อยากให้เจ้าของแบรนด์ เอเจนซี่ นักผลิตงานการตลาดได้อ่านตัวเต็มของบทความนี้
แล้วคิดอีกทีครับ
โอกาส "พัง" มากกว่า "ปัง"
ล่าสุดไม่นานมานี้ มีคนพยายามจ้างผมให้เป็นม้า
โพสรีวิวลงพันทิป โดยคนที่ติดต่อผมมา ผ่านเพจๆนึง
ที่ผมเคยลงราคารับงานเขียนบทความ คอนเทนส์ รับดูแลเพจไว้
ซึ่งลองถามแล้วว่า เป็น SR ได้ไหม
เขาบอกไม่ได้ ต้อง CR เท่านั้น
ซึ่งคนที่ติดต่อไม่ทราบว่าผมคือ "เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามัน"
ผมก็หลอกถามตามระเบียบ
สินค้าอะไร
อยากให้ลงยังไง
อวยยังไง
ราคาเท่าไหร่
วัดผลด้วยอะไร ?
เงื่อนไข ที่ได้ทราบเป็นความรู้คือ
1. ล๊อกอิน หมายเลข จะถูกพิจารณาหลังสุดในการรับงาน (คัดเกรดสินะ)
2. ถ้าไม่มีกล้องดีดี คนจ่ายงานจะถ่ายภาพสินค้าให้ หัก 500 บาท (โว๊ะ)
3. ราคาที่ได้ทราบในการจ้างคือ กะทู้เดียว รีวิว 3,000 บาท (งานเขียนต้องผ่าน สำนวนถูกใจ เข้ากับกะทู้)
4. ถ้า รีวิว ได้เป็น เทรนด์พันทิป ได้เพิ่ม 1,500 บาท (ไอ๊ย่ะ)
5. เป็นกะทู้แนะนำ เพิ่ม 2,000 บาท (โอ้ววว เพิ่ม 2,000 บาท)
6. มีการถามถึงเพื่อนที่มีสมาชิกพันทิปว่า สะดวกให้ล๊อกอินมากด + กะทู้หรือไม่ มีกี่คน (ดันทู้สินะ)
ประมาณนี้
พอได้ข้อมูลพอใจแล้วก็บอกว่า ผมคือ เจ้าหญิงน้อยฯ
ก็จบข่าวไปครับ น้องเขาขอร้องไม่ให้บอกใคร
ผมก็จะไม่บอกว่าชื่ออะไร และสินค้าอะไร
แค่เล่าสู่กันฟัง
(อ่านบทสนทนาของน้องคนดังกล่าวตัวเต็มได้ในเพจเจ้าหญิงฯ เคยเอามาลงไว้)
เข้าเรื่องละ
ส่วนนึงก็ไม่อยากให้รีวิวดีดีที่มีคนตั้งใจเขียนหายไปนะ
และก็ไม่อยากให้ กะทู้ม้าเยอะไป
คนดังๆ ฝีมือดีดีไปโตข้างนอกกันเยอะแล้ว
ตั้งแต่เป็นเพจหลักหมื่นจนหลักล้านก็มีแล้ว
นั่งเขียนกะทู้เป็นม้า ต้องเขียนกี่ครั้งถึงจะโต ?
ถึงจะดัง ?
