###***เรื่องนี้เป็นเพียงข้อมูลเพียงน้อยนิด อาจไม่ครอบคลุมในเนื้อหาทั้งหมด แต่หวังว่าจะสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ครับ ถ้าข้อมูลผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ***###
เวลามีไข้ทำยังไงกันบ้างครับ?
ผมตรวจคนไข้ปริมาณค่อนข้างเยอะครับ ที่มาด้วยเรื่องไข้ บางคนก็สมเหตุสมผลมากที่มารพ. บางคนก็ชวนให้หมอหงุดหงิด ทั้งที่จริงๆแล้วคนไข้เค้าก็ไม่ได้ทำผิดอะไรเลยนะครับ แต่อาจเป็นเพราะมีความเข้าใจแตกต่างกันระหว่างหมอ กับคนไข้เท่านั้นเองครับ บทความนี้ผมเลยอยากแชร์ข้อมูลเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับเรื่องของไข้ครับ
ซึ่งต้องยอมรับเลยครับว่าเรื่องไข้นี่เป็นเรื่องที่พูดยากจริงๆ มันไม่มีอะไรตายตัวเลยครับ ผมจึงขอพูดคร่าวๆ เกี่ยวกับการดูแลตัวเองเบื้องต้นดังนี้นะครับ
ถ้าหากรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว หรือไม่สบายใจมากๆก็มา รพ.เถอะครับ
1.สิ่งที่ต้องมีเลยสำหรับหัวข้อนี้คือ “ปรอทวัดไข้”
ขอเถอะครับ ซื้อติดบ้านไว้สักอันครับ ปรอทวัดไข้มีตั้งแต่ราคาไม่กี่สิบบาทไปจนถึงหลักพันบาทครับ ถ้าใครไม่อยากมานั่งเล็งแทบบนปรอท ก็ซื้อแบบดิจิติลครับ ราคาประมาณ ร้อยกว่าบาทเองครับ เก็บไว้ในบ้านสักอัน รับรองมีประโยชน์มากๆแน่ๆครับ เวลาไปรพ.หมอถามรู้ได้ไงว่ามีไข้ บอกไปเลยครับ วัดไข้มาครับ ได้ 39 40 อะไรก็ว่าไป หมอจะรู้สึกว่า คนไข้คนนี้ เออ.. ใส่ใจดีเนาะ
ทีนี้ ตัวเลขเท่าไหร่ถึงเรียกว่าไข้ จริงๆ ไข้ก็เอาที่ตัวเลขมากกว่า 37.3 องศาเซลเซียสขึ้นไปครับ แต่จริงๆมันก็มีหลายตัวเลขมากครับที่บ่งชี้ว่ามีไข้ เอาง่ายๆก็ตัวเลขที่บอกไปแหละครับ
ทีนี้ก็จดเลยครับ เวลารู้สึกตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัวมีไข้ จะได้หยิบมันออกมาหนิบรักแร้ แล้วอ่านตัวเลขเลยครับ รับรอง เท่!
2.เมื่อมีไข้ทานยาลดไข้เลยครับ
เวลามีไข้ เมื่อวัดไข้กับปรอทแล้ว วิธีการดูแลตัวเองลำดับแรกเลยครับคือ การทานยาลดไข้ครับ ยาที่ว่าก็คือยา พารา(Paracetamol) นั้นแหละครับ ยานี้มีข้อห้ามน้อยมากๆครับ เอาหลักๆก็คือ คนที่เคยแพ้ยาตัวนี้ หรือ คนที่เป็นโรคตับครับ ส่วนบุคคลนอกเหนือจากนี้ สามารถทานยาพาราได้เลยครับ ทาน 500 mg 1 เม็ด ทานได้ทุก 4 ชม.เลยครับ
(สำหรับผู้ใหญ่นะครับ เด็กก็อีกขนาดนึง) สรุปวันนึงก็ทานประมาณ 6 เม็ดครับ มันจะช่วยลดไข้ ทำให้สบายตัวมากขึ้นครับ..
