คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
เคยขึ้นศาลมาค่ะ ปีที่แล้ว พ่อของลูกไม่ยอมจดทะเบียนรับรองบุตร เพราะเขาคงไม่จดให้ ถ้ารู้ว่าทางดิฉันจะฟ้องร้องค่าเลี้ยงดู
ตอนแรกเขาก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าจะฟ้องค่าเลี้ยงดู รู้แค่เรื่องรับรองบุตร วันที่จดหมายศาลไปถึงเขา เขาก็คงรู้ทุกอย่างวันนั้น
ดิฉันเข้าไปหาท่านอัยการคุ้มครองสิทธิ์ เพราะดิฉันต้องการทนาย ไม่มีค่าใช้จ่าย ท่านอัยการคุ้มครองสิทธิ์ได้ช่วยเหลือโดยโทรศัพท์กับไปหา
พ่อของลูกดิฉัน และถามว่า ว่ายอมรับว่าเด็กคนนี้คือบุตรไหม ซึ่งเขาก็ยอมรับ และท่านอัยการบอกว่า
ถ้าอย่างนั้นให้มาจดรับรองบุตรกันที่เขต ผู้ชายก็บอกว่าจะโทรกลับ แต่เขากลับไม่โทรกลับ ไม่นัด ไม่ติดต่อกลับมา
เพราะฉนั้น ดิฉันก็เลยต้องเข้าสู่กระบวนการ "พิสูจน์ความเป็นพ่อลูก" หลังจากทนายยื่นเรื่องให้ที่ศาลแล้ว ศาลก็ให้เบอร์โทรศัพท์นัด
กับสถานพินิจว่าให้โทรไปทางสถานพินิจภาย 1 สัปดาห์หลังจากนั้น เพื่อนัดไปสอบปากคำ ถ้าลูกโตพูดได้ รู้จักพ่อ ก็ไม่จำเป็นต้องมีพยาน
แต่ถ้ายังเด็ก หรือไม่รู้จักพ่อ ต้องมีพยานที่รู้เห็นว่าเราเคยอยู่กินกับผู้ชายคนนี้ สถานพินิจจะถามรายละเอียดทุกอย่าง และจดบันทึกเพื่อ
เตรียมส่งให้กับศาลค่ะ ศาลจะยึดหลักฐานจากสถานพินิจเป็นหลัก ว่าพ่อลูกจริงไหม
ต่อ......
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1. สิ่งที่คุณต้องเตรียมอย่างแรกเลย ใบทะเบียนราษฏร์ (เรียกว่า ทร.1) ของ พ่อ-แม่-ลูก เข้าไปขอที่เขตออกให้ บอกว่าจะขอเอาไปยื่นให้ทนาย
ทำเรื่องรับรองบุตร ใบทะเบียนราษฏร์ที่ได้มานี่ ต้องมีอายุไม่เกิน 30 วันที่จะยื่นให้ทนาย หมายถึงอย่าเอามาดองไว้นะคะ ทนายจะขึ้นศาล
ทนายต้องมีทะเบียนราษฏร์ของผู้ชายและลูกๆ ของคุณด้วยก็ดี ต่อมาก็ถ่ายเอกสารเช่น ทะเบียนบ้านตัวเอง และลูก บัตรปชช ใบเกิดลูก
ไว้เยอะๆ รูปถ่ายที่ลูกเคยถ่ายกับพ่อหรือถ่ายภาพครอบครัว ควรจะมี หลักฐานในการคุยในไลน์ ที่บอกถึงความเป็นพ่อของลูก ถ้ามีก็ปริ้นท์ภาพสีมา
ถ้าเขาเคยโอนเงินเข้าบัญชีมาให้คุณ หรือเคยจ่ายอะไรให้ลูก ควรไปขอย้อนหลังกับธนาคารเนิ่นๆ เพราะบางอย่างก็ต้องใช้หลักฐานพิสูจน์
ความสัมพันธ์ ถ้าหากเขาไม่ยอมมารับรองบุตรให้ คุณกับลูกจะเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ค่ะ ไม่ใช่ตรวจดีเอ็นเอนะคะ อ่อ นอกจากเก็บใบเสร็จแล้ว
ที่สำคัญอีกอย่าง คือทำรายงานค่าใช้จ่าย ลิสท์ออกมาเลยค่ะ ว่าค่ากินค่าอยู่ ค่ารถของลูก ค่าเทอมย้อนหลังทุกเทอม (ยิ่งมีใบค่าเล่าเรียนของปีนั้นๆ