ทำได้ 3 ครั้ง ครั้งที่ 4โดนจับได้ ก็จบ ทั้งคนเขียน ทั้งแบรนด์
นักรีวิวก็ขอให้คิดนิดนึงนะ จะรับงานอะไร
เอเจนซี่ แบรนด์ก็เช่นกัน
โอกาส "พัง" มากกว่า "ปัง" เยอะ
ย้อนดูประวัติศาสตร์ได้เลย
----------------------------
บ่นเยอะละ อ่านเนื้อหาบทความตามหัวกะทู้ดีกว่า
-

แบรนด์ต้องระวัง! ใช้ “กระทู้หน้าม้า” หรือ Seeding Marketing สร้างกระแสบนโลกออนไลน์หวังพลังบอกต่อ
แต่กลับกลายเป็นอาวุธชิ้นดีที่โจมตีแบรนด์ สุดท้ายอาจโดนผู้บริโภคแอนตี้เลิกใช้แบรนด์ไปเลย
ในยุคปัจจุบันที่อะไรก็เกิดขึ้นได้บนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเรื่องราวดีๆ น่าบอกต่อ หรือแม้แต่การเกิดดราม่าร้อนฉ่าชนิดแบบรายวันก็ยังมี โดยที่มีต้นตอในการกำเนิดแตกต่างกันไป ที่น่าสนใจก็คือดราม่าที่เกิดจาก “แบรนด์” ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน เป็นทั้งการตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น
ที่เป็นประเด็นร้อนแรงในช่วงหลายวันมานี้ก็เป็นดราม่าที่เกิดจากแบรนด์เช่นกัน เป็นความตั้งใจในการทำ Seeding Marketing ผ่านคอมมูนิตี้ เว็บบอร์ดยอดนิยมอย่าง “พันทิป” หรือเรียกสั้นๆ ว่าการทำ “กระทู้หน้าม้า” ยกตัวอย่างกระทู้ที่เป็นดราม่าล่าสุด “[CR]ริววี รีวิว…จัดห้องอยู่กับแฟนง่ายๆ แบบเด็กมหาลัยค่ะ” เป็นการทำ Seeding โดย “โฮมโปร” ที่ให้บุคคลทั่วไปมาตั้งกระทู้เกี่ยวกับการซื้อเฟอร์นิเจอร์จัดบ้านด้วยตนเอง และงานโฮมโปรเอ็กซ์โปเพื่อสร้างกระแส และสร้างบทสนทนาต่อไป
แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาอาจจะไม่ง่ายอย่างที่แบรนด์หวังไว้เสมอไปว่าจะได้การแชร์ การบอกต่อมหาศาล เพราะผู้บริโภคในยุคนี้รู้ทันหรือมีความเป็นนักสืบพันทิปในตัว ประกอบกับทางทีมงานพันทิปได้ตรวจสอบทางเทคนิคของกระทู้น่าสงสัย จึงไม่ใช่เพียงแค่กระทู้นี้กระทู้เดียวเท่านั้นที่เป็นกระทู้หน้าม้า แต่มีอีกหลายกระทู้ และความคิดเห็นที่มาจากต้นทางเดียวกัน เป็นไปได้ว่าจะเป็นจากทีมงานของโฮมโปรเอง หรือเป็นการจ้างบุคคลทั่วไปมาตั้งกระทู้
กระแสที่ตีกลับมานั้นย่อมไม่เป็นผลดีต่อแบรนด์มากนัก เพราะผู้บริโภคจะมีความรู้สึกไม่ดีกับแบรนด์ ประเด็นนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนเพราะเหมือนเล่นกับความรู้สึกของผู้บริโภคในการเนียนมาเป็นคนพวกเดียวกัน แต่สุดท้ายเป็นการขายของ สุดท้ายผู้บริโภคเกิดการแอนตี้แบรนด์ขึ้นมาในทันที จากนั้นก็ได้มีการตั้งกระทู้เพื่อประณามในการทำการตลาดทำนองนี้ รวมถึงไปตามคอมเมนต์ในกระทู้อื่นๆ ที่เป็นหน้าม้าด้วย ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีการแก้เกมใดๆ ของโฮมโปรออกมา
