยู่หอใน จ่ายเหมารายเทอม ตอนนี้อยู่หอนอก ทั้งน้ำไฟ/เนต ก็ขอให้ช่วยออกบ้าง พอเราขอเรื่องนี้ก็ทะเลาะกัน โวยวายว่า เค้าก็มีบ้านอยู่ กทม ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยซ้ำ ไม่มีประโยชน์อะไรกับเค้าเลย หาว่าเราต้องการให้เค้ามาช่วยออกค่าหอ แต่เปล่าเลย เราขอค่าน้ำไฟในส่วนที่เค้าใช้ เพราะอย่างที่บอก เค้าอยู่ห้องบ่อยกว่าเราซะอีก ห้องเราเป็นห้องพัดลมธรรมดา เดือนๆนึงค่าไฟสามร้อยกว่าๆ แต่เค้ามีแทปเลต/โทรศัพท์ชาร์จเกือบตลอด (ของๆเราเอาไปชาร์จที่ รร )จนทะเลาะกันรุนแรงมากเค้าถึงยอมจ่ายสองสามเดือนหลังนี่แหละ ส่วนค่าอินเตอร์เนต แรกๆก็ทำเฉย จนเราบอกว่า เราใช้แบบรายเดือนอยู่แล้ว เนตหอไม่จำเป็น เราจะแจ้งยกเลิก เค้าถึงช่วยออกมาบางส่วน อีกส่วน (70%)เราก็จ่าย ในฐานะเจ้าของห้อง(เน็ตโทรศัพท์มันช้า เค้าจะเอาเนตหอ-ไวไฟ ไว้ดูหนัง)
4.ตลอดเวลาที่ผ่านมา เวลาขอให้ช่วยอะไรที่มันใหญ่ๆเราก็ตอบแทนน้ำใจ เช่นตอนย้ายหอ เค้าช่วยขนของ เราก็เลี้ยงอาหารเป็นมื้อใหญ่ๆ (หมูกระทะ บาบีก้อน เคเอฟซี สเวนเซ่น) แต่สำหรับเค้าการตอบแทนคือ ไอติมเดรี่ควินอันละ 10.- กินด้วยกัน ชานมตลาดที่เค้าชอบ สเต็กลุงหนวดข้างทาง ในส่วนนี้เราไม่ได้มองว่า มันต้องเลี้ยงแพงๆเท่ากันนะ แต่เราอยากให้ตอบแทนเรื่องอื่นเช่นช่วยงานบ้าน มีน้ำใจนั่นนี่ ไม่ใช่เห็นทุกอย่างแล้วทำเฉยแบบที่เป็นอยู่
***นี่แหละค่ะ ความอึดอัดใจที่เราสะสมมา ทุกเรื่องที่กล่าวไป ขอบอกก่อนว่ามีการคุยกันแบบดีๆแล้วทุกครั้ง ไม่ใช่อยู่ๆก็โกรธเองเลย แต่อย่างที่รู้ๆคนเรามันเปลี่ยนกันยาก ทุกวันนี้เวลาทะเลาะกันเรื่องเดิมๆ สิ่งที่เค้าบอกคือ เค้าปรับแล้ว สิ่งที่เค้าบอกปรับมีอะไรบ้างรู้มั้ยคะ เอาจานที่ตัวเองกินข้าวไปล้าง ช่วยออกค่าน้ำมันมอไซค์ (ต่อรอง/ไม่จ่ายบ้าง) เรื่องความสะอาดปรับได้บ้างคือ ไม่เอาตัวเหม็นๆขึ้นไปบนที่นอน แล้วอาบน้ำทุกครั้งที่มาที่นี่ (แต่ก่อนไม่) เรื่องการใช้กำลัง ส่วนเรื่องอื่นเหมือนเดิมค่ะ
***ระหว่างที่อยู่ด้วยกันมันมีรายจ่ายอีกเอยะมาก ที่เราเป็นคนจ่าย แล้วเค้าเป็นฝ่ายได้ประโยชน์(ค่าห้อง ค่าอาหารเวลาไปเที่ยว ค่าเสื้อผ้า ฯลฯ) ตัวเราเองไม่ชอบเอาเปรียบใคร และไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบ ทำให้เรากับเค้าทะเลาะกันเรื่องนี้ สิ่งที่เค้าเอามาเถียงคือ เค้าก็เสียเหมือนกัน แต่มันคือการเสียให้บุคคลภายนอกหรือตัวเค้าเอง(ค่าข้าว เพราะอยู่บ้านแม่ซื้อให้กิน ค่ารถ ค่าน้ำไฟอยู่บ้าน ฟรี ค่าสึกเหรอรถยนต์เค้า-ซึ่งหลังๆเราแทบไม่ไปขอความช่วยเหลืออะไรเลย แว้นตลอด)
***จากเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น และสะสมมา จนหลังๆเราเอือมระอา อยู่ด้วยความเบื่อ และเริ่มโกรธและเกลียดคำข้ออ้างต่างๆที่เค้าเอามาเถียง หลังๆมานี่ ถ้าเรามีโอกาสที่จะเอาค่าใช้จ่ายต่างๆคืนได้บ้างเราแทบไม่ลังเล เหตุการณ์ที่สำคัญคือ เรากับเค้าแว้นไปพัทยากัน ตอนนั้นเราไม่อยากไป เพราะบ่ายแล้ว แดดแรงมาก แถมนอนน้อย อันตราย แต่เพราะเค้าไปนัดลูกค้าจะซื้อเครื่องไว้ที่บางแสน เราเลยจำใจแว้นไป (เราไม่อยากให้เอารถยนต์ไป เพราะค่าน้ำมัน และก่อนหน้านี้เค้าขับไปเกิดอุบัติเหตุ ก็โทษเป็นความผิดเรา