กระทู้นี้เป็น Customer Review แรกเลยใน Pantip ยังไงก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ
ตอนนี้แฟนพันธุ์แท้สายซูชิคงรู้กันไปทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว ว่า “เอ็นโดซูชิ (Endo Sushi)” ร้านซูชิเจ้าดังจากเมืองโอซาก้าที่พี่น้องชาวไทยเราเครซี่มากๆ เค้ามาเปิดสาขาในเมืองไทย พอเรื่องนี้รู้ถึงหน้า feed facebook ของอีพริ้งกับยัยหมวยเท่านั้นล่ะ ต่อมสงสัยของเราทั้งคู่ก็ทำงานทันที ว่าทำม๊ายร้านซูชิเก่าแก่อายุร้อยกว่าปี (เปิดตั้งแต่ปี 1907) ถึงตัดสินใจมาเปิดสาขาในเมืองไทย แล้วใครกันที่จะมาทำหน้าที่หัวหน้าพ่อครัวที่คอยดูแลรสชาติและคุณภาพซูชิเจ้าดังนี้ให้ยังคงอร่อยเหมือนไปกินที่โอซาก้า
สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก Endo Sushi เจ้าดังแห่งโอซาก้า อีพริ้งรบกวนให้ไปเตรียมตัวที่ blog นี้ก่อนเลยครัส
http://wp.me/p6rcdI-F
เอาล่ะ !! ไม่พูดพล่ามทำเพลงแล้ว วันนี้เราทั้งคู่ขอรับหน้าที่มาไขข้อสงสัยให้เพื่อนๆ ได้ถึงบ้างอ้อกันสักที ป่ะ ไปเยือนร้าน “เอ็นโดซูชิ” กันเถอะ
จากข้อมูลที่ทราบมาว่าร้านเอ็นโดซูชิ มาเปิดสาขาอยู่ที่ชั้น 2 ตึก The Taste ปากซอยทองหล่อ 11 ถ้านับมาจนถึงวันที่ไปชิม (1 เม.ย. 59) ก็เป็นเวลา 1 เดือนกับอีก 1 วันพอดี (อันนี้ถามเอาจากพ่อครัวชาวญี่ปุ่นนะ) การเดินทางมายังร้านก็แสนง่าย จะขับรถมาเอง จะนั่งแท๊กซี่มา หรือจะนั่งรถไฟฟ้ามาต่อรถมอเตอร์ไซต์ก็ตามอัธยาศัยนะจ๊ะ ถ้าขับรถมาเองก็มีที่จอดรองรับประมาณนึงนะไม่เยอะมาก มาทานแล้วก็ประทับตราจอดรถที่ร้านได้ครับ
ร้านเปิดให้บริการวันอังคาร – อาทิตย์ หยุดวันจันทร์
แต่ละวันจะแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลานะครับ (ถ้าจะไปดูเวลาดีๆ ด้วยนะครับ)
เบอร์โทรร้าน : 0 2712 5211
- รอบเช้า 11.30 – 14.00 น. (รอบนี้คนยังไม่ค่อยแน่นนะครับ)
- รอบค่ำ 17:30 – 22:30 น. (แนะนำให้โทรมาจองก่อนครับ คนเยอะมาก)
หลังจากเราทั้งคู่ขับรถเข้ามาจอดเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นลิฟท์หรือบันได (แล้วแต่ความขยัน) ขึ้นไปที่ชั้น 2 ได้เลยครับ พอออกมาจากลิฟท์ก็อยู่ขวามือเลย ร้านใหญ่โตคนละเรื่องกับที่โอซาก้าเลยครับคุณเอ๋ย!!!
