คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
สิ่งที่พอทำได้ จึงไม่ใช่การไปสร้างเครื่องฟอกอากาศให้ทุกคน
แต่คือการฟอกอากาศให้บริสุทธิ์พอ สำหรับให้ตัวเราเองและคนในบ้านได้หายใจก่อน
วิธีการโดยทั่วไปก็คือ ต้องจำกัดพื้นที่ของอากาศก่อน โดยปิดห้องปิดประตูหน้าต่าง
จากนั้นก็เปิดเครื่องฟอกอากาศที่สามารถกรองฝุ่นละเอียดได้
เพื่อกรองอากาศในห้องให้สะอาด แล้วก็ไปหายใจอยู่ในห้องนั้น
เครื่องฟอกอากาศ/เครื่องกรองอากาศ ที่สามารถดักจับฝุ่นควันไฟพวกนี้ได้
จะต้องเป็นแบบมีกรองละเอียด Hepa Filter ขึ้นไป
ซึ่งราคาในเมืองไทยจะตกอยู่เครื่องละเกือบหมื่น จนถึงหลายหมื่นบาท
และยังต้องคอยเปลี่ยนตัวกรองอากาศอยู่เรื่อยๆอีก (Hepa Filter ไม่เหมาะเอาไปไปล้างน้ำใช้ซ้ำ)
หรือจะใช้วิธีอื่นที่ประหยัดงบกว่านั้น คือการใช้น้ำ / ความชื้นเข้าสู้
เพราะการใช้ความชื้นเข้าสู้นี้ คืออาวุธในธรรมชาติที่ใช้ต่อกรกับฝุ่นหมอกควันไฟได้โดยตรง
แต่ถ้าทำกับห้องปิดช่วงกลางวัน อาจทำให้ห้องรู้สึกอบอ้าว ก็ให้ใช้แอร์ช่วยลดความชื้นเป็นระยะๆ
ถ้าทำกับห้องเปิด มีทางอากาศถ่ายเท ก็จะยังสบายตัวอยู่ แต่ประสิทธิภาพการลดฝุ่นละอองในห้องก็จะลดลงไป
อย่างง่ายที่สุด คือเอาผ้าชุบน้ำเช็ดพื้นห้องบ่อยๆ
ได้ทั้งเช็ดฝุ่นเก่าออกไป และได้เติมความชื้นใหม่ให้ห้อง
วิธีนี้ประหยัดเงิน แต่ก็ได้ผลน้อย
วิธีต่อมาคือ สร้างหัวพ่นน้ำแบบละอองฝอยละเอียด แล้วโปรยละอองน้ำให้มีพื้นที่สัมผัสกับอากาศให้นานที่สุด
ถ้าเจ้าของกระทู้ คิดอยากจะสร้างหอสูงกรองอากาศสำหรับสู้ฝุ่นควันไฟ
ก็แนะนำให้ประดิษฐ์หอติดหัวพ่นหมอกอย่างนี้แหละ ให้มันคอยพ่นน้ำเป็นละอองฝอยลงมาก็พอแล้ว
ภาพของคุณคุ้มข้าวกล้อง จากกระทู้ปี 2558 DIY ที่พ่นละอองหมอกน้ำ งบ 40 บาท สู้ภาวะหมอกควันภาคเหนือ
ถ้าใช้หัวพ่นแบบที่แนะนำ ด้วยแรงดันน้ำประปาธรรมดา หนึ่งหัวพ่นจะใช้น้ำประมาณนาทีละแก้ว/ ไม่ถึง 150 ml นับว่าใช้น้ำได้ประหยัดและคุ้มค่ามาก
เมืองเชียงใหม่สมัยผู้ว่าคนก่อนๆ เวลามีปัญหาหมอกควันก็เคยมีการตั้งจุดพ่นละอองน้ำอย่างนี้นะ แต่น่าจะเป็นหัวพ่นเหล็กแรงดันสูงต่อตรงกับปั๊มน้ำ ค่าใช้จ่ายเป็นหมื่นแต่ได้ละอองน้ำที่ละเอียดโดนตัวไม่เปียก
เห็นเคยทำไว้ตามสะพานลอย กับสองข้างสะพานนวรัฐ
ทำเรื่องง่ายๆ พื้นๆ แค่นี้แหละ แต่เทียบแล้วคุ้มค่าและได้ผลในการกรองฝุ่นควันออกจากอากาศดีที่สุดแล้ว