ข้อดีอีกอย่างก็คือ เวลาไปหาหมอ ก็จะบอกหมอได้ว่า ผมกินยาพาราไปแล้วครับ แต่ไข้มันยังไม่ลงเลยครับ
อ้อ! หลังกินไป สัก 1 ชม. ก็วัดไข้ซ้ำดูนะครับ ว่าแนวโน้มมันลงรึเปล่า แล้วก็จดบันทึกไว้ครับ
3.หาสาเหตุกันครับ
ทีนี้มาหาสาเหตุเบื้องต้นกันครับ ง่ายๆก็ดูตั้งแต่หัวจรดเท้าครับ ถามตัวเองว่า
หัว: เราปวดหัวไหม เราเจ็บตาไหม มีขี้ตาเป็นหนองไหม
คอ: เจ็บคอรึเปล่า มีน้ำมูกไหม หายใจไม่สะดวกรึเปล่า
หน้าอก: เราหายใจเหนื่อยรึเปล่า เรามีอาการหอบรึเปล่า
ท้อง: เราปวดท้องไหม เราอาเจียนรึเปล่า เราท้องเสียไหม เราถ่ายเป็นเลือด หรือเป็นมูกไหม
ฉี่: เราฉี่แสบขัดรึเปล่า ฉี่เป็นเลือดไหม
ช่องคลอด(สำหรับ หู้หญิง): เรามีตกขาวผิดปกติรึเปล่า เลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติไหม
ผิวหนัง: เรามีผื่น เรามีแผลอะไรรึเปล่า
ข้อ: เราปวดข้อ ข้อบวม แดง กดเจ็บ บ้างไหม
คร่าวๆ ก็ตามนี้ครับ ถ้าเราดูแล้วเรามี หรือเรามีอาการบางอย่างที่สงสัยว่าจะเป็นสาเหตุของไข้ ก็มารพ.เลยครับเนื่องจากจะต้องมาให้หมอพิจารณาว่าอาจจะต้องได้รับยาฆ่าเชื้อครับ ไม่งั้น ไข้ก็จะไม่หาย หรืออาจจะหายช้าครับ
ทีนี้ถ้าไม่มีที่กล่าวมาข้างต้น หรือ อาจจะมีแค่ น้ำมูก คัดจมูก ไอเล็กน้อย ซึ่งพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นหวัดครับ หายได้เอง เราอาจจะกินยาลดไข้ไปก่อน ส่วนใหญ่จะหายเลยครับ 3-4 วันก็หายแล้วครับ
4.ถ้ามีไข้แล้วไม่มีอาการอะไรเหมือนที่พูดมาเมื่อกี้เลย
กินยาลดไข้แล้วก็ยังไม่หาย ส่วนใหญ่ หมอๆจะตัดกันที่
สามวันครับ สามวันนี้นับกันเป็นชั่วโมงเลยนะครับ เอาให้
ครบ 72 ชม. ถ้าไข้มันยังไม่ลดเลย ทั้งที่เรากินยาลดไข้แล้ว ทุก 4 ชม.แล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะลงเลย มารพ.เถอะครับ อาจจะต้องมาทำการตรวจเพิ่มเติม เช่นการเจาะเลือด
เหตุผลที่ใช้เลข
3 วัน อ้างอิงจากโรคไข้เลือดออกครับ ไข้เลือดออกเนี่ยผลเลือดมันจะเปลี่ยนแปลงไปก็ต่อเมื่อโรคเข้าวันที่ 3 แล้วครับ ซึ่งถ้าเจาะเลือดก่อน
วันที่ 3 เนี่ยจะไม่สามารถบอกได้เลยครับว่าเป็นอะไรกันแน่ เจาะเจ็บตัวเปล่าๆครับ มันต้องใช้เวลาหนะครับ
เอาเป็นว่าถ้าเราดูๆแล้ว เราไม่น่าจะเป็นไรมาก ก็กินยาสังเกตอาการไปก่อน พอครบ 3 วันถ้าไข้มันยังไม่ลง ก็มาเถอะครับ
5.ทิ้งท้ายครับ
เนื่องจากว่า ไข้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากถ้ามีดังต่อไปนี้ให้มารพ.ได้เลยนะครับ ไม่ต้องไปสนใจข้อบนๆเลย
o ไข้ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี เช่นเด็กอายุ 3 เดือนเป็นไข้ ก็ให้รีบพาไปรพ.นะครับ
o ไข้ในคนที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น คนที่ได้รับยาเคมีบำบัด คนที่ได้รับยากดภูมิ คนที่เป็น AIDs
ซึ่งส่วนใหญ่คนเหล่านี้เจอหมอบ่อยๆ เค้าจะค่อนข้างรู้ตัวอยู่แล้วครับว่าต้องรีบไปรพ.