พื้นที่ในร้านแบ่งออกเป็น 3 ส่วนนะครับ คือ ส่วนบาร์ซูชิ / ส่วนโต๊ะสำหรับนั่งทานเป็นกลุ่มเล็กๆ 2-4 คน / และส่วนที่เป็นห้องใหญ่สำหรับหมู่คณะ แต่วันนี้อีพริ้งกับยัยหมวยอยากมาถ่ายรูปพร้อมรีวิว เราเลยเลือกนั่งตรงบาร์ซูชิเลย เรียกว่าสบตาพ่อครัวกันเลยเชียล่ะ 55555
บรรยากาศในร้านก็โปร่งสบายดีครับ ไม่แออัด ไม่ต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีกันแล้ว สอบถามจากพนักงานได้ทราบว่าถ้ามารอบเช้าคนจะน้อยกว่ารอบค่ำ เรียกว่าถ้ามารอบค่ำนี่ต้องโทรจองและต้องต่อแถวกันเลยครับ ส่วนอีพริ้งกับยัยหมวยโทรมาสอบถามก่อนแล้ว เราเลยตกลงจองโต๊ะช่วงกลางวันแทนครับ
แต่... เดี๋ยวก่อน!!! ทันทีที่เราทั้งคู่เห็นหัวหน้าพ่อครัวเท่านั้นล่ะ สิ่งที่เราสงสัยก็ถูกขจัดไปในทันที ก็หัวหน้าพ่อครัวคนนี้ คือคนเดียวกับรองหัวหน้าพ่อครัวที่สาขาโอซาก้าที่เราเคยไปทานนั่นเอง!!! พอเจอกันเท่านั้นแหล่ะ อีพริ้งรีบเอารูปที่เคยถ่ายคู่กับเค้ามาโชว์ทันที จากนั้นบรรยากาศและรอยยิ้มแห่งมิตรภาพก็เริ่มก่อเกิดขึ้นเบาๆ
เคยไปขอเค้าถ่ายรูปด้วย ที่ร้านสาขาโอซาก้า
พี่เค้าบอกว่าเค้าชอบรูปนี้
โชคดีที่หัวหน้าพ่อครัวพอจะพูดภาษาอังกฤษได้บ้างจึงได้ทราบว่าร้านที่โอซาก้ายังอยู่ดีนะครับ 5555 ส่วนร้านที่นี่เป็นของนักธุรกิจท่านนึงไปติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์มาเปิดในไทย (ไม่ทราบว่าใคร แต่คิดว่าเค้าคงเห็นโอกาสในการทำตลาด) โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องมีตัวแทนจาก Endo Sushi ที่ญี่ปุ่น มาควบคุมมาตรฐานด้านรสชาติให้ไม่ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับ ซึ่งวัตถุดิบหลายตัวก็ทำการ import มาจากญี่ปุ่นด้วยมาตรฐานเดียวกับที่นู่นครับ ดังนั้นใครจะมาทานก็สบายใจได้เลย
เราลองถามหัวหน้าพ่อครัวเล่นๆ ว่าเคยมาเมืองไทยไหม แล้วจะอยู่เมืองไทยอีกนานไหม ก็ได้คำตอบว่า “มาเมืองไทยครั้งแรกเลย พาภรรยามาด้วย และหวังว่าคงจะได้อยู่เมืองไทยนานเท่านาน (เค้าบอกว่า Forever น่ะนะ)” ก่อนจะได้คำตอบว่าควรจะอยู่นานเท่านานไหม เรามาดูรสชาติกันก่อนครับว่าผ่านหรือเปล่า