เพิ่มด้วยยิ่งดี) ถ้าไม่มีให้ขอกับทางโรงเรียนไว้ก่อนเลย และค่าใช้จ่ายอื่นๆอีก พิมพ์ออกมา หลายฉบับ เก็บไว้เอง ให้ทนาย ให้ศาล
2. 16,000 เยอะไปไหม อันนี้ตอบแทนไม่ได้ สมมุติเขาทำงานเงินเดือนๆละ 40,000 ศาลอาจจะไม่ให้คุณก็ได้ เดาใจศาลลำบาก มันขึ้นอยู่กับ
การเงิน ฐานะของคุณทั้งสองคน ท่านผู้พิพากษาเคยพูดตอนที่ดิฉันขึ้นศาลว่า (คร่าวๆนะคะ) "การจะตัดสินว่าจะให้เท่าไหร่ ก็ต้องดูด้วยว่าพ่อแม่เด็กเป็นใคร เป็นตาสีตาสา แล้วมาขอเยอะแบบนี้ เหมาะสมหรือเปล่าอีกด้วย หรือถ้าพ่อเรียนจบโรงเรียนดีๆมา เรียนเมืองนอกเมืองนา แต่ให้เงินลูกเท่านี้ ลูกไปเรียนวัดลิงขบ แบบนี้ก็ไม่ใช่" การที่ฟ้องแล้วได้ค่าเลี้ยงดู ไม่ได้จบการเป็นพ่อของลูก ศาลเคยยกเคส เช่น ถ้าเกิดลูกเราเจ็บป่วย เรามีเงินไม่พอรักษาลูก วันนึงพ่อก็ต้องเข้ามาช่วย อะไรประมาณนี้ ถ้าคุณจะเรียกเป็นเงินก้อน ถ้าผู้ชายเขาตกลงให้คุณ คุณก็จะจบที่เงินก้อนในห้องไกล่เกลี่ย แต่ส่วนมากไม่ยอมหรอก และถ้าจะให้ศาลท่านตัดสิน แฟนเก่าคุณก็ต้องสู้คดี เป็นธรรมดา พอตัดสินได้ จะตัดสินให้เป็น ค่าเลี้ยงดูบุตรรายเดือนอ่ะค่ะ อย่างกรณีเคสดารา เขาใช้ทนายเก่งๆสืบ รู้รายได้ผู้ชาย เรียกร้องได้เยอะ แต่ปกติดิฉันว่าทนายไม่ค่อยอะไรมากับคดีแบบนี้
เพราะเป็นคดีครอบครัว มันไม่ได้อะไรเท่าไหร่ ดิฉันเคยปรึกษาหรือจะจ้างทนาย เขาดูไม่ค่อยจะสนใจเข้ามาดูเคสของดิฉันเลย
* แล้วอีกอย่างคือ ถ้าสมมุติบ้านเขาจะร่ำรวยก็ตาม ศาลจะไม่มองว่าพ่อแม่เขามีเงินแค่ไหน ศาลจะมองแค่จำเลย คือหลักฐานรายได้ ที่เขาทำในธุรกิจหรือในบริษัท ว่าเขาได้เงินเดือนเท่านี้แหละ แต่ทรัพย์สินอื่นเป็นของพ่อแม่ผู้ชายหมด ศาลจะดูจากรายได้จากผู้ชายเป็นหลักค่ะ แต่ถ้าเขามี
รายรับด้านอื่นที่ไม่เปิดเผย อันนี้ลำบากหน่อยค่ะ บางคนมีเงินก็จ้างนักสืบๆรายได้ของคนๆนั้น
ที่มาที่ไปของ 16,000 คุณควรมีหลักฐานย้อนหลัง นั่นคือใบเสร็จทุกอย่างนั่นเอง ถ้าไม่มีแล้วรีบให้ทนายฟ้องเลย แบบนี้แย่แน่ๆ
ถ้าถามว่า แล้วทิ้งใบเสร็จไปหมดแล้วอ่ะ ก็เริ่มเก็บใหม่ค่ะ ยังไม่แนะนำให้ขึ้นศาลภายใน 3-6 เดือนนี้ ให้เวลากับตัวเองหน่อยไหนๆจะฟ้องแล้วใช้เวลาตรงนี้เก็บใบเสร็จ ใจเย็นๆ เก็บหลักฐานทางการเงินของคุณและลูกๆ เพราะถ้าโชคไม่เข้าข้าง ฝั่งแฟนเก่าคุณ จะขอสู้คดี (ส่วนมากจะขอสู้) การสู้ของเขาคือเอารายจ่ายทุกอย่างของเขามาหักล้างกับคุณ แล้วคุณล่ะก็ต้องมีหลักฐาน เช่นใบเสร็จพวกนี้มาสู้กับเขา