หงอยเหงา เบื่อหน่าย ไม่สนุกสนานกับชีวิต นอนไม่หลับ สะดุ้งตื่นกลางดึก ฝันร้ายบ่อยครั้ง เก็บตัว
นั้นคืออาการที่ฉันเผชิญมายี่สิบกว่าวัน จนมีพี่ที่ฉันสนิทด้วย เอ่ยปากด้วยความเป็นห่วง
ฉันพยายามดึงสติตัวเองกลับมา หาข้อมูลของโรคบางโรคที่เกี่ยวกับอาการที่ฉันเป็น
และฉันก็พบว่า ฉันกำลังเสี่ยงกับการพาตัวเองเดินเข้าหา โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder)
นาทีนั้นฉันเริ่มเป็นห่วงตัวเอง เพราะมีคนที่ฉันต้องดูแลอีกหลายชีวิตที่ต้องพึ่งพาฉัน
ฉันรีบหาวิธีพาตัวเองออกจากความเสี่ยงทันที ด้วยการ เลือกทำกิจกรรมที่จะสร้างความรู้สึกที่ดีขึ้น
หรือเพลิดเพลินและไม่หนักเกินไปเช่นการออกกำลังเบาๆ การร่วมทำกิจกรรมทางสังคม
แต่วิธีเหล่านี้ก็ช่วยได้เพียงบางส่วน เพราะเมื่อไหร่ที่ชีวิตกลับสู่โหมดที่อยู่ลำพัง
อาการเดิมๆ ก็กลับมา จนวันหนึ่งฉันได้รู้จักกับวิธีบำบัด
ที่เรียกว่า ดนตรีบำบัด ฉันปล่อยให้ตัวเองเพลิดเพลินไปกับแนวเพลงที่เรียกว่า Green Music
ความรู้สึกผ่อนคลายที่เกิดขึ้นทำให้ฉันนอนหลับสนิท อย่างที่ไม่เคยเป็นมาเกือบยี่สิบกว่าวัน
ฉันใช้วิธีนี้บำบัดตัวเองจนรู้สึกดีขึ้น จนฉันสามารถใช้ชีวิตได้เกือบๆ เหมือนเดิม
มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะบ้าง ถึงจะยังไม่เต็มร้อย แต่ฉันจะทำเพื่อตัวเอง เพื่อคนรอบตัวๆ ที่รักและห่วงใยฉัน....
เพราะดนตรีสามารถเปลี่ยนมุมมองจากความรู้สึกมืดมนให้กลับมามีความสุขได้
แม้จะชั่วขณะ...แต่สำหรับผู้ป่วยบางคนถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก.
แต่สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ฉันดีขึ้นเรื่อย มันคือการยอมรับความจริง ความจริงช่วยรักษาทุกอย่างให้ดีขึ้นได้
แม้ช่วงแรกๆ มันอาจจะเกิดอาการต่อต้านจากจิตใจอย่างรุนแรงก็ตาม ภาพที่เค้าหอมแก้มกันหวานชื่น
ในวันที่ฉันจมทุกข์จนเกือบพาตัวเองสู่โรคที่น่ากลัวชนิดหนึ่ง
ฉันโชคดีที่ยังมีคนรอบๆ ตัวคอยห่วงใย แต่สำหรับคนที่เค้าไม่มีใคร
อาจจะแย่กว่าฉันและนำไปสู่เรื่องเศร้าที่คาดไม่ถึง
อย่ามองผู้ป่วยโรคนี้ว่าน่ารำคาญ เรียกร้องความสนใจจากสังคมเลย
สิ่งที่พวกเค้าต้องการคือความรักความเข้าใจ จากคนรอบข้าง
ช่วยกันดูแลคนรอบๆ กายของเรา ถ้าพบพฤติกรรมที่นำเค้าสู่ความเสี่ยง
รีบให้ความช่วยเหลือ เป็นที่ปรึกษาที่ดี อยู่เคียงข้างให้กำลังใจ
อย่าให้เค้าต้องเผชิญกับโรคร้ายนี้เพียงลำพัง
ประสบการณ์ของฉันสอนให้ฉันเข้าใจ ว่า สิ่งที่เปราะบางยิ่งกว่าสิ่งใด คือใจคนเรา นี่เอง.