(ส่วนที่เอาน้ำขนขึ้นเครื่องบินไปโปรยบนฟ้าเพื่ออวดชาวบ้าน หรือเอารถบรรทุกน้ำขับพ่นน้ำไปทั่วเมืองอย่างทุกปีๆ นั่นไร้สาระและสิ้นเปลืองทั้งน้ำและค่าใช้จ่ายมาก แค่ไอเสียของเครื่องยนต์ที่บรรทุกน้ำไปพ่นก็เกิดควันใหม่ขึ้นมากกว่าน้ำที่บรรทุกมาจะชะออกได้แล้ว ลงทุนไม่คุ้มต่อผลอย่างเทียบกันไม่ได้เลย)
หรือมีอีกวิธีหนึ่ง ลงทุน แต่ไม่แพงเท่าเครื่องกรองอากาศ
ก็คือใช้พัดลมไอน้ำ /พัดลมไอเย็น
ในภาพเป็นพัดลมไอน้ำรุ่นโบราณ หาซื้อไม่ได้แล้ว
ใช้คลื่นเสียงอัตร้าโซนิคสร้างไอน้ำ สามารถแยกเปิดใช้งานเฉพาะส่วนไอน้ำได้โดยไม่ต้องเปิดพัดลม
ส่วนพัดลมไอน้ำรุ่นใหม่ๆที่มีขายปัจจุบัน เห็นใช้วิธีพ่นน้ำแล้วเอาลมเป่า จึงต้องเปิดพัดลมให้ทำงานไปด้วยเสมอ
ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2,500 - 3,000 บาทขึ้นไป
พัดลมไอน้ำเติมความชื้นให้อากาศได้ค่อนข้างมาก
พัดลมไอเย็น ใช้น้ำเวียนไปรดผ่านแผงทำความเย็น
อาศัยหลักการระเหยของน้ำช่วยดึงความร้อนออกไปด้วย ทำให้อากาศที่ผ่านออกมาเย็นลง
ราคา 4-5,000 บาทขึ้นไป ถ้าสถานที่นั้นมีความชื้นมาก การทำความเย็นจะลดลงตาม
พัดลมไอเย็น ปล่อยความชื้นออกมาน้อยกว่าพัดลมไอน้ำ
แต่ทั้งพัดลมไอน้ำ และพัดลมไอเย็น ก็นับว่าเครื่องมีขนาดใหญ่เทอะทะอยู่
ทำให้นึกไปถึงอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่ง ที่ทำงานได้คล้ายๆกัน
ชื่อว่าเครื่อง Humidifier หรือเครื่องเติมความชื้นในอากาศ
เครื่องนี้จะสร้างไอน้ำด้วยคลื่นเสียงอัตร้าโซนิค
สามารถปล่อยไอน้ำออกมาเรื่อยๆ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดพัดลมก็ได้
เครื่องจึงมีขนาดเล็ก และราคาถูกกว่าพัดลมไอน้ำ
โดยตกเครื่องละ 700 - 1,000 กว่าๆ (แบบใส่น้ำ 2 ลิตร / ซื้อในเน็ท) ใช้น้ำก็ประหยัดสุด เติมน้ำสองลิตรเปิดสร้างไอน้ำได้ทั้งวัน ดูจะเป็นตัวเลือกที่ใช้น้ำคุ้มค่าที่สุดแล้ว
จากที่ทดลองตั้งไว้บนที่สูงๆ เช่นริมขอบตู้ขอบโต๊ะ ไอน้ำจะได้สัมผัสอากาศนานขึ้น เปิดเพียงไม่นานก็จะรู้สึกว่าหายใจคล่องขึ้น อาการแสบคอแสบตาเพราะระคายเคืองควันไฟหายไป อากาศในห้องมีคุณภาพดีขึ้นอย่างรู้สึกได้
เครื่องที่ใช้อยู่ก็ปล่อยไอน้ำได้ดี แต่ไอน้ำปล่อยไม่ไกลเท่าไหร่ จึงควรเก็บของรอบๆเครื่องออก จะได้ไม่โดนชื้นเกินไป กับสายไฟสั้นไปนิด
เครื่อง Humidifier นี้เมืองไทยไม่ค่อยรู้จัก และที่มีขายโดยมากก็เป็นแบบแฟนซี
แต่ที่เมืองนอกจะมีใช้กันเกือบทุกบ้าน โดยจะเปิดเครื่องนี้ไว้ตลอดช่วงฤดูหนาวที่มีการใช้ฮีทเตอร์