o คนที่รู้สึกว่าไข้ครั้งนี้มันแปลกๆ ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ รีบไปรพ.เลยครับอย่างน้อยมาให้หมอๆตรวจสักหน่อย
ถ้าไม่มีอะไรจะได้กลับไปสังเกตอาการอย่างสบายใจ
o คนที่กังวล ถ้าดูแลตัวเองตามข้อ 1-4 แล้วรู้สึกว่าเรายังไม่มั่นใจเลย ก็ไปรพ.ครับ
สุดท้ายอย่างที่บอกไปแล้วครับว่า เรื่องไข้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก
ที่ผมเขียนไปนั้นเป็นแค่เสี้ยวนึง ไว้สำหรับดูแลตนเองเบื้องต้น หากท่านใดสามารถดูแลตัวเองได้ดีอยู่แล้วนั่นเป็นเรื่องที่ดีมากครับ แต่สำหรับคนที่ยังไม่ทราบเลยว่าต้องทำยังไงเวลามีไข้ คนที่สงสัยว่าทำไมไปหาหมอด้วยเรื่องไข้หมอต้องหงุดหงิดด้วย หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกๆคนเข้าใจมากขึ้นนะครับ
อย่าลืมซื้อปรอทวัดไข้ติดบ้านไว้สักอันนะครับ
-----
ติดตามอ่านเรื่องราวของการพัฒนาตัวเองในทุกๆด้าน ได้ที่
FB page: https://www.facebook.com/Pay4peace
Blog: http://www.payforpeace.com/
5 ข้อที่หมออยากจะบอก... เกี่ยวกับเรื่องไข้
เวลามีไข้ทำยังไงกันบ้างครับ?
ผมตรวจคนไข้ปริมาณค่อนข้างเยอะครับ ที่มาด้วยเรื่องไข้ บางคนก็สมเหตุสมผลมากที่มารพ. บางคนก็ชวนให้หมอหงุดหงิด ทั้งที่จริงๆแล้วคนไข้เค้าก็ไม่ได้ทำผิดอะไรเลยนะครับ แต่อาจเป็นเพราะมีความเข้าใจแตกต่างกันระหว่างหมอ กับคนไข้เท่านั้นเองครับ บทความนี้ผมเลยอยากแชร์ข้อมูลเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับเรื่องของไข้ครับ
ซึ่งต้องยอมรับเลยครับว่าเรื่องไข้นี่เป็นเรื่องที่พูดยากจริงๆ มันไม่มีอะไรตายตัวเลยครับ ผมจึงขอพูดคร่าวๆ เกี่ยวกับการดูแลตัวเองเบื้องต้นดังนี้นะครับ ถ้าหากรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว หรือไม่สบายใจมากๆก็มา รพ.เถอะครับ
1.สิ่งที่ต้องมีเลยสำหรับหัวข้อนี้คือ “ปรอทวัดไข้”
ขอเถอะครับ ซื้อติดบ้านไว้สักอันครับ ปรอทวัดไข้มีตั้งแต่ราคาไม่กี่สิบบาทไปจนถึงหลักพันบาทครับ ถ้าใครไม่อยากมานั่งเล็งแทบบนปรอท ก็ซื้อแบบดิจิติลครับ ราคาประมาณ ร้อยกว่าบาทเองครับ เก็บไว้ในบ้านสักอัน รับรองมีประโยชน์มากๆแน่ๆครับ เวลาไปรพ.หมอถามรู้ได้ไงว่ามีไข้ บอกไปเลยครับ วัดไข้มาครับ ได้ 39 40 อะไรก็ว่าไป หมอจะรู้สึกว่า คนไข้คนนี้ เออ.. ใส่ใจดีเนาะ
ทีนี้ ตัวเลขเท่าไหร่ถึงเรียกว่าไข้ จริงๆ ไข้ก็เอาที่ตัวเลขมากกว่า 37.3 องศาเซลเซียสขึ้นไปครับ แต่จริงๆมันก็มีหลายตัวเลขมากครับที่บ่งชี้ว่ามีไข้ เอาง่ายๆก็ตัวเลขที่บอกไปแหละครับ
ทีนี้ก็จดเลยครับ เวลารู้สึกตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัวมีไข้ จะได้หยิบมันออกมาหนิบรักแร้ แล้วอ่านตัวเลขเลยครับ รับรอง เท่!