ว่าแล้วก็มาดูเมนูกันครับ เท่าที่ดูคร่าวๆ ก็พบว่าคล้ายกับที่สาขาโอซาก้าเลย โดยเฉพาะ Sushi Set ยอดนิยม A, B, C, D นี่มากันครบ นอกจากนี้ยังมีเมนูซูชิตามสั่ง (Sushi A La Carte) ให้เราเลือกด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีเมนูเซ็ตปลาดิบ (Sashimi Set) เมนูปลาดิบตามสั่ง (Sushi A La Carte) แล้วก็เมนูตามสั่งอื่นๆ (A La Carte) ให้เลือกทานด้วยครับ
เริ่มจากประวัติร้านเลย
Sushi Set A, B, C, D ยอดนิยมก็มา
อันนี้ Sushi Set A La Carte (ตามสั่ง) ครับ ราคาเกินงบเดี๋ยวจะจน ไว้คราวหน้านะ 5555
เพื่อเป็นการพิสูจน์รสชาติ อีพริ้งกับยัยหมวยเลยสั่งเมนูที่เราเคยทานที่โอซาก้ามาลองอีกครั้ง ว่าจะยังอร่อยละลายในปากเหมือนกันหรือไม่
รายการที่สั่ง
- Sushi Set A (หมายเลข 1) 450 บาท
- Sushi Set D (หมายเลข 4) 450 บาท
- Sashimi Set : 5 Kinds Set (หมายเลข 101) 700 บาท
- Akadashi Soup (หมายเลข 217) ถ้วยละ 150 บาท
- ชาเขียวร้อน (ฟรี)
- ชาเขียวเย็น (ฟรี)
หลังจากสั่งแล้วก็นั่งมองพ่อครัวบรรจงปั้นซูชิ หั่นเนื้อปลา อย่างเพลิดเพลิน อีพริ้งก็ทำหน้าที่ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ยัยหมวยก็คุยกับพ่อครัวไปตามประสา ไม่นานอาหารก็ยกมาเสิร์ฟ งั้นมาดูหน้าตากันครับ
มาเสิร์ฟแล้ว เย่ๆๆ
หลังจากได้ลิ้มลองไปแล้วพบว่า... เฮ้ย!! อร่อยนุ่มลิ้น ละลายในปาก และรสชาติเข้มข้นเหมือนเมื่อครั้งที่เราไปลองทานที่โอซาก้าเลยครับ ทั้ง Set A และ Set D ให้ความรู้สึกประทับใจไม่เปลี่ยนแปลง จุดเด่นของซูชิเซ็ทของร้านนี้คือใช้ข้าวอุ่นที่ปรุงรสพิเศษมาปั้นเป็นซูชิครับ เนื้อข้าวจะนุ่ม ปั้นข้าวแน่นพอประมาณไม่แตกง่าย ส่วนวัตถุดิบที่เป็นเนื้อซูชิก็สดใหม่มากครับ
อันนี้ Sushi Set A ครับ
อันนี้ Sushi Set D ครับ
สำหรับตัว Sashimi Set : 5 Kinds Set นั้นขอแนะนำว่าต้องสั่งด้วยประการทั้งปวง เนื้อแซลมอนนี่สดอร่อยละลายในปากเลย (ไม่เหมือนกับเนื้อแซลมอนบุพเฟ่ต์ทั่วไปนะครับ) นอกจากนั้นก็ยังมีเนื้อส่วนต่างๆ ของปลาและอื่นๆ ประกอบกัน เคล็ดลับที่พ่อครัวชาวญี่ปุ่นบอกก็คือให้ทานเรียงลำดับกันไปจากเนื้อสีอ่อนสุดไปยังสีเข้มสุดครับ
ปิดท้ายกันด้วย Akadashi Soup ซึ่งซุปของที่ร้านจะใส่หอยตลับลงไปด้วย รสชาติเข้มข้นมาก ซดเพลินเลยครับ