ส่วนเขาจะสร้างรายจ่ายหลอกหรือจริงแล้ว เราเองก็พิสูจน์ไม่ได้ ก็แย่เหมือนกัน แต่ส่วนมากจบที่ชั้นไกล่เกลี่ยค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ดิฉันไกล่เกลี่ย 2 รอบแล้ว ไม่เป็นผล รอบแรกฝ่ายชายให้คนอื่นมาแทน รอบที่ 2 ทนายไม่มา เหมือนยื้อเวลากัน พอครั้งถัดไปจำเลยมา ก็เลยต้องขึ้นไปเจอท่านผู้พิพากษา ฟังท่านพูด 1 ครั้ง ท่านก็นัดมาใหม่เพื่อสืบพยานในครั้งต่อไป พอมาใหม่ ยังไม่ทันเจอท่านผู้พิพากษา ก็ได้มาเข้าห้องไกล่เกลี่ยก่อนขึ้นศาลเป็นการฆ่าเวลา ปรากฏเรื่องจบในห้องไกล่เกลี่ยค่ะ แม้ไม่พอใจในจำนวนเงินเท่าไหร่ แต่ก็มีข้อตกลงอื่นที่ดี ดิฉันก็เลยตกลงค่ะ ทุกอย่างเจ้าหน้าที่ในห้องนั้น จะบันทึกหมด และสุดท้าย เจ้าหน้าที่จะทำเอกสารรับรองบุตรและค่าใช้จ่ายที่ตกลงกัน ในฉบับเดียวกัน จบในห้องนั้นค่ะ
3. คุณไม่เคยจดทะเบียนกับเขา เรียกได้แค่ของลูกๆ แต่คุณจะคิดค่าใช้จ่ายย้อนหลังก็ได้ค่ะ จริงๆลองทำบัญชีย้อนหลังตั้งแต่เกิดเลย ถ้าเขาไม่เคยดูแลลูกเลย จะได้หรือไม่ได้อีกเรื่องนะคะ ไม่ต้องทำก็ได้แล้วหรือ ไม่งั้นต้องปรึกษาทนายค่ะ
4. คุณไม่ได้จดทะเบียนแต่งงาน เงินที่แฟนยืมไป ก็ต้องไปฟ้องอีกเคส หลักฐานทางการเงินต้องมี จะขึ้นศาลต้องมีหลักฐาน
5. เดี๋ยวศาล หรือท่านที่ไกล่เกลี่ย จะต้องบอกอ่ะค่ะ ว่าลูกเป็นของทั้งสองคน ต้องรับผิดชอบร่วมกัน คนละครึ่ง ถ้าจะเรียกต่างหาก
คุณก็อาจจะต้องติดต่อพ่อของลูกเป็นการส่วนตัวเอง เงินที่ฟ้องได้ จะเป็นตัวเลขเดียว ค่ะ
6. ต้องลองปรึกษาทนาย เพราะศาลจะไม่ทำอะไรจุกจิก คุณตกลงกันอย่างไรในห้องไกล่เกลี่ย ท่านไกล่เกลี่ยจะคอยหาทางออกให้คุณ
กับแฟนเก่าคุณด้วยค่ะ เหมือนเป็นการคุยกัน ถ้าตกลงกัน ก็พิมพ์เอกสาร เซ็นกันเลย จริงๆคุณก็เอาเรื่องนี้ไปพูดในห้องไกล่เกลี่ยได้เลย
ในห้องไกล่เกลี่ย ทนายคุณสองคนอาจจะเข้าได้แต่จะพูดแซกแทรงแทนคุณไม่ได้ จะเป็นหน้าที่ของคุณสองคน และท่านไกล่เกลี่ย ที่ต้องคุยกัน
ขั้นตอนนี้ ทนายจะทำแค่รวบรวมเอกสารให้คุณ ถ้าเป็นเคสที่มีส่วนได้ส่วนเสียกันเยอะ เขาจะไม่ให้ทนายเข้าห้องไกล่เกลี่ยเลยค่ะ
7. จะเรียกค่าใช้จ่ายเพิ่มได้ไหม มีอยู่ 2 ทาง คือ 1.คุยกับแฟนเก่า ขอเพิ่ม เพราะมีค่าใช้จ่ายจำเป็น จ่ายคนเดียวไม่ไหว ขอความช่วยเหลือจากเขา 2. คือต้องขึ้นศาลฟ้องใหม่ เพื่อเพิ่มค่าเลี้ยงดูบุตรค่ะ
8. แฟนเก่าคุณจะตกลง มีอยู่สองแบบ คือ 1. ตกลงจับมือกันไปรับรองบุตรให้ลูกกันดีๆ คุณจะได้ไม่ต้องเข้ากระบวนการพิสูจน์ใดๆ ซึ่งถ้าเขารู้ว่าคุณจะฟ้อง เขาอาจไม่มาก็ได้ 2. ตกลงเป็นตัวเลขที่พอใจของทั้งสองฝ่ายในห้องไกล่เกลี่ย