ป้องกันไม่ให้อากาศในห้องแห้งจนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้ง จนอาจผิวแตกเป็นแผลได้
เมืองไทยเห็นมีคนซื้อมาเปิดใช้ในห้องแอร์เพื่อป้องกันอากาศแห้ง/ผิวแห้ง เช่นกัน
หากใครมีหัวการตลาดดีๆ ลองชูประเด็นเครื่องนี้ สำหรับคนที่มีกำลังซื้อเครื่องกรองอากาศราคาหลายหมื่นไม่ไหว
เพียงเอาเครื่องไปเปิดไว้ในห้อง ก็จะได้ไอน้ำออกมาสู้ฝุ่นหมอกควันได้
เอาไปเปิดในห้องแอร์ก็ได้ กินไฟเพิ่มขึ้นนิดเดียว แต่อากาศในห้องจะสะอาดขึ้น (แผ่นกรองในแอร์ ดักฝุ่นควันเล็กๆไม่ได้เลย)
อย่างนี้ก็อาจจะขายดีไม่น้อย เพราะจากนี้ไปคนภาคเหนือคงจะต้องเผชิญกับสภาวะหมอกควันไฟที่รุนแรงมากขึ้นทุกปี อย่างหลีกหนีไม่พ้นแล้ว
เรื่องอย่างนี้บางทีก็ต้องตัวใครตัวมัน
ไม่อยากเจอมลภาวะแต่ก็ต้องเจอ
หาวิธีที่เหมาะสมเพื่อดูแลสุขของตนให้ดีครับ
แต่คือการฟอกอากาศให้บริสุทธิ์พอ สำหรับให้ตัวเราเองและคนในบ้านได้หายใจก่อน
วิธีการโดยทั่วไปก็คือ ต้องจำกัดพื้นที่ของอากาศก่อน โดยปิดห้องปิดประตูหน้าต่าง
จากนั้นก็เปิดเครื่องฟอกอากาศที่สามารถกรองฝุ่นละเอียดได้
เพื่อกรองอากาศในห้องให้สะอาด แล้วก็ไปหายใจอยู่ในห้องนั้น
เครื่องฟอกอากาศ/เครื่องกรองอากาศ ที่สามารถดักจับฝุ่นควันไฟพวกนี้ได้
จะต้องเป็นแบบมีกรองละเอียด Hepa Filter ขึ้นไป
ซึ่งราคาในเมืองไทยจะตกอยู่เครื่องละเกือบหมื่น จนถึงหลายหมื่นบาท
และยังต้องคอยเปลี่ยนตัวกรองอากาศอยู่เรื่อยๆอีก (Hepa Filter ไม่เหมาะเอาไปไปล้างน้ำใช้ซ้ำ)
หรือจะใช้วิธีอื่นที่ประหยัดงบกว่านั้น คือการใช้น้ำ / ความชื้นเข้าสู้
เพราะการใช้ความชื้นเข้าสู้นี้ คืออาวุธในธรรมชาติที่ใช้ต่อกรกับฝุ่นหมอกควันไฟได้โดยตรง
แต่ถ้าทำกับห้องปิดช่วงกลางวัน อาจทำให้ห้องรู้สึกอบอ้าว ก็ให้ใช้แอร์ช่วยลดความชื้นเป็นระยะๆ
ถ้าทำกับห้องเปิด มีทางอากาศถ่ายเท ก็จะยังสบายตัวอยู่ แต่ประสิทธิภาพการลดฝุ่นละอองในห้องก็จะลดลงไป
อย่างง่ายที่สุด คือเอาผ้าชุบน้ำเช็ดพื้นห้องบ่อยๆ
ได้ทั้งเช็ดฝุ่นเก่าออกไป และได้เติมความชื้นใหม่ให้ห้อง
วิธีนี้ประหยัดเงิน แต่ก็ได้ผลน้อย
วิธีต่อมาคือ สร้างหัวพ่นน้ำแบบละอองฝอยละเอียด แล้วโปรยละอองน้ำให้มีพื้นที่สัมผัสกับอากาศให้นานที่สุด
ถ้าเจ้าของกระทู้ คิดอยากจะสร้างหอสูงกรองอากาศสำหรับสู้ฝุ่นควันไฟ
ก็แนะนำให้ประดิษฐ์หอติดหัวพ่นหมอกอย่างนี้แหละ ให้มันคอยพ่นน้ำเป็นละอองฝอยลงมาก็พอแล้ว
ภาพของคุณคุ้มข้าวกล้อง จากกระทู้ปี 2558 DIY ที่พ่นละอองหมอกน้ำ งบ 40 บาท สู้ภาวะหมอกควันภาคเหนือ