ดังนั้นขอสรุปให้เป็นที่ทราบกันว่า เอ็นโดซูชิ สาขาแรกในไทย (เป็นสาขาที่ 3 ในโลก) รสชาติดีไม่แพ้ที่ญี่ปุ่นเลยครับ บรรยากาศร้านก็เป็นไปตามสภาพแวดล้อมนะครับ เปิดแถวทองหล่อ บรรยากาศก็สไตล์ทองหล่อครับ แต่โดยส่วนตัวอีพริ้งชอบบรรยากาศการไปเดินเล่นที่ตลาดปลา แล้วแวะมายืนต่อแถวทานซูชิในร้านเก่าๆ เล็กๆ ที่สาขาโอซาก้าครับ มันให้ความรู้สึกขลังและมีเรื่องราวดีครับ แต่กับคนที่คิดถึงเอ็นโดซูชิแต่ไม่มีเวลาบินไปญี่ปุ่น (หรืออยากประหยัดงบเดินทาง) อีพริ้งก็แนะนำให้มาเยี่ยมเยียนดูสักครั้งครับ ร้านซูชิคุณภาพดีๆ ในบ้านเรามีไม่มาก ยิ่งร้านที่มีชื่อเสียงและประวัติมายาวนานอย่างนี้ ยิ่งมีน้อยจนนับได้เลยครับ
รวมเมนูที่สั่งมาชิม อิ่มกำลังดี
แปรงทาซอสกับโถใส่ขิงดอง เอกลักษณ์หนึ่งของทางร้าน
ก่อนกลับก็ขอถ่ายภาพคู่กับหัวหน้าพ่อครัวเช่นเคย อิๆ (เค้าใจดีให้ถุงผ้าเรามาด้วยล่ะ)
สรุปค่าอาหารมื้อนี้ครับผม
ถ้าอ่านแล้วถูกใจ ก็แวะไปเยี่ยมเพจ facebook ของเราได้นะครัส
https://www.facebook.com/ibreak2travel/
นอกจากนี้เรายังมีรีวิวสนุกๆ สไตล์เราอีกหลายเรื่องเลย เราทั้งคู่กำลังเป็น Blogger ฝึกหัด ยังไงลองแวะเข้าไปดูใน blog ของเราที่
www.ibreak2travel.com นะครับ ถ้าดีก็ฝากไลค์ ฝากแชร์ด้วยน๊า
[CR] เอ็นโดซูชิ ณ ทองหล่อ (Endo Sushi @ Thonglor) ไปลองมาแล้วจ้า ^_^
ตอนนี้แฟนพันธุ์แท้สายซูชิคงรู้กันไปทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว ว่า “เอ็นโดซูชิ (Endo Sushi)” ร้านซูชิเจ้าดังจากเมืองโอซาก้าที่พี่น้องชาวไทยเราเครซี่มากๆ เค้ามาเปิดสาขาในเมืองไทย พอเรื่องนี้รู้ถึงหน้า feed facebook ของอีพริ้งกับยัยหมวยเท่านั้นล่ะ ต่อมสงสัยของเราทั้งคู่ก็ทำงานทันที ว่าทำม๊ายร้านซูชิเก่าแก่อายุร้อยกว่าปี (เปิดตั้งแต่ปี 1907) ถึงตัดสินใจมาเปิดสาขาในเมืองไทย แล้วใครกันที่จะมาทำหน้าที่หัวหน้าพ่อครัวที่คอยดูแลรสชาติและคุณภาพซูชิเจ้าดังนี้ให้ยังคงอร่อยเหมือนไปกินที่โอซาก้า
สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก Endo Sushi เจ้าดังแห่งโอซาก้า อีพริ้งรบกวนให้ไปเตรียมตัวที่ blog นี้ก่อนเลยครัส http://wp.me/p6rcdI-F
เอาล่ะ !! ไม่พูดพล่ามทำเพลงแล้ว วันนี้เราทั้งคู่ขอรับหน้าที่มาไขข้อสงสัยให้เพื่อนๆ ได้ถึงบ้างอ้อกันสักที ป่ะ ไปเยือนร้าน “เอ็นโดซูชิ” กันเถอะ