แต่ถ้าไม่ คือ ต้องเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ต่างๆ เสียเวลามากมาย และถ้าตกลงค่าเลี้ยงดูไม่ได้ ก็ต้องขึ้นศาลให้ท่านผู้พิพากษาสืบพยาน เหนื่อยแทนค่ะ
***ศาลให้จำนวนเลขเดียว เช่น 1x,xxx ก็ให้เท่านี้จนบรรลุนิติภาวะ ถ้าวันนึงค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามอายุคุณจะเปลี่ยนตัวเลขในอนาคตก็ได้ค่ะ ก็ต้องยื่นเรื่องอีก (ถ้าแฟนเป็นข้าราชการก็แย่เลยนะคะ เพราะคุณจะเรียกได้น้อยมาก) ถ้าวันนึงแฟนเก่าคุณหยุดการจ่าย คุณโทรกริ้งเดียวที่ศาลเลยค่ะ ศาลจัดการทันที กฏหมายเข้มขึ้น อาจจะโดนเรียกตัวมานะคะ
***** ต้องไปศาลจังหวัดที่ทะเบียนบ้านผู้ชายนะคะ ถ้าทะเบียนบ้านอยู่คนละจังหวัดนี่ต้องเทียวไปเทียวมาหลายรอบเลยค่ะ ศาลจะยกเว้นให้
เช่นผู้พิการที่เดินทางลำบากแบบนี้ค่ะ
******* พยายามจบที่ห้องไกล่เกลี่ยนะคะ เพราะถ้าศาลเห็นว่าแฟนเก่าคุณไม่สามารถให้ 16,000 ได้ เพราะรายได้เขาไม่เพียงพอ
หรือว่าคุณขอมากเกินไป คุณอาจจะได้ตัวเลขที่ไม่ได้พอใจก็ได้ การให้ศาลตัดสินก็เสี่ยงเหมือนกันค่ะ เดาไม่ออกเลยว่าจะได้เท่าไหร่
เลยให้จบที่ห้องไกล่เกลี่ย ดีที่สุด สุดท้ายแล้วก็ต้องขึ้นไปให้ท่านผู้พิพากษารับทราบว่าคุณไกล่เกลี่ยกันได้แล้วค่ะ
โชคดีค่ะ
ตอนแรกเขาก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าจะฟ้องค่าเลี้ยงดู รู้แค่เรื่องรับรองบุตร วันที่จดหมายศาลไปถึงเขา เขาก็คงรู้ทุกอย่างวันนั้น
ดิฉันเข้าไปหาท่านอัยการคุ้มครองสิทธิ์ เพราะดิฉันต้องการทนาย ไม่มีค่าใช้จ่าย ท่านอัยการคุ้มครองสิทธิ์ได้ช่วยเหลือโดยโทรศัพท์กับไปหา
พ่อของลูกดิฉัน และถามว่า ว่ายอมรับว่าเด็กคนนี้คือบุตรไหม ซึ่งเขาก็ยอมรับ และท่านอัยการบอกว่า
ถ้าอย่างนั้นให้มาจดรับรองบุตรกันที่เขต ผู้ชายก็บอกว่าจะโทรกลับ แต่เขากลับไม่โทรกลับ ไม่นัด ไม่ติดต่อกลับมา
เพราะฉนั้น ดิฉันก็เลยต้องเข้าสู่กระบวนการ "พิสูจน์ความเป็นพ่อลูก" หลังจากทนายยื่นเรื่องให้ที่ศาลแล้ว ศาลก็ให้เบอร์โทรศัพท์นัด
กับสถานพินิจว่าให้โทรไปทางสถานพินิจภาย 1 สัปดาห์หลังจากนั้น เพื่อนัดไปสอบปากคำ ถ้าลูกโตพูดได้ รู้จักพ่อ ก็ไม่จำเป็นต้องมีพยาน
แต่ถ้ายังเด็ก หรือไม่รู้จักพ่อ ต้องมีพยานที่รู้เห็นว่าเราเคยอยู่กินกับผู้ชายคนนี้ สถานพินิจจะถามรายละเอียดทุกอย่าง และจดบันทึกเพื่อ
เตรียมส่งให้กับศาลค่ะ ศาลจะยึดหลักฐานจากสถานพินิจเป็นหลัก ว่าพ่อลูกจริงไหม
ต่อ......
