ใครคิดต่างเรื่อง แม่ประนอม แสดงว่าคุณมัน....

อนาถต้องขายเพชร-ทองยังชีพ! ไม่คุยตามลำพังกลัวถูกหลอกอีก

ศึกสายเลือดชิงมรดกน้ำพริกเผาพันล้านยังเข้มข้น “แม่ประนอม” ออกทีวีแฉแหลก ยันไม่เคยโอนหุ้นทั้งของตัวเองกับสามีให้ลูกสาวคนโต ลูกเขยและลูกของลูกสาว ทั้งไม่เคยคิดขายกิจการน้ำพริกเผาพันล้านให้กับใคร เพราะต้องการเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานในอนาคต ระบุลูกสาวคนโตแอบเอาทรัพย์สินที่เป็นกองมรดก กับทรัพย์สินส่วนตัวของแม่ไปเป็นของตัวเอง ทั้งบ้านที่สามีสร้างให้ก็ถูกแอบถ่ายโอนไปไม่เหลือจนแทบไม่มีกิน ต้องเอาร้านอาหารไปจำนองเพื่อนผัวเอาเงินมาใช้จ่ายประทังชีวิต พ้อเจ็บปวดที่ต้องฟ้องร้องเรียกทรัพย์สินคืนจากลูก แต่ที่ทำไม่ใช่เพื่อตัวเอง ไม่ขอคุยกับลูกคนโตตามลำพังกลัวถูกหลอกอีก

หลังจากที่ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อาสาเป็น “กาวใจ” เชื่อมความ ร้าวฉาน ในศึกสายเลือดของสองแม่ลูกตระกูล “แดงสุภา” เจ้าของกิจการน้ำพริกเผาพันล้าน “แม่ประนอม” จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กัน โดยนางประนอมกล่าวว่า หากลูกสาวมาเอ่ยปากขอโทษในสิ่งที่ได้ทำลงไป ตนเป็นแม่ก็พร้อมที่จะให้อภัยและล่าสุดมีรายงานว่านางศิริพรบุตรสาวคนโตของนางประนอม ยินยอมที่จะเข้าเจรจากับผู้เป็นมารดานั้น

ด้านความเคลื่อนไหวของนางประนอม แดงสุภา เจ้าของธุรกิจน้ำพริกเผาแม่ประนอม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 30 มี.ค. นางประนอม พร้อมด้วย น.ส.ศิริวัลย์ แดงสุภา บุตรสาวคนรอง เดินทางออกจากบ้านย่านพุทธมณฑล มายังสถานีโทรทัศน์ไบรท์ทีวี ชี้แจงกรณีที่มีกลุ่มบุคคลกล่าวหาในสื่ออินเตอร์เน็ตต่างๆว่า ได้ขายหุ้นให้นางศิริพร แดงสุภา บุตรสาวคนโตไปแล้ว แต่ที่มาทวงทรัพย์สินคืน เพราะอยากขายกิจการน้ำพริกเผาให้บุคคลอื่น ผ่านรายการ “เขย่าข่าวเข้ม” และผ่านรายการ “แรงชัดจัดเต็ม” ในเวลา 20.00 น.

นางประนอมกล่าวยืนยันว่า ไม่เคยมีความคิดที่จะขายกิจการธุรกิจน้ำพริกเผา ที่ตนกับนายศิริชัย ผู้เป็นสามี ร่วมก่อร่างสร้างตั้งแต่ไม่มีอะไร จนเติบโตมาด้วยกันอย่างอยากลำบาก เพื่อเก็บให้เป็นมรดกของลูกหลานในอนาคต ด้วยความสัตย์จริง สามีและตนยังไม่เคยโอนหุ้นของบริษัทพิบูลย์-ชัยน้ำพริกเผาแม่ประนอม จำกัด ให้กับนายสุชาติ ภาษาประเทศ สามีของนางศิริพร และลูกของนางศิริพรทั้ง 3 คนแต่อย่างใด แต่ไม่คิดว่าลูกสาวที่ตน กับสามีรักและไว้ใจมากที่สุด กลับตัดพ่อ แม่และน้องสาวแท้ๆ ออกจากรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท แล้วใส่ชื่อสามีกับลูกสาวแทนที่ ที่สำคัญนางศิริพรยังดำเนินการโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เป็นชื่อของนายศิริชัยไปเป็นของตัวเอง ทั้งที่ดินโรงงานเก่าและที่ดินโรงงานปัจจุบัน เป็นกรรมสิทธิ์ของตนครึ่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นสินสมรสระหว่างตนกับสามี

“วันนี้ อ้อย (นางศิริพร) เอาทรัพย์สินที่เป็นกองมรดกและของส่วนตัวแม่กับพ่อไปเป็นของตัวเองหมด รวมทั้งบ้านหลังใหญ่ที่โรงงานใหม่ ที่นายห้างศิริชัยสร้างให้แม่ ก็กลายเป็นของอ้อย แม่ ไม่เหลืออะไรแล้ว แทบไม่มีจะกิน ที่อยู่ได้ต้องขายเพชรขายทองที่เก็บสะสมไว้ รวมทั้งต้องเอาร้านพีเอส เรสเตอรองค์ ไปจำนองกับเพื่อนของนายศิริชัย เพื่อเอาเงินมาใช้จ่ายดูแลจิ๋ม (น.ส.ศิริลักษณ์) ลูกสาวคนเล็กเป็นทุนสู้คดี ส่วนบ้านที่อาศัยอยู่ก็เป็นบ้านของใหญ่ (น.ส.ศิริวัลย์) ลูกสาวคนรอง อยากบอกให้สังคมเข้าใจ ตนก็เจ็บปวด แต่ต้องฟ้องเรียกทรัพย์สินจากอ้อยและลูกเขย ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อความเป็นธรรมของลูกหลานในอนาคต” นางประนอมกล่าว