จากข้อมูลที่ทราบมาว่าร้านเอ็นโดซูชิ มาเปิดสาขาอยู่ที่ชั้น 2 ตึก The Taste ปากซอยทองหล่อ 11 ถ้านับมาจนถึงวันที่ไปชิม (1 เม.ย. 59) ก็เป็นเวลา 1 เดือนกับอีก 1 วันพอดี (อันนี้ถามเอาจากพ่อครัวชาวญี่ปุ่นนะ) การเดินทางมายังร้านก็แสนง่าย จะขับรถมาเอง จะนั่งแท๊กซี่มา หรือจะนั่งรถไฟฟ้ามาต่อรถมอเตอร์ไซต์ก็ตามอัธยาศัยนะจ๊ะ ถ้าขับรถมาเองก็มีที่จอดรองรับประมาณนึงนะไม่เยอะมาก มาทานแล้วก็ประทับตราจอดรถที่ร้านได้ครับ
ร้านเปิดให้บริการวันอังคาร – อาทิตย์ หยุดวันจันทร์
แต่ละวันจะแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลานะครับ (ถ้าจะไปดูเวลาดีๆ ด้วยนะครับ)
เบอร์โทรร้าน : 0 2712 5211
- รอบเช้า 11.30 – 14.00 น. (รอบนี้คนยังไม่ค่อยแน่นนะครับ)
- รอบค่ำ 17:30 – 22:30 น. (แนะนำให้โทรมาจองก่อนครับ คนเยอะมาก)
หลังจากเราทั้งคู่ขับรถเข้ามาจอดเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นลิฟท์หรือบันได (แล้วแต่ความขยัน) ขึ้นไปที่ชั้น 2 ได้เลยครับ พอออกมาจากลิฟท์ก็อยู่ขวามือเลย ร้านใหญ่โตคนละเรื่องกับที่โอซาก้าเลยครับคุณเอ๋ย!!!
พื้นที่ในร้านแบ่งออกเป็น 3 ส่วนนะครับ คือ ส่วนบาร์ซูชิ / ส่วนโต๊ะสำหรับนั่งทานเป็นกลุ่มเล็กๆ 2-4 คน / และส่วนที่เป็นห้องใหญ่สำหรับหมู่คณะ แต่วันนี้อีพริ้งกับยัยหมวยอยากมาถ่ายรูปพร้อมรีวิว เราเลยเลือกนั่งตรงบาร์ซูชิเลย เรียกว่าสบตาพ่อครัวกันเลยเชียล่ะ 55555
บรรยากาศในร้านก็โปร่งสบายดีครับ ไม่แออัด ไม่ต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีกันแล้ว สอบถามจากพนักงานได้ทราบว่าถ้ามารอบเช้าคนจะน้อยกว่ารอบค่ำ เรียกว่าถ้ามารอบค่ำนี่ต้องโทรจองและต้องต่อแถวกันเลยครับ ส่วนอีพริ้งกับยัยหมวยโทรมาสอบถามก่อนแล้ว เราเลยตกลงจองโต๊ะช่วงกลางวันแทนครับ
แต่... เดี๋ยวก่อน!!! ทันทีที่เราทั้งคู่เห็นหัวหน้าพ่อครัวเท่านั้นล่ะ สิ่งที่เราสงสัยก็ถูกขจัดไปในทันที ก็หัวหน้าพ่อครัวคนนี้ คือคนเดียวกับรองหัวหน้าพ่อครัวที่สาขาโอซาก้าที่เราเคยไปทานนั่นเอง!!! พอเจอกันเท่านั้นแหล่ะ อีพริ้งรีบเอารูปที่เคยถ่ายคู่กับเค้ามาโชว์ทันที จากนั้นบรรยากาศและรอยยิ้มแห่งมิตรภาพก็เริ่มก่อเกิดขึ้นเบาๆ
เคยไปขอเค้าถ่ายรูปด้วย ที่ร้านสาขาโอซาก้า
พี่เค้าบอกว่าเค้าชอบรูปนี้