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1. สิ่งที่คุณต้องเตรียมอย่างแรกเลย ใบทะเบียนราษฏร์ (เรียกว่า ทร.1) ของ พ่อ-แม่-ลูก เข้าไปขอที่เขตออกให้ บอกว่าจะขอเอาไปยื่นให้ทนาย
ทำเรื่องรับรองบุตร ใบทะเบียนราษฏร์ที่ได้มานี่ ต้องมีอายุไม่เกิน 30 วันที่จะยื่นให้ทนาย หมายถึงอย่าเอามาดองไว้นะคะ ทนายจะขึ้นศาล
ทนายต้องมีทะเบียนราษฏร์ของผู้ชายและลูกๆ ของคุณด้วยก็ดี ต่อมาก็ถ่ายเอกสารเช่น ทะเบียนบ้านตัวเอง และลูก บัตรปชช ใบเกิดลูก
ไว้เยอะๆ รูปถ่ายที่ลูกเคยถ่ายกับพ่อหรือถ่ายภาพครอบครัว ควรจะมี หลักฐานในการคุยในไลน์ ที่บอกถึงความเป็นพ่อของลูก ถ้ามีก็ปริ้นท์ภาพสีมา
ถ้าเขาเคยโอนเงินเข้าบัญชีมาให้คุณ หรือเคยจ่ายอะไรให้ลูก ควรไปขอย้อนหลังกับธนาคารเนิ่นๆ เพราะบางอย่างก็ต้องใช้หลักฐานพิสูจน์
ความสัมพันธ์ ถ้าหากเขาไม่ยอมมารับรองบุตรให้ คุณกับลูกจะเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ค่ะ ไม่ใช่ตรวจดีเอ็นเอนะคะ อ่อ นอกจากเก็บใบเสร็จแล้ว
ที่สำคัญอีกอย่าง คือทำรายงานค่าใช้จ่าย ลิสท์ออกมาเลยค่ะ ว่าค่ากินค่าอยู่ ค่ารถของลูก ค่าเทอมย้อนหลังทุกเทอม (ยิ่งมีใบค่าเล่าเรียนของปีนั้นๆ
เพิ่มด้วยยิ่งดี) ถ้าไม่มีให้ขอกับทางโรงเรียนไว้ก่อนเลย และค่าใช้จ่ายอื่นๆอีก พิมพ์ออกมา หลายฉบับ เก็บไว้เอง ให้ทนาย ให้ศาล
2. 16,000 เยอะไปไหม อันนี้ตอบแทนไม่ได้ สมมุติเขาทำงานเงินเดือนๆละ 40,000 ศาลอาจจะไม่ให้คุณก็ได้ เดาใจศาลลำบาก มันขึ้นอยู่กับ
การเงิน ฐานะของคุณทั้งสองคน ท่านผู้พิพากษาเคยพูดตอนที่ดิฉันขึ้นศาลว่า (คร่าวๆนะคะ) "การจะตัดสินว่าจะให้เท่าไหร่ ก็ต้องดูด้วยว่าพ่อแม่เด็กเป็นใคร เป็นตาสีตาสา แล้วมาขอเยอะแบบนี้ เหมาะสมหรือเปล่าอีกด้วย หรือถ้าพ่อเรียนจบโรงเรียนดีๆมา เรียนเมืองนอกเมืองนา แต่ให้เงินลูกเท่านี้ ลูกไปเรียนวัดลิงขบ แบบนี้ก็ไม่ใช่" การที่ฟ้องแล้วได้ค่าเลี้ยงดู ไม่ได้จบการเป็นพ่อของลูก ศาลเคยยกเคส เช่น ถ้าเกิดลูกเราเจ็บป่วย เรามีเงินไม่พอรักษาลูก วันนึงพ่อก็ต้องเข้ามาช่วย อะไรประมาณนี้ ถ้าคุณจะเรียกเป็นเงินก้อน ถ้าผู้ชายเขาตกลงให้คุณ คุณก็จะจบที่เงินก้อนในห้องไกล่เกลี่ย แต่ส่วนมากไม่ยอมหรอก และถ้าจะให้ศาลท่านตัดสิน แฟนเก่าคุณก็ต้องสู้คดี เป็นธรรมดา พอตัดสินได้ จะตัดสินให้เป็น ค่าเลี้ยงดูบุตรรายเดือนอ่ะค่ะ อย่างกรณีเคสดารา เขาใช้ทนายเก่งๆสืบ รู้รายได้ผู้ชาย เรียกร้องได้เยอะ แต่ปกติดิฉันว่าทนายไม่ค่อยอะไรมากับคดีแบบนี้