กระแสของการทำ Seeding Marketing มีมาตั้งนานแล้ว เติบโตมาพร้อมๆ กับการตลาดบนโลกออนไลน์ ขึ้นอยู่กับสกิลของแบรนด์ที่จะทำเนียนหรือไม่เนียนเท่านั้น เพราะในโลกออนไลน์แบรนด์ก็ต้องการพื้นที่สำคัญในการพูดคุยกับผู้บริโภค ถ้าสามารถชิงพื้นที่สื่อได้ ก็เกิดการพูดถึงแบรนด์
หลักการทำ Seeding Marketing ใจความสำคัญก็คือเหมือนการทำคอนเทนต์หนึ่ง ให้คอนเทนต์นั้นเป็นเหมือน “เมล็ดพืช” ที่หว่านลงไป แล้วไปเติบโตด้วยตนเอง ก็คือการที่แบรนด์ให้ทีมงาน หรือหน้าม้า หรือแม้แต่ Influencer ก็เป็นหนึ่งในการทำ Seeding เหมือนกัน ให้กลุ่มคนเหล่านี้ปล่อยประเด็นหนึ่งลงไป ไม่ว่าจะเป็นคำถามเกี่ยวกับสินค้าของแบรนด์ หรือเป็นการรีวิวสินค้า หลังจากนั้นประเด็นก็จะต่อยอดเป็น “บทสนทนา” ที่ผู้บริโภคพูดต่อกันเอง
มีหลายแบรนด์ หลายธุรกิจที่ลงมาทำ Seeding ในเว็บไซต์พันทิปทั้งโทรคมนาคม, เทคโนโลยี, ท่องเที่ยว, ร้านอาหาร หรือแม้แต่ค่ายละครก็มีเช่นกัน เพราะเป็นคอมมูนิตี้ที่ใหญ่ และค่อนข้างมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างมาก เพราะพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคในยุคนี้ต้องมีการหาข้อมูลสินค้า ข้อมูลรีวิวก่อนเสมอ และพันทิปก็เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ จะเห็นได้ว่าทุกห้องของพันทิปจะต้องมีการเนียนขายของด้วยการ Seeding อยู่
จนเมื่อปี 2557 พันทิปได้มีการชี้แจงกฎระเบียบในการตั้งกระทู้ หรือรีวิวโดยระบุประเภท CR และ SR ซึ่ง CR หมายถึง Consumer Review สำหรับรีวิวที่ผู้เขียนรีวิวเป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
ส่วน SR หมายถึง Sponsored Review สำหรับรีวิวที่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการให้แก่ผู้เขียนรีวิว ผู้เขียนรีวิวไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว รวมถึงมีการขอความร่วมมือไปยังแบรนด์สินค้า ตัวแทนสินค้า เจ้าของธุรกิจ ให้งดการว่าจ้างการ Seeding
แต่ในปัจจุบันก็ยังพบว่ามีแบรนด์ที่แอบเนียนในการทำ Seeding อยู่เรื่อยๆ ซึ่งมีทั้งกรณีที่ผู้บริโภคจับได้ และจับไม่ได้
กูรูคอนเทนต์ชี้ กระทู้หน้าม้าเล่นกับความรู้สึกผู้บริโภค
ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง บล็อกเกอร์ และกูรูด้านคอนเทนต์ มาร์เก็ตติ้ง ได้ให้ความคิดเห็นว่า “การทำ Seeding ก็เหมือนกับการทำ Conversation Content ที่พอปล่อยออกไปแล้วเกิดเป็นการสนทนาต่อกันออกไปในวงกว้าง พอมีเยอะมากขึ้นก็เกิดเป็น Share of Voice ที่ผู้บริโภคพูดถึงมากขึ้น ซึ่งการ Seeding มีหลายรูปแบบด้วยกัน ทั้งเพื่อโปรโมตสินค้า หรือบริการตัวเอง เพื่อโจมตีคู่แข่ง แต่ที่เพิ่งมาฮิตในปัจจุบันก็เพราะว่ามีโลกออนไลน์เป็นพื้นที่หมายปองของหลายๆ แบรนด์ ทั้งโซเชียลมีเดีย หรือเว็บบอร์ดสาธารณะ เพราะเสียงของคนทั่วไปคนจะเชื่อมากกว่าแบรนด์พูดเอง ตรงนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับ Influencer Marketing มากนัก เพียงแต่ไม่ได้ใช้คนมีชื่อเสียงเป็นคนพูด
แต่การทำ Seeding มันมีผลกระทบตามอยู่แล้วแน่นอน ถ้าทำดีๆ มีคนเข้ามาอ่าน ติดตามคอนเทนต์นั้นๆ เพิ่มการบอกต่อ และเพิ่มยอดขายได้ แต่ข้อเสียก็มีเยอะเหมือนกัน ผู้บริโภคจะรู้มั้ยว่าคอนเทนต์นี้คือการโฆษณา เขาจะได้รับผลกระทบจากคอนเทนต์นี้มั้ย และเมื่อมีคนจับได้ว่าเป็นการทำโฆษณาของแบรนด์ก็เกิดการพังเลยก็ได้ เพราเมื่อผู้บริโภครู้ว่าตัวเองโดนหลอก รู้ว่าการทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง กลายเป็นการโจมตีกลับไปที่แบรนด์ทันที
ปัจจุบันกรณีศึกษาแบบนี้มีเยอะมาก และควบคุมได้ยากด้วย แบรนด์มีความคิดว่าการทำ Seeding มันง่าย แต่มันเป็นเรื่องเซนซิทีฟมาก เหมือนเป็นการเล่นกับความรู้สึกของผู้บริโภค ผู้บริโภคเขาจะมองว่าเป็นการปลอมตัวมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเขา
ข้อแนะนำสำหรับแบรนด์ที่จะทำ Seeding ก่อนอื่นควรต้องถามตัวเองก่อนว่าควรหรือไม่ควรที่จะทำคอนเทนต์ประเภทนี้ เหมือนเป็นการปลอมตัวเพื่อไปสร้างกระแส ทางที่ดีที่สุดมองว่าแบรนด์ควรทำสินค้าที่ดี การตลาดที่ดี และคอนเทนต์ของตนเองให้ดีมากกว่าการใช้หน้าม้าแอบแฝง
อ่านบทความตัวเต็มที่นี่
http://www.positioningmag.com/content/62902
ขอขอบคุณ เนื้อหาและภาพประกอบจาก
http://www.positioningmag.com
จ ญ น ห อ ด ม
บ่นให้ฟัง
ปังหรือพัง! แบรนด์ใช้ Seeding หน้าม้าสร้างกระแส บ่อเกิดดราม่าระยะยาว
แล้วคิดอีกทีครับ
โอกาส "พัง" มากกว่า "ปัง"
ล่าสุดไม่นานมานี้ มีคนพยายามจ้างผมให้เป็นม้า
โพสรีวิวลงพันทิป โดยคนที่ติดต่อผมมา ผ่านเพจๆนึง
ที่ผมเคยลงราคารับงานเขียนบทความ คอนเทนส์ รับดูแลเพจไว้
ซึ่งลองถามแล้วว่า เป็น SR ได้ไหม
เขาบอกไม่ได้ ต้อง CR เท่านั้น
ซึ่งคนที่ติดต่อไม่ทราบว่าผมคือ "เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามัน"
ผมก็หลอกถามตามระเบียบ
สินค้าอะไร
อยากให้ลงยังไง
อวยยังไง
ราคาเท่าไหร่
วัดผลด้วยอะไร ?