ถ้าใช้หัวพ่นแบบที่แนะนำ ด้วยแรงดันน้ำประปาธรรมดา หนึ่งหัวพ่นจะใช้น้ำประมาณนาทีละแก้ว/ ไม่ถึง 150 ml นับว่าใช้น้ำได้ประหยัดและคุ้มค่ามาก
เมืองเชียงใหม่สมัยผู้ว่าคนก่อนๆ เวลามีปัญหาหมอกควันก็เคยมีการตั้งจุดพ่นละอองน้ำอย่างนี้นะ แต่น่าจะเป็นหัวพ่นเหล็กแรงดันสูงต่อตรงกับปั๊มน้ำ ค่าใช้จ่ายเป็นหมื่นแต่ได้ละอองน้ำที่ละเอียดโดนตัวไม่เปียก
เห็นเคยทำไว้ตามสะพานลอย กับสองข้างสะพานนวรัฐ
ทำเรื่องง่ายๆ พื้นๆ แค่นี้แหละ แต่เทียบแล้วคุ้มค่าและได้ผลในการกรองฝุ่นควันออกจากอากาศดีที่สุดแล้ว
(ส่วนที่เอาน้ำขนขึ้นเครื่องบินไปโปรยบนฟ้าเพื่ออวดชาวบ้าน หรือเอารถบรรทุกน้ำขับพ่นน้ำไปทั่วเมืองอย่างทุกปีๆ นั่นไร้สาระและสิ้นเปลืองทั้งน้ำและค่าใช้จ่ายมาก แค่ไอเสียของเครื่องยนต์ที่บรรทุกน้ำไปพ่นก็เกิดควันใหม่ขึ้นมากกว่าน้ำที่บรรทุกมาจะชะออกได้แล้ว ลงทุนไม่คุ้มต่อผลอย่างเทียบกันไม่ได้เลย)
หรือมีอีกวิธีหนึ่ง ลงทุน แต่ไม่แพงเท่าเครื่องกรองอากาศ
ก็คือใช้พัดลมไอน้ำ /พัดลมไอเย็น
ในภาพเป็นพัดลมไอน้ำรุ่นโบราณ หาซื้อไม่ได้แล้ว
ใช้คลื่นเสียงอัตร้าโซนิคสร้างไอน้ำ สามารถแยกเปิดใช้งานเฉพาะส่วนไอน้ำได้โดยไม่ต้องเปิดพัดลม
ส่วนพัดลมไอน้ำรุ่นใหม่ๆที่มีขายปัจจุบัน เห็นใช้วิธีพ่นน้ำแล้วเอาลมเป่า จึงต้องเปิดพัดลมให้ทำงานไปด้วยเสมอ
ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2,500 - 3,000 บาทขึ้นไป
พัดลมไอน้ำเติมความชื้นให้อากาศได้ค่อนข้างมาก
พัดลมไอเย็น ใช้น้ำเวียนไปรดผ่านแผงทำความเย็น
อาศัยหลักการระเหยของน้ำช่วยดึงความร้อนออกไปด้วย ทำให้อากาศที่ผ่านออกมาเย็นลง
ราคา 4-5,000 บาทขึ้นไป ถ้าสถานที่นั้นมีความชื้นมาก การทำความเย็นจะลดลงตาม
พัดลมไอเย็น ปล่อยความชื้นออกมาน้อยกว่าพัดลมไอน้ำ
แต่ทั้งพัดลมไอน้ำ และพัดลมไอเย็น ก็นับว่าเครื่องมีขนาดใหญ่เทอะทะอยู่
ทำให้นึกไปถึงอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่ง ที่ทำงานได้คล้ายๆกัน
ชื่อว่าเครื่อง Humidifier หรือเครื่องเติมความชื้นในอากาศ
เครื่องนี้จะสร้างไอน้ำด้วยคลื่นเสียงอัตร้าโซนิค
สามารถปล่อยไอน้ำออกมาเรื่อยๆ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดพัดลมก็ได้
เครื่องจึงมีขนาดเล็ก และราคาถูกกว่าพัดลมไอน้ำ
โดยตกเครื่องละ 700 - 1,000 กว่าๆ (แบบใส่น้ำ 2 ลิตร / ซื้อในเน็ท) ใช้น้ำก็ประหยัดสุด เติมน้ำสองลิตรเปิดสร้างไอน้ำได้ทั้งวัน ดูจะเป็นตัวเลือกที่ใช้น้ำคุ้มค่าที่สุดแล้ว