เพราะเป็นคดีครอบครัว มันไม่ได้อะไรเท่าไหร่ ดิฉันเคยปรึกษาหรือจะจ้างทนาย เขาดูไม่ค่อยจะสนใจเข้ามาดูเคสของดิฉันเลย
* แล้วอีกอย่างคือ ถ้าสมมุติบ้านเขาจะร่ำรวยก็ตาม ศาลจะไม่มองว่าพ่อแม่เขามีเงินแค่ไหน ศาลจะมองแค่จำเลย คือหลักฐานรายได้ ที่เขาทำในธุรกิจหรือในบริษัท ว่าเขาได้เงินเดือนเท่านี้แหละ แต่ทรัพย์สินอื่นเป็นของพ่อแม่ผู้ชายหมด ศาลจะดูจากรายได้จากผู้ชายเป็นหลักค่ะ แต่ถ้าเขามี
รายรับด้านอื่นที่ไม่เปิดเผย อันนี้ลำบากหน่อยค่ะ บางคนมีเงินก็จ้างนักสืบๆรายได้ของคนๆนั้น
ที่มาที่ไปของ 16,000 คุณควรมีหลักฐานย้อนหลัง นั่นคือใบเสร็จทุกอย่างนั่นเอง ถ้าไม่มีแล้วรีบให้ทนายฟ้องเลย แบบนี้แย่แน่ๆ
ถ้าถามว่า แล้วทิ้งใบเสร็จไปหมดแล้วอ่ะ ก็เริ่มเก็บใหม่ค่ะ ยังไม่แนะนำให้ขึ้นศาลภายใน 3-6 เดือนนี้ ให้เวลากับตัวเองหน่อยไหนๆจะฟ้องแล้วใช้เวลาตรงนี้เก็บใบเสร็จ ใจเย็นๆ เก็บหลักฐานทางการเงินของคุณและลูกๆ เพราะถ้าโชคไม่เข้าข้าง ฝั่งแฟนเก่าคุณ จะขอสู้คดี (ส่วนมากจะขอสู้) การสู้ของเขาคือเอารายจ่ายทุกอย่างของเขามาหักล้างกับคุณ แล้วคุณล่ะก็ต้องมีหลักฐาน เช่นใบเสร็จพวกนี้มาสู้กับเขา ส่วนเขาจะสร้างรายจ่ายหลอกหรือจริงแล้ว เราเองก็พิสูจน์ไม่ได้ ก็แย่เหมือนกัน แต่ส่วนมากจบที่ชั้นไกล่เกลี่ยค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ดิฉันไกล่เกลี่ย 2 รอบแล้ว ไม่เป็นผล รอบแรกฝ่ายชายให้คนอื่นมาแทน รอบที่ 2 ทนายไม่มา เหมือนยื้อเวลากัน พอครั้งถัดไปจำเลยมา ก็เลยต้องขึ้นไปเจอท่านผู้พิพากษา ฟังท่านพูด 1 ครั้ง ท่านก็นัดมาใหม่เพื่อสืบพยานในครั้งต่อไป พอมาใหม่ ยังไม่ทันเจอท่านผู้พิพากษา ก็ได้มาเข้าห้องไกล่เกลี่ยก่อนขึ้นศาลเป็นการฆ่าเวลา ปรากฏเรื่องจบในห้องไกล่เกลี่ยค่ะ แม้ไม่พอใจในจำนวนเงินเท่าไหร่ แต่ก็มีข้อตกลงอื่นที่ดี ดิฉันก็เลยตกลงค่ะ ทุกอย่างเจ้าหน้าที่ในห้องนั้น จะบันทึกหมด และสุดท้าย เจ้าหน้าที่จะทำเอกสารรับรองบุตรและค่าใช้จ่ายที่ตกลงกัน ในฉบับเดียวกัน จบในห้องนั้นค่ะ
3. คุณไม่เคยจดทะเบียนกับเขา เรียกได้แค่ของลูกๆ แต่คุณจะคิดค่าใช้จ่ายย้อนหลังก็ได้ค่ะ จริงๆลองทำบัญชีย้อนหลังตั้งแต่เกิดเลย ถ้าเขาไม่เคยดูแลลูกเลย จะได้หรือไม่ได้อีกเรื่องนะคะ ไม่ต้องทำก็ได้แล้วหรือ ไม่งั้นต้องปรึกษาทนายค่ะ