นางประนอมกล่าวอีกว่า การที่ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับอาสาจะมาช่วยเจรจากับ น.ส.ศิริพร บุตรสาวคนโต ก็ยินดี เพราะตนขอแต่ให้มีการจัดสรรแบ่งมรดกให้ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของสามี อย่างไรก็ตามที่ทนายของนางศิริพรจะให้ตนไปนั่งคุยกับนางศิริพร ตามลำพัง เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง ตนไม่เอาอีกแล้ว เพราะเข็ดกับสิ่งที่นางศิริพรทำกับตน ด้วยการให้ผู้ใหญ่ที่ตนเคารพมาเชิญตัวไปคุย แต่กลับหลอกให้เซ็นเอกสารไม่ขอรับมรดกและถอนฟ้องคดี

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนราษฎร์ พบว่า นางประนอม แดงสุภา ยังมีชื่ออยู่ในบ้านเลขที่ 314 หมู่บ้านเศรษฐกิจ แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กทม. 10160 ซึ่งเดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายศิริชัย แต่ปัจจุบันโฉนดที่ดินดังกล่าว กลายเป็นชื่อของนางศิริพรไปแล้ว

เมื่อตรวจสอบข้อมูลการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน พบว่า ช่วงเวลาที่นายศิริชัยและนางประนอม แดงสุภา เริ่มทำธุรกิจผลิตและขายน้ำพริกเผา ในปี 2502 จนถึงช่วงที่นายศิริชัยเริ่มล้มป่วย ในปี 2552 พบว่า ช่วงเวลาดังกล่าว นายศิริชัยและนางประนอมได้ร่วมกันนำเงินจากการผลิตและขายน้ำพริกแกง น้ำพริกเผา ทยอยซื้อที่ดินในพื้นที่เขต ภาษีเจริญ หนองแขม ตลิ่งชัน ทวีวัฒนา บางขุนเทียน จอมทอง บางบอน บางกอกน้อย ประเวศ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม และ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จำนวนทั้งสิ้น 138 แปลง รวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท

จากการสอบถามคนใกล้ชิดนางประนอม ได้รับการชี้แจงว่า ในจำนวนที่ดิน 138 แปลง เป็นโฉนดที่ดินที่มีชื่อนายศิริชัยเป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ 41 แปลง ได้แก่ ที่ดินในหมู่บ้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานเก่า จำนวน 13 แปลง ที่ดินที่เป็นที่ตั้งที่พักอาศัยและโรงงานใหม่ ริมถนนบรมราชชนนี 16 แปลง และที่ดินที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม 12 แปลง ส่วนที่ดินที่เหลือ 97 แปลง นายศิริชัยและนางประนอมได้ซื้อไว้ในชื่อนางศิริพร บุตรสาวคนโต 77 แปลง และนายสุชาติ ลูกเขย 20 แปลง ต่อมาเมื่อศาลจังหวัดตลิ่งชัน มีคำสั่งแต่งตั้งนางประนอมเป็นผู้จัดการมรดกในปลายปี 2556

นางประนอมจึงได้ติดตามรวบรวมทรัพย์สินที่นายศิริชัยร่วมกับนางประนอมซื้อไว้ทั้งหมด โดยขอให้นางศิริพรและนายสุชาติ โอนที่ดินจำนวนรวม 97 แปลงคืนให้กองมรดกของนายศิริชัย เพื่อจัดสรรทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทของนายศิริชัย แต่บุคคลทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่นางประนอมไม่สามารถใช้ฝ่ายกฎหมายของบริษัทดำเนินการ ทำให้ในเดือน มี.ค. 2558 นางประนอมตัดสินใจจ้างทนายภายนอก เข้าตรวจสอบทรัพย์สินของบริษัทและของกองมรดกทั้งหมด จนนำไปสู่การฟ้องร้องในวันนี้

อีกด้าน วันเดียวกัน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่รับอาสาทำหน้าที่กาวใจเชื่อมรอยร้าวของสองแม่ลูกตระกูล “แดงสุภา” ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีมีกระแสวิจารณ์การเดินทางไปพบนางประนอม แดงสุภา เจ้าของธุรกิจน้ำพริกเผาแม่ประนอมว่า ตนเป็นข้าราชการมาตลอดชีวิต ตอนอยู่มหาดไทยได้พบปะผู้คนมามาก ร่วมแก้ไขปัญหาหลายอย่างหลายประการ ให้แก่คนทุกๆสาขาอาชีพ บทบาทในปัจจุบัน ไม่เคยเลือกปฏิบัติว่ากลุ่มใด พื้นที่ใด เป็นข่าวบ้าง ไม่เป็นข่าวบ้าง ครั้งนี้ที่มีข่าวนางประนอม มีการมาถามตน ต้องเรียนว่าภารกิจบำบัดทุกข์บำรุงสุขของข้าราชการอยู่ในใจเสมอ แต่แม่ประนอมเป็นคนที่มีคนรู้จักกว้างขวางและเป็นที่เคารพนับถือ ส่วนตัวก็อยากให้ทุกๆครอบครัวช่วยกันเป็นแบบอย่างแก่กัน มีความรักสมัครสมาน ความรักระหว่างบุพการีกับลูกหลาน__
http://www.thairath.co.th/content/598869
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่