โชคดีที่หัวหน้าพ่อครัวพอจะพูดภาษาอังกฤษได้บ้างจึงได้ทราบว่าร้านที่โอซาก้ายังอยู่ดีนะครับ 5555 ส่วนร้านที่นี่เป็นของนักธุรกิจท่านนึงไปติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์มาเปิดในไทย (ไม่ทราบว่าใคร แต่คิดว่าเค้าคงเห็นโอกาสในการทำตลาด) โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องมีตัวแทนจาก Endo Sushi ที่ญี่ปุ่น มาควบคุมมาตรฐานด้านรสชาติให้ไม่ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับ ซึ่งวัตถุดิบหลายตัวก็ทำการ import มาจากญี่ปุ่นด้วยมาตรฐานเดียวกับที่นู่นครับ ดังนั้นใครจะมาทานก็สบายใจได้เลย
เราลองถามหัวหน้าพ่อครัวเล่นๆ ว่าเคยมาเมืองไทยไหม แล้วจะอยู่เมืองไทยอีกนานไหม ก็ได้คำตอบว่า “มาเมืองไทยครั้งแรกเลย พาภรรยามาด้วย และหวังว่าคงจะได้อยู่เมืองไทยนานเท่านาน (เค้าบอกว่า Forever น่ะนะ)” ก่อนจะได้คำตอบว่าควรจะอยู่นานเท่านานไหม เรามาดูรสชาติกันก่อนครับว่าผ่านหรือเปล่า
ว่าแล้วก็มาดูเมนูกันครับ เท่าที่ดูคร่าวๆ ก็พบว่าคล้ายกับที่สาขาโอซาก้าเลย โดยเฉพาะ Sushi Set ยอดนิยม A, B, C, D นี่มากันครบ นอกจากนี้ยังมีเมนูซูชิตามสั่ง (Sushi A La Carte) ให้เราเลือกด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีเมนูเซ็ตปลาดิบ (Sashimi Set) เมนูปลาดิบตามสั่ง (Sushi A La Carte) แล้วก็เมนูตามสั่งอื่นๆ (A La Carte) ให้เลือกทานด้วยครับ
เริ่มจากประวัติร้านเลย
Sushi Set A, B, C, D ยอดนิยมก็มา
อันนี้ Sushi Set A La Carte (ตามสั่ง) ครับ ราคาเกินงบเดี๋ยวจะจน ไว้คราวหน้านะ 5555
เพื่อเป็นการพิสูจน์รสชาติ อีพริ้งกับยัยหมวยเลยสั่งเมนูที่เราเคยทานที่โอซาก้ามาลองอีกครั้ง ว่าจะยังอร่อยละลายในปากเหมือนกันหรือไม่
รายการที่สั่ง
- Sushi Set A (หมายเลข 1) 450 บาท
- Sushi Set D (หมายเลข 4) 450 บาท
- Sashimi Set : 5 Kinds Set (หมายเลข 101) 700 บาท
- Akadashi Soup (หมายเลข 217) ถ้วยละ 150 บาท
- ชาเขียวร้อน (ฟรี)
- ชาเขียวเย็น (ฟรี)
หลังจากสั่งแล้วก็นั่งมองพ่อครัวบรรจงปั้นซูชิ หั่นเนื้อปลา อย่างเพลิดเพลิน อีพริ้งก็ทำหน้าที่ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ยัยหมวยก็คุยกับพ่อครัวไปตามประสา ไม่นานอาหารก็ยกมาเสิร์ฟ งั้นมาดูหน้าตากันครับ
มาเสิร์ฟแล้ว เย่ๆๆ