4. คุณไม่ได้จดทะเบียนแต่งงาน เงินที่แฟนยืมไป ก็ต้องไปฟ้องอีกเคส หลักฐานทางการเงินต้องมี จะขึ้นศาลต้องมีหลักฐาน
5. เดี๋ยวศาล หรือท่านที่ไกล่เกลี่ย จะต้องบอกอ่ะค่ะ ว่าลูกเป็นของทั้งสองคน ต้องรับผิดชอบร่วมกัน คนละครึ่ง ถ้าจะเรียกต่างหาก
คุณก็อาจจะต้องติดต่อพ่อของลูกเป็นการส่วนตัวเอง เงินที่ฟ้องได้ จะเป็นตัวเลขเดียว ค่ะ
6. ต้องลองปรึกษาทนาย เพราะศาลจะไม่ทำอะไรจุกจิก คุณตกลงกันอย่างไรในห้องไกล่เกลี่ย ท่านไกล่เกลี่ยจะคอยหาทางออกให้คุณ
กับแฟนเก่าคุณด้วยค่ะ เหมือนเป็นการคุยกัน ถ้าตกลงกัน ก็พิมพ์เอกสาร เซ็นกันเลย จริงๆคุณก็เอาเรื่องนี้ไปพูดในห้องไกล่เกลี่ยได้เลย
ในห้องไกล่เกลี่ย ทนายคุณสองคนอาจจะเข้าได้แต่จะพูดแซกแทรงแทนคุณไม่ได้ จะเป็นหน้าที่ของคุณสองคน และท่านไกล่เกลี่ย ที่ต้องคุยกัน
ขั้นตอนนี้ ทนายจะทำแค่รวบรวมเอกสารให้คุณ ถ้าเป็นเคสที่มีส่วนได้ส่วนเสียกันเยอะ เขาจะไม่ให้ทนายเข้าห้องไกล่เกลี่ยเลยค่ะ
7. จะเรียกค่าใช้จ่ายเพิ่มได้ไหม มีอยู่ 2 ทาง คือ 1.คุยกับแฟนเก่า ขอเพิ่ม เพราะมีค่าใช้จ่ายจำเป็น จ่ายคนเดียวไม่ไหว ขอความช่วยเหลือจากเขา 2. คือต้องขึ้นศาลฟ้องใหม่ เพื่อเพิ่มค่าเลี้ยงดูบุตรค่ะ
8. แฟนเก่าคุณจะตกลง มีอยู่สองแบบ คือ 1. ตกลงจับมือกันไปรับรองบุตรให้ลูกกันดีๆ คุณจะได้ไม่ต้องเข้ากระบวนการพิสูจน์ใดๆ ซึ่งถ้าเขารู้ว่าคุณจะฟ้อง เขาอาจไม่มาก็ได้ 2. ตกลงเป็นตัวเลขที่พอใจของทั้งสองฝ่ายในห้องไกล่เกลี่ย
แต่ถ้าไม่ คือ ต้องเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ต่างๆ เสียเวลามากมาย และถ้าตกลงค่าเลี้ยงดูไม่ได้ ก็ต้องขึ้นศาลให้ท่านผู้พิพากษาสืบพยาน เหนื่อยแทนค่ะ
***ศาลให้จำนวนเลขเดียว เช่น 1x,xxx ก็ให้เท่านี้จนบรรลุนิติภาวะ ถ้าวันนึงค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามอายุคุณจะเปลี่ยนตัวเลขในอนาคตก็ได้ค่ะ ก็ต้องยื่นเรื่องอีก (ถ้าแฟนเป็นข้าราชการก็แย่เลยนะคะ เพราะคุณจะเรียกได้น้อยมาก) ถ้าวันนึงแฟนเก่าคุณหยุดการจ่าย คุณโทรกริ้งเดียวที่ศาลเลยค่ะ ศาลจัดการทันที กฏหมายเข้มขึ้น อาจจะโดนเรียกตัวมานะคะ
***** ต้องไปศาลจังหวัดที่ทะเบียนบ้านผู้ชายนะคะ ถ้าทะเบียนบ้านอยู่คนละจังหวัดนี่ต้องเทียวไปเทียวมาหลายรอบเลยค่ะ ศาลจะยกเว้นให้
เช่นผู้พิการที่เดินทางลำบากแบบนี้ค่ะ