2.เมื่อมีไข้ทานยาลดไข้เลยครับ
เวลามีไข้ เมื่อวัดไข้กับปรอทแล้ว วิธีการดูแลตัวเองลำดับแรกเลยครับคือ การทานยาลดไข้ครับ ยาที่ว่าก็คือยา พารา(Paracetamol) นั้นแหละครับ ยานี้มีข้อห้ามน้อยมากๆครับ เอาหลักๆก็คือ คนที่เคยแพ้ยาตัวนี้ หรือ คนที่เป็นโรคตับครับ ส่วนบุคคลนอกเหนือจากนี้ สามารถทานยาพาราได้เลยครับ ทาน 500 mg 1 เม็ด ทานได้ทุก 4 ชม.เลยครับ(สำหรับผู้ใหญ่นะครับ เด็กก็อีกขนาดนึง) สรุปวันนึงก็ทานประมาณ 6 เม็ดครับ มันจะช่วยลดไข้ ทำให้สบายตัวมากขึ้นครับ..
ข้อดีอีกอย่างก็คือ เวลาไปหาหมอ ก็จะบอกหมอได้ว่า ผมกินยาพาราไปแล้วครับ แต่ไข้มันยังไม่ลงเลยครับ
อ้อ! หลังกินไป สัก 1 ชม. ก็วัดไข้ซ้ำดูนะครับ ว่าแนวโน้มมันลงรึเปล่า แล้วก็จดบันทึกไว้ครับ
3.หาสาเหตุกันครับ
ทีนี้มาหาสาเหตุเบื้องต้นกันครับ ง่ายๆก็ดูตั้งแต่หัวจรดเท้าครับ ถามตัวเองว่า
หัว: เราปวดหัวไหม เราเจ็บตาไหม มีขี้ตาเป็นหนองไหม
คอ: เจ็บคอรึเปล่า มีน้ำมูกไหม หายใจไม่สะดวกรึเปล่า
หน้าอก: เราหายใจเหนื่อยรึเปล่า เรามีอาการหอบรึเปล่า
ท้อง: เราปวดท้องไหม เราอาเจียนรึเปล่า เราท้องเสียไหม เราถ่ายเป็นเลือด หรือเป็นมูกไหม
ฉี่: เราฉี่แสบขัดรึเปล่า ฉี่เป็นเลือดไหม
ช่องคลอด(สำหรับ หู้หญิง): เรามีตกขาวผิดปกติรึเปล่า เลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติไหม
ผิวหนัง: เรามีผื่น เรามีแผลอะไรรึเปล่า
ข้อ: เราปวดข้อ ข้อบวม แดง กดเจ็บ บ้างไหม
คร่าวๆ ก็ตามนี้ครับ ถ้าเราดูแล้วเรามี หรือเรามีอาการบางอย่างที่สงสัยว่าจะเป็นสาเหตุของไข้ ก็มารพ.เลยครับเนื่องจากจะต้องมาให้หมอพิจารณาว่าอาจจะต้องได้รับยาฆ่าเชื้อครับ ไม่งั้น ไข้ก็จะไม่หาย หรืออาจจะหายช้าครับ
ทีนี้ถ้าไม่มีที่กล่าวมาข้างต้น หรือ อาจจะมีแค่ น้ำมูก คัดจมูก ไอเล็กน้อย ซึ่งพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นหวัดครับ หายได้เอง เราอาจจะกินยาลดไข้ไปก่อน ส่วนใหญ่จะหายเลยครับ 3-4 วันก็หายแล้วครับ
4.ถ้ามีไข้แล้วไม่มีอาการอะไรเหมือนที่พูดมาเมื่อกี้เลย