เงื่อนไข ที่ได้ทราบเป็นความรู้คือ
1. ล๊อกอิน หมายเลข จะถูกพิจารณาหลังสุดในการรับงาน (คัดเกรดสินะ)
2. ถ้าไม่มีกล้องดีดี คนจ่ายงานจะถ่ายภาพสินค้าให้ หัก 500 บาท (โว๊ะ)
3. ราคาที่ได้ทราบในการจ้างคือ กะทู้เดียว รีวิว 3,000 บาท (งานเขียนต้องผ่าน สำนวนถูกใจ เข้ากับกะทู้)
4. ถ้า รีวิว ได้เป็น เทรนด์พันทิป ได้เพิ่ม 1,500 บาท (ไอ๊ย่ะ)
5. เป็นกะทู้แนะนำ เพิ่ม 2,000 บาท (โอ้ววว เพิ่ม 2,000 บาท)
6. มีการถามถึงเพื่อนที่มีสมาชิกพันทิปว่า สะดวกให้ล๊อกอินมากด + กะทู้หรือไม่ มีกี่คน (ดันทู้สินะ)
ประมาณนี้
พอได้ข้อมูลพอใจแล้วก็บอกว่า ผมคือ เจ้าหญิงน้อยฯ
ก็จบข่าวไปครับ น้องเขาขอร้องไม่ให้บอกใคร
ผมก็จะไม่บอกว่าชื่ออะไร และสินค้าอะไร
แค่เล่าสู่กันฟัง
(อ่านบทสนทนาของน้องคนดังกล่าวตัวเต็มได้ในเพจเจ้าหญิงฯ เคยเอามาลงไว้)
เข้าเรื่องละ
ส่วนนึงก็ไม่อยากให้รีวิวดีดีที่มีคนตั้งใจเขียนหายไปนะ
และก็ไม่อยากให้ กะทู้ม้าเยอะไป
คนดังๆ ฝีมือดีดีไปโตข้างนอกกันเยอะแล้ว
ตั้งแต่เป็นเพจหลักหมื่นจนหลักล้านก็มีแล้ว
นั่งเขียนกะทู้เป็นม้า ต้องเขียนกี่ครั้งถึงจะโต ?
ถึงจะดัง ?
ทำได้ 3 ครั้ง ครั้งที่ 4โดนจับได้ ก็จบ ทั้งคนเขียน ทั้งแบรนด์
นักรีวิวก็ขอให้คิดนิดนึงนะ จะรับงานอะไร
เอเจนซี่ แบรนด์ก็เช่นกัน
โอกาส "พัง" มากกว่า "ปัง" เยอะ
ย้อนดูประวัติศาสตร์ได้เลย
----------------------------
บ่นเยอะละ อ่านเนื้อหาบทความตามหัวกะทู้ดีกว่า
-
แบรนด์ต้องระวัง! ใช้ “กระทู้หน้าม้า” หรือ Seeding Marketing สร้างกระแสบนโลกออนไลน์หวังพลังบอกต่อ
แต่กลับกลายเป็นอาวุธชิ้นดีที่โจมตีแบรนด์ สุดท้ายอาจโดนผู้บริโภคแอนตี้เลิกใช้แบรนด์ไปเลย
ในยุคปัจจุบันที่อะไรก็เกิดขึ้นได้บนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเรื่องราวดีๆ น่าบอกต่อ หรือแม้แต่การเกิดดราม่าร้อนฉ่าชนิดแบบรายวันก็ยังมี โดยที่มีต้นตอในการกำเนิดแตกต่างกันไป ที่น่าสนใจก็คือดราม่าที่เกิดจาก “แบรนด์” ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน เป็นทั้งการตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น
ที่เป็นประเด็นร้อนแรงในช่วงหลายวันมานี้ก็เป็นดราม่าที่เกิดจากแบรนด์เช่นกัน เป็นความตั้งใจในการทำ Seeding Marketing ผ่านคอมมูนิตี้ เว็บบอร์ดยอดนิยมอย่าง “พันทิป” หรือเรียกสั้นๆ ว่าการทำ “กระทู้หน้าม้า” ยกตัวอย่างกระทู้ที่เป็นดราม่าล่าสุด “[CR]ริววี รีวิว…จัดห้องอยู่กับแฟนง่ายๆ แบบเด็กมหาลัยค่ะ” เป็นการทำ Seeding โดย “โฮมโปร” ที่ให้บุคคลทั่วไปมาตั้งกระทู้เกี่ยวกับการซื้อเฟอร์นิเจอร์จัดบ้านด้วยตนเอง และงานโฮมโปรเอ็กซ์โปเพื่อสร้างกระแส และสร้างบทสนทนาต่อไป
แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาอาจจะไม่ง่ายอย่างที่แบรนด์หวังไว้เสมอไปว่าจะได้การแชร์ การบอกต่อมหาศาล เพราะผู้บริโภคในยุคนี้รู้ทันหรือมีความเป็นนักสืบพันทิปในตัว ประกอบกับทางทีมงานพันทิปได้ตรวจสอบทางเทคนิคของกระทู้น่าสงสัย จึงไม่ใช่เพียงแค่กระทู้นี้กระทู้เดียวเท่านั้นที่เป็นกระทู้หน้าม้า แต่มีอีกหลายกระทู้ และความคิดเห็นที่มาจากต้นทางเดียวกัน เป็นไปได้ว่าจะเป็นจากทีมงานของโฮมโปรเอง หรือเป็นการจ้างบุคคลทั่วไปมาตั้งกระทู้
กระแสที่ตีกลับมานั้นย่อมไม่เป็นผลดีต่อแบรนด์มากนัก เพราะผู้บริโภคจะมีความรู้สึกไม่ดีกับแบรนด์ ประเด็นนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนเพราะเหมือนเล่นกับความรู้สึกของผู้บริโภคในการเนียนมาเป็นคนพวกเดียวกัน แต่สุดท้ายเป็นการขายของ สุดท้ายผู้บริโภคเกิดการแอนตี้แบรนด์ขึ้นมาในทันที จากนั้นก็ได้มีการตั้งกระทู้เพื่อประณามในการทำการตลาดทำนองนี้ รวมถึงไปตามคอมเมนต์ในกระทู้อื่นๆ ที่เป็นหน้าม้าด้วย ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีการแก้เกมใดๆ ของโฮมโปรออกมา
กระแสของการทำ Seeding Marketing มีมาตั้งนานแล้ว เติบโตมาพร้อมๆ กับการตลาดบนโลกออนไลน์ ขึ้นอยู่กับสกิลของแบรนด์ที่จะทำเนียนหรือไม่เนียนเท่านั้น เพราะในโลกออนไลน์แบรนด์ก็ต้องการพื้นที่สำคัญในการพูดคุยกับผู้บริโภค ถ้าสามารถชิงพื้นที่สื่อได้ ก็เกิดการพูดถึงแบรนด์
หลักการทำ Seeding Marketing ใจความสำคัญก็คือเหมือนการทำคอนเทนต์หนึ่ง ให้คอนเทนต์นั้นเป็นเหมือน “เมล็ดพืช” ที่หว่านลงไป แล้วไปเติบโตด้วยตนเอง ก็คือการที่แบรนด์ให้ทีมงาน หรือหน้าม้า หรือแม้แต่ Influencer ก็เป็นหนึ่งในการทำ Seeding เหมือนกัน ให้กลุ่มคนเหล่านี้ปล่อยประเด็นหนึ่งลงไป ไม่ว่าจะเป็นคำถามเกี่ยวกับสินค้าของแบรนด์ หรือเป็นการรีวิวสินค้า หลังจากนั้นประเด็นก็จะต่อยอดเป็น “บทสนทนา” ที่ผู้บริโภคพูดต่อกันเอง
มีหลายแบรนด์ หลายธุรกิจที่ลงมาทำ Seeding ในเว็บไซต์พันทิปทั้งโทรคมนาคม, เทคโนโลยี, ท่องเที่ยว, ร้านอาหาร หรือแม้แต่ค่ายละครก็มีเช่นกัน เพราะเป็นคอมมูนิตี้ที่ใหญ่ และค่อนข้างมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างมาก เพราะพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคในยุคนี้ต้องมีการหาข้อมูลสินค้า ข้อมูลรีวิวก่อนเสมอ และพันทิปก็เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ จะเห็นได้ว่าทุกห้องของพันทิปจะต้องมีการเนียนขายของด้วยการ Seeding อยู่
จนเมื่อปี 2557 พันทิปได้มีการชี้แจงกฎระเบียบในการตั้งกระทู้ หรือรีวิวโดยระบุประเภท CR และ SR ซึ่ง CR หมายถึง Consumer Review สำหรับรีวิวที่ผู้เขียนรีวิวเป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