หลังจากได้ลิ้มลองไปแล้วพบว่า... เฮ้ย!! อร่อยนุ่มลิ้น ละลายในปาก และรสชาติเข้มข้นเหมือนเมื่อครั้งที่เราไปลองทานที่โอซาก้าเลยครับ ทั้ง Set A และ Set D ให้ความรู้สึกประทับใจไม่เปลี่ยนแปลง จุดเด่นของซูชิเซ็ทของร้านนี้คือใช้ข้าวอุ่นที่ปรุงรสพิเศษมาปั้นเป็นซูชิครับ เนื้อข้าวจะนุ่ม ปั้นข้าวแน่นพอประมาณไม่แตกง่าย ส่วนวัตถุดิบที่เป็นเนื้อซูชิก็สดใหม่มากครับ
อันนี้ Sushi Set A ครับ
อันนี้ Sushi Set D ครับ
สำหรับตัว Sashimi Set : 5 Kinds Set นั้นขอแนะนำว่าต้องสั่งด้วยประการทั้งปวง เนื้อแซลมอนนี่สดอร่อยละลายในปากเลย (ไม่เหมือนกับเนื้อแซลมอนบุพเฟ่ต์ทั่วไปนะครับ) นอกจากนั้นก็ยังมีเนื้อส่วนต่างๆ ของปลาและอื่นๆ ประกอบกัน เคล็ดลับที่พ่อครัวชาวญี่ปุ่นบอกก็คือให้ทานเรียงลำดับกันไปจากเนื้อสีอ่อนสุดไปยังสีเข้มสุดครับ
ปิดท้ายกันด้วย Akadashi Soup ซึ่งซุปของที่ร้านจะใส่หอยตลับลงไปด้วย รสชาติเข้มข้นมาก ซดเพลินเลยครับ
ดังนั้นขอสรุปให้เป็นที่ทราบกันว่า เอ็นโดซูชิ สาขาแรกในไทย (เป็นสาขาที่ 3 ในโลก) รสชาติดีไม่แพ้ที่ญี่ปุ่นเลยครับ บรรยากาศร้านก็เป็นไปตามสภาพแวดล้อมนะครับ เปิดแถวทองหล่อ บรรยากาศก็สไตล์ทองหล่อครับ แต่โดยส่วนตัวอีพริ้งชอบบรรยากาศการไปเดินเล่นที่ตลาดปลา แล้วแวะมายืนต่อแถวทานซูชิในร้านเก่าๆ เล็กๆ ที่สาขาโอซาก้าครับ มันให้ความรู้สึกขลังและมีเรื่องราวดีครับ แต่กับคนที่คิดถึงเอ็นโดซูชิแต่ไม่มีเวลาบินไปญี่ปุ่น (หรืออยากประหยัดงบเดินทาง) อีพริ้งก็แนะนำให้มาเยี่ยมเยียนดูสักครั้งครับ ร้านซูชิคุณภาพดีๆ ในบ้านเรามีไม่มาก ยิ่งร้านที่มีชื่อเสียงและประวัติมายาวนานอย่างนี้ ยิ่งมีน้อยจนนับได้เลยครับ
รวมเมนูที่สั่งมาชิม อิ่มกำลังดี
แปรงทาซอสกับโถใส่ขิงดอง เอกลักษณ์หนึ่งของทางร้าน
ก่อนกลับก็ขอถ่ายภาพคู่กับหัวหน้าพ่อครัวเช่นเคย อิๆ (เค้าใจดีให้ถุงผ้าเรามาด้วยล่ะ)
สรุปค่าอาหารมื้อนี้ครับผม
ถ้าอ่านแล้วถูกใจ ก็แวะไปเยี่ยมเพจ facebook ของเราได้นะครัส https://www.facebook.com/ibreak2travel/
นอกจากนี้เรายังมีรีวิวสนุกๆ สไตล์เราอีกหลายเรื่องเลย เราทั้งคู่กำลังเป็น Blogger ฝึกหัด ยังไงลองแวะเข้าไปดูใน blog ของเราที่ www.ibreak2travel.com นะครับ ถ้าดีก็ฝากไลค์ ฝากแชร์ด้วยน๊า
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น