กินยาลดไข้แล้วก็ยังไม่หาย ส่วนใหญ่ หมอๆจะตัดกันที่สามวันครับ สามวันนี้นับกันเป็นชั่วโมงเลยนะครับ เอาให้ครบ 72 ชม. ถ้าไข้มันยังไม่ลดเลย ทั้งที่เรากินยาลดไข้แล้ว ทุก 4 ชม.แล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะลงเลย มารพ.เถอะครับ อาจจะต้องมาทำการตรวจเพิ่มเติม เช่นการเจาะเลือด
เหตุผลที่ใช้เลข 3 วัน อ้างอิงจากโรคไข้เลือดออกครับ ไข้เลือดออกเนี่ยผลเลือดมันจะเปลี่ยนแปลงไปก็ต่อเมื่อโรคเข้าวันที่ 3 แล้วครับ ซึ่งถ้าเจาะเลือดก่อนวันที่ 3 เนี่ยจะไม่สามารถบอกได้เลยครับว่าเป็นอะไรกันแน่ เจาะเจ็บตัวเปล่าๆครับ มันต้องใช้เวลาหนะครับ
เอาเป็นว่าถ้าเราดูๆแล้ว เราไม่น่าจะเป็นไรมาก ก็กินยาสังเกตอาการไปก่อน พอครบ 3 วันถ้าไข้มันยังไม่ลง ก็มาเถอะครับ
5.ทิ้งท้ายครับ
เนื่องจากว่า ไข้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากถ้ามีดังต่อไปนี้ให้มารพ.ได้เลยนะครับ ไม่ต้องไปสนใจข้อบนๆเลย
o ไข้ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี เช่นเด็กอายุ 3 เดือนเป็นไข้ ก็ให้รีบพาไปรพ.นะครับ
o ไข้ในคนที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น คนที่ได้รับยาเคมีบำบัด คนที่ได้รับยากดภูมิ คนที่เป็น AIDs
ซึ่งส่วนใหญ่คนเหล่านี้เจอหมอบ่อยๆ เค้าจะค่อนข้างรู้ตัวอยู่แล้วครับว่าต้องรีบไปรพ.
o คนที่รู้สึกว่าไข้ครั้งนี้มันแปลกๆ ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ รีบไปรพ.เลยครับอย่างน้อยมาให้หมอๆตรวจสักหน่อย
ถ้าไม่มีอะไรจะได้กลับไปสังเกตอาการอย่างสบายใจ
o คนที่กังวล ถ้าดูแลตัวเองตามข้อ 1-4 แล้วรู้สึกว่าเรายังไม่มั่นใจเลย ก็ไปรพ.ครับ
สุดท้ายอย่างที่บอกไปแล้วครับว่า เรื่องไข้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ที่ผมเขียนไปนั้นเป็นแค่เสี้ยวนึง ไว้สำหรับดูแลตนเองเบื้องต้น หากท่านใดสามารถดูแลตัวเองได้ดีอยู่แล้วนั่นเป็นเรื่องที่ดีมากครับ แต่สำหรับคนที่ยังไม่ทราบเลยว่าต้องทำยังไงเวลามีไข้ คนที่สงสัยว่าทำไมไปหาหมอด้วยเรื่องไข้หมอต้องหงุดหงิดด้วย หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกๆคนเข้าใจมากขึ้นนะครับ
อย่าลืมซื้อปรอทวัดไข้ติดบ้านไว้สักอันนะครับ
-----
ติดตามอ่านเรื่องราวของการพัฒนาตัวเองในทุกๆด้าน ได้ที่
FB page: https://www.facebook.com/Pay4peace
Blog: http://www.payforpeace.com/