ไม่ก็เครียดร้องห่มร้องไห้เหมือนคนเสียสติ เลยเอามอไซไป)ตอนนั้นเค้าไม่มีเงินพอซื้อเครื่อง ยืมเงินเราล้วนๆ พอขากลับ เกิดมีปากเสียงกัน เราเลยจะถือเครื่องไว้ (หน้าบ้านเค้า) แล้วให้ไปหยิบเงินมาคืน เค้าจะไม่คืนเต็ม เพราะบอกว่าที่หอเราเค้าก็ตั้งแทปเลตเอาไว้ เลยจะหักตังค์เป็นค่าแทปแลต เรารู้สึกโมโห นี่คือคำพูดของคนที่ยืมเงินคนอื่นไปครึ่งหมื่น ไม่มีการเขียนสัญญาอะไรกันเลย เลยตัดสินใจ เก็บเครื่องไว้ แล้วมาขายเอง ส่วนเครื่องที่ห้อง เค้าก็แอบมาเอากลับไป เค้าเลยตราหน้าเราเป็นขโมย ซึ่งเรามองว่า เค้าจะหักเงินเราดื้อๆ ทั้งๆที่เราก้ไม่รู้เครื่องที่ตั้งอยู่หอเราราคาเท่าไหร่ ถ้าเค้าเอาเครื่องที่พึ่งซื้อมา (ราคาแพงกว่า)ไป แล้วหนีเข้าบ้านไปเฉยๆ เราไม่มีหลักฐานอะไรเอาเงินก้อนนั้นคืนได้เลย เพราะหลายๆเรื่อง ระหว่างเรากับเค้าก็ระหองระแหงกันมาตลอด เราเอาเงินส่วนต่างจากการขายเครื่องมา จริงอยู่มันคือกำไร แต่เทียบกับค่าใช้จ่ายต่างๆที่เสียไปกับเค้า ยังขาดอีกเยอะมาก
    สำหรับจุดจบของเราและเค้าตอนนี้ มันได้ข้อสรุปแล้ว ในเมื่อเรื่องความเห็นแก่ตัวต่างๆในมุมมองของเรา เค้าไม่สามารถเปลี่ยนได้ ยิ่งอยู่ยิ่งเหนื่อย เราขอเลือกที่จะเปลี่ยนคนมากกว่ารอให้เค้าเปลี่ยนนิสัย เพราะเค้าก็เคยบอกว่า กับแฟนเก่าเค้า เช่าบ้านเดือนละเกือบเจ็ดพัน น้ำไฟ ค่าอาหาร แฟนเค้าก็เป็นคนจ่าย เพราะเค้ามีบ้านอยู่ใน กทม ถ้าอยู่บ้าน (เรากับแฟนเก่าเค้า เป็นคน ตจว ต้องอยู่หอ/คอนโด)พ่อแม่ก็จ่าย คนมีความคิดแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร เราก็สุดจะทนแล้ว
   เราไม่รู้หรอกว่า สิ่งต่างๆที่เราเจอมา ปัญหามันอยู่ที่ใครกันแน่ เพราะทุกครั้งที่มีปากเสียง มันเหมือนไม่ได้ทะเลาะกันเพื่อแก้ปัญหา มันเป็นสาดอารมณ์ใส่กันมากกว่า พอเหนื่อยก็กลับมาอยู่กันเหมือนเดิม ปัญหาเดิมๆก็ทะเลาะกันอีก บ่อยครั้ง ก็เริ่มๆถอย
   สิ่งที่เค้าเชื่อและคิดอยู่ตอนนี้ คือเราเองที่ไม่ดี เราเลยอยากถามความคิดเห็นต่างๆจากหลายๆคน หลากมุมมอง แบบมีเหตุมีผล เราจะได้ปรับปรุงไปใช้กับชีวิตรักครั้งต่อไปของเรา ให้ดีขึ้น เพราะเค้าไม่ใช่แฟนคนแรก แต่เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดระหว่างเรากับแฟนคนไหน
   เรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องของ นศ อายุ 22-23 ที่เงินรายได้ส่วนใหญ่มาจากการทำงานพิเศษด้วยตนเอง พ่อแม่ช่วยจ่ายค่าเทอม และช่วยเงินรายเดือนเล็กน้อย กับนายหน้าขายอุปกรณ์อิเลคทรอนิค อายุ 26-27 ไม่รู้ว่าปัจจัยต่างๆทั้ง ภูมิหลัง การเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม มีส่วนมากน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้นบ้างมั้ย
ในส่วนของครอบครัว เราเป็นลูกคนโต พ่อแม่ทำงานทั้งคู่ เลี้ยงเราแบบฝรั่งลองผิดถูกเอง รับผิดชอบตัวเองทุกอย่าง ออกแนวปล่อยๆ ลุย
ส่วนอีกคน แม่เป็นแม่บ้าน เป็นลูกคนเล็ก แม่ทำให้ทุกอย่าง ทุกวันนี้สภาพจิตใจคนในบ้านมีความเครียดสะสมจากอาการไทรอยของพี่สาว ที่ออกมาอาละวาดคนในบ้านเสมอๆ ซึ่งแม่ไม่ยอมพาไปรักษา และเค้าต้องทนอยู่ในที่แบบนั้นเกือบทุกวัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่