พิษจากความรัก นำฉันสู่ความเสี่ยง โรคซึมเศร้า
นั้นคืออาการที่ฉันเผชิญมายี่สิบกว่าวัน จนมีพี่ที่ฉันสนิทด้วย เอ่ยปากด้วยความเป็นห่วง
ฉันพยายามดึงสติตัวเองกลับมา หาข้อมูลของโรคบางโรคที่เกี่ยวกับอาการที่ฉันเป็น
และฉันก็พบว่า ฉันกำลังเสี่ยงกับการพาตัวเองเดินเข้าหา โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder)
นาทีนั้นฉันเริ่มเป็นห่วงตัวเอง เพราะมีคนที่ฉันต้องดูแลอีกหลายชีวิตที่ต้องพึ่งพาฉัน
ฉันรีบหาวิธีพาตัวเองออกจากความเสี่ยงทันที ด้วยการ เลือกทำกิจกรรมที่จะสร้างความรู้สึกที่ดีขึ้น
หรือเพลิดเพลินและไม่หนักเกินไปเช่นการออกกำลังเบาๆ การร่วมทำกิจกรรมทางสังคม
แต่วิธีเหล่านี้ก็ช่วยได้เพียงบางส่วน เพราะเมื่อไหร่ที่ชีวิตกลับสู่โหมดที่อยู่ลำพัง
อาการเดิมๆ ก็กลับมา จนวันหนึ่งฉันได้รู้จักกับวิธีบำบัด
ที่เรียกว่า ดนตรีบำบัด ฉันปล่อยให้ตัวเองเพลิดเพลินไปกับแนวเพลงที่เรียกว่า Green Music
ความรู้สึกผ่อนคลายที่เกิดขึ้นทำให้ฉันนอนหลับสนิท อย่างที่ไม่เคยเป็นมาเกือบยี่สิบกว่าวัน
ฉันใช้วิธีนี้บำบัดตัวเองจนรู้สึกดีขึ้น จนฉันสามารถใช้ชีวิตได้เกือบๆ เหมือนเดิม
มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะบ้าง ถึงจะยังไม่เต็มร้อย แต่ฉันจะทำเพื่อตัวเอง เพื่อคนรอบตัวๆ ที่รักและห่วงใยฉัน....
เพราะดนตรีสามารถเปลี่ยนมุมมองจากความรู้สึกมืดมนให้กลับมามีความสุขได้
แม้จะชั่วขณะ...แต่สำหรับผู้ป่วยบางคนถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก.
แต่สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ฉันดีขึ้นเรื่อย มันคือการยอมรับความจริง ความจริงช่วยรักษาทุกอย่างให้ดีขึ้นได้
แม้ช่วงแรกๆ มันอาจจะเกิดอาการต่อต้านจากจิตใจอย่างรุนแรงก็ตาม ภาพที่เค้าหอมแก้มกันหวานชื่น
ในวันที่ฉันจมทุกข์จนเกือบพาตัวเองสู่โรคที่น่ากลัวชนิดหนึ่ง
ฉันโชคดีที่ยังมีคนรอบๆ ตัวคอยห่วงใย แต่สำหรับคนที่เค้าไม่มีใคร
อาจจะแย่กว่าฉันและนำไปสู่เรื่องเศร้าที่คาดไม่ถึง
อย่ามองผู้ป่วยโรคนี้ว่าน่ารำคาญ เรียกร้องความสนใจจากสังคมเลย
สิ่งที่พวกเค้าต้องการคือความรักความเข้าใจ จากคนรอบข้าง
ช่วยกันดูแลคนรอบๆ กายของเรา ถ้าพบพฤติกรรมที่นำเค้าสู่ความเสี่ยง
รีบให้ความช่วยเหลือ เป็นที่ปรึกษาที่ดี อยู่เคียงข้างให้กำลังใจ
อย่าให้เค้าต้องเผชิญกับโรคร้ายนี้เพียงลำพัง
ประสบการณ์ของฉันสอนให้ฉันเข้าใจ ว่า สิ่งที่เปราะบางยิ่งกว่าสิ่งใด คือใจคนเรา นี่เอง.