ส่วน SR หมายถึง Sponsored Review สำหรับรีวิวที่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการให้แก่ผู้เขียนรีวิว ผู้เขียนรีวิวไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว รวมถึงมีการขอความร่วมมือไปยังแบรนด์สินค้า ตัวแทนสินค้า เจ้าของธุรกิจ ให้งดการว่าจ้างการ Seeding
แต่ในปัจจุบันก็ยังพบว่ามีแบรนด์ที่แอบเนียนในการทำ Seeding อยู่เรื่อยๆ ซึ่งมีทั้งกรณีที่ผู้บริโภคจับได้ และจับไม่ได้
กูรูคอนเทนต์ชี้ กระทู้หน้าม้าเล่นกับความรู้สึกผู้บริโภค
ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง บล็อกเกอร์ และกูรูด้านคอนเทนต์ มาร์เก็ตติ้ง ได้ให้ความคิดเห็นว่า “การทำ Seeding ก็เหมือนกับการทำ Conversation Content ที่พอปล่อยออกไปแล้วเกิดเป็นการสนทนาต่อกันออกไปในวงกว้าง พอมีเยอะมากขึ้นก็เกิดเป็น Share of Voice ที่ผู้บริโภคพูดถึงมากขึ้น ซึ่งการ Seeding มีหลายรูปแบบด้วยกัน ทั้งเพื่อโปรโมตสินค้า หรือบริการตัวเอง เพื่อโจมตีคู่แข่ง แต่ที่เพิ่งมาฮิตในปัจจุบันก็เพราะว่ามีโลกออนไลน์เป็นพื้นที่หมายปองของหลายๆ แบรนด์ ทั้งโซเชียลมีเดีย หรือเว็บบอร์ดสาธารณะ เพราะเสียงของคนทั่วไปคนจะเชื่อมากกว่าแบรนด์พูดเอง ตรงนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับ Influencer Marketing มากนัก เพียงแต่ไม่ได้ใช้คนมีชื่อเสียงเป็นคนพูด
แต่การทำ Seeding มันมีผลกระทบตามอยู่แล้วแน่นอน ถ้าทำดีๆ มีคนเข้ามาอ่าน ติดตามคอนเทนต์นั้นๆ เพิ่มการบอกต่อ และเพิ่มยอดขายได้ แต่ข้อเสียก็มีเยอะเหมือนกัน ผู้บริโภคจะรู้มั้ยว่าคอนเทนต์นี้คือการโฆษณา เขาจะได้รับผลกระทบจากคอนเทนต์นี้มั้ย และเมื่อมีคนจับได้ว่าเป็นการทำโฆษณาของแบรนด์ก็เกิดการพังเลยก็ได้ เพราเมื่อผู้บริโภครู้ว่าตัวเองโดนหลอก รู้ว่าการทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง กลายเป็นการโจมตีกลับไปที่แบรนด์ทันที
ปัจจุบันกรณีศึกษาแบบนี้มีเยอะมาก และควบคุมได้ยากด้วย แบรนด์มีความคิดว่าการทำ Seeding มันง่าย แต่มันเป็นเรื่องเซนซิทีฟมาก เหมือนเป็นการเล่นกับความรู้สึกของผู้บริโภค ผู้บริโภคเขาจะมองว่าเป็นการปลอมตัวมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเขา
ข้อแนะนำสำหรับแบรนด์ที่จะทำ Seeding ก่อนอื่นควรต้องถามตัวเองก่อนว่าควรหรือไม่ควรที่จะทำคอนเทนต์ประเภทนี้ เหมือนเป็นการปลอมตัวเพื่อไปสร้างกระแส ทางที่ดีที่สุดมองว่าแบรนด์ควรทำสินค้าที่ดี การตลาดที่ดี และคอนเทนต์ของตนเองให้ดีมากกว่าการใช้หน้าม้าแอบแฝง
อ่านบทความตัวเต็มที่นี่
http://www.positioningmag.com/content/62902
ขอขอบคุณ เนื้อหาและภาพประกอบจาก
http://www.positioningmag.com
จ ญ น ห อ ด ม
บ่นให้ฟัง