จากที่ทดลองตั้งไว้บนที่สูงๆ เช่นริมขอบตู้ขอบโต๊ะ ไอน้ำจะได้สัมผัสอากาศนานขึ้น เปิดเพียงไม่นานก็จะรู้สึกว่าหายใจคล่องขึ้น อาการแสบคอแสบตาเพราะระคายเคืองควันไฟหายไป อากาศในห้องมีคุณภาพดีขึ้นอย่างรู้สึกได้
เครื่องที่ใช้อยู่ก็ปล่อยไอน้ำได้ดี แต่ไอน้ำปล่อยไม่ไกลเท่าไหร่ จึงควรเก็บของรอบๆเครื่องออก จะได้ไม่โดนชื้นเกินไป กับสายไฟสั้นไปนิด
เครื่อง Humidifier นี้เมืองไทยไม่ค่อยรู้จัก และที่มีขายโดยมากก็เป็นแบบแฟนซี
แต่ที่เมืองนอกจะมีใช้กันเกือบทุกบ้าน โดยจะเปิดเครื่องนี้ไว้ตลอดช่วงฤดูหนาวที่มีการใช้ฮีทเตอร์
ป้องกันไม่ให้อากาศในห้องแห้งจนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้ง จนอาจผิวแตกเป็นแผลได้
เมืองไทยเห็นมีคนซื้อมาเปิดใช้ในห้องแอร์เพื่อป้องกันอากาศแห้ง/ผิวแห้ง เช่นกัน
หากใครมีหัวการตลาดดีๆ ลองชูประเด็นเครื่องนี้ สำหรับคนที่มีกำลังซื้อเครื่องกรองอากาศราคาหลายหมื่นไม่ไหว
เพียงเอาเครื่องไปเปิดไว้ในห้อง ก็จะได้ไอน้ำออกมาสู้ฝุ่นหมอกควันได้
เอาไปเปิดในห้องแอร์ก็ได้ กินไฟเพิ่มขึ้นนิดเดียว แต่อากาศในห้องจะสะอาดขึ้น (แผ่นกรองในแอร์ ดักฝุ่นควันเล็กๆไม่ได้เลย)
อย่างนี้ก็อาจจะขายดีไม่น้อย เพราะจากนี้ไปคนภาคเหนือคงจะต้องเผชิญกับสภาวะหมอกควันไฟที่รุนแรงมากขึ้นทุกปี อย่างหลีกหนีไม่พ้นแล้ว
เรื่องอย่างนี้บางทีก็ต้องตัวใครตัวมัน
ไม่อยากเจอมลภาวะแต่ก็ต้องเจอ
หาวิธีที่เหมาะสมเพื่อดูแลสุขของตนให้ดีครับ
แสดงความคิดเห็น
ชาวพันทิปช่วยผมออกแบบหอกรองอากาศหน่อย
แม้ว่ามันจะเป็นแค่ช่วงเวลาก่อนหน้าร้อน แต่ก็สร้างผลกระทบ
ทางสุขภาพมิใช่น้อย เช่นหอบหืด โรคหัวใจเป็นต้น
จริงๆแล้วปัญหานี้เหมือนจะแก้ไม่ได้ ที่ผ่านมากิจกรรมต่างๆ
เช่นพ่นน้ำตามถนนพูดได้ว่า
เป็นปฏิบัติการจิตวิทยามากกว่าได้ผลจริง
ทางออกที่ทำได้ตอนนี้คือสร้างหอกรองอากาศขนาดยักษ์
ซึ่งมีหลายแบบ อย่างเช่นแบบของฮอลแลนด์ตามในภาพ
แต่เนื่องจากประเทศไทย มลพิษหนักมากๆๆและทุนน้อย
ผมอยากทำหอกรองอากาศอย่างง่าย โดยใช้ความร้อนจากแสงอาทิตย์
เป็นตัวขับดันอากาศผ่านไส้กรองอากาศ โดยสร้างเป็นหอขนาดยักษ์
แต่ทำด้วยวัสดุราคาถูกเช่นผ้าใบ เหมือนในรูป
ประมาณว่าคล้ายๆเอาผ้าใบขนาดใหญ่ไปคลุมเสาโทรศัพท์
โดยเวลาเกิดพายุ หรือกลางคืนอาจม้วนเก็บทางด้านข้าง
เนื่องจากผมไม่ใช่วิศวกร
อยากให้เพื่อนสมาชิกช่วยออกแบบหอที่ถูกหลักวิศวกรรมด้วย
ประมาณว่าตั้งอำเภอละเครื่อง
หรือใครจะช่วยออกแบบส่วนกรองอากาศด้วยก็ยิ่งดี