******* พยายามจบที่ห้องไกล่เกลี่ยนะคะ เพราะถ้าศาลเห็นว่าแฟนเก่าคุณไม่สามารถให้ 16,000 ได้ เพราะรายได้เขาไม่เพียงพอ
หรือว่าคุณขอมากเกินไป คุณอาจจะได้ตัวเลขที่ไม่ได้พอใจก็ได้ การให้ศาลตัดสินก็เสี่ยงเหมือนกันค่ะ เดาไม่ออกเลยว่าจะได้เท่าไหร่
เลยให้จบที่ห้องไกล่เกลี่ย ดีที่สุด สุดท้ายแล้วก็ต้องขึ้นไปให้ท่านผู้พิพากษารับทราบว่าคุณไกล่เกลี่ยกันได้แล้วค่ะ
โชคดีค่ะ
▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
ปัญหาครอบครัว
กฎหมายชาวบ้าน
ขอคำปรึกษาเรื่องค่าเลี้ยงดูลูกคะ
1.คุณแม่กับแฟน ไม่ได้จดทะเบียนกัน ต้องไปขอจดรับรองบุตรที่อำเภอได้เลยใช่ไหมคะ พอดีมีลูก2คนคะ คนโต4ขวบ คนเล็ก8เดือนคะ คุณแม่ต้องเตรียมอะไรไปบ้างคะ
2.คุณแม่เรียกค่าเลี้ยงดูลูกไปคนละ 8000 รวม2คนก็ 16,000 เยอะไปไหมคะ เปนค่ากินอยู่ ค่าของใช้ ค่ายาเวลาเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆคะ?
3.คุณแม่เรียกค่าเลี้ยงดูของคุณแม่ได้ไหมคะ คุณแม่ไม่ได้ผิด ไม่ได้นอกใจ ถ้าเรียกได้ เรียกได้ที่เท่าไร?
4.เงินที่แฟนยืมไป ถือเป็นสินสมรสไหมคะ เพราะไม่ได้จดทะเบียน ถ้าไม่ใช่ ขอคืนได้ใช่ไหมคะ?
5.น้องคนโตป่วยคะ น้องเป็นแอลดี เป็นโรคบกพร่องทางพฤติกรรมการเข้าสังคม การดูแลตัวเอง การใช้ชีวิต กำลังรักษาคะ แต่ต้องใช้เวลา ใช้ใจกับเค้ามาก ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ คุณแม่เรียกต่างหากได้ไหมคะ?
6.แล้วน้องก็ต้องผ่าตัดทอมซิลคะ น้องป่วยบ่อย เดือนนึงเข้าโรงพยาบาลหลายรอบ น้องหยุดหายใจเวลานอน แล้วน้องก็มีปอดข้างนึงเล็กข้างนึงใหญ่ ทำให้อีกข้างทำงานหนัก หายใจไม่ค่อยสะดวก หอบง่าย กินยาบางตัวเหมือนเด็กคนอื่นๆไม่ค่อยได้ ต้องเฉพาะของเค้า แถมบอบบาง แพ้สาระพัดอย่าง น้องน่าสงสารคะ น้องจะติดคุณแม่มาก จะเรียกร้องความสนใจตลอดเวลา น้องพูดไม่ค่อยชัด น้องสื่อสารไม่ค่อยเก่ง ในส่วนนี้คุณแม่เรียกต่างหากได้ไหมคะ
7.ในอนาคตคุณแม่สามารถเรียกค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆได้ไหมคะ ค่าเทอม ค่าเรียนพิเศษ ค่ากิจกรรมสันทนาการบำบัด ค่าเดินทาง (น้องต้องเรียนรร.เฉพาะในแบบน้องคะ)
8.ในแต่ละที่คุณแม่ถาม ถ้าแฟนคุณแม่ตกลง ต้องทำเปนลายลักษณ์อักษร แล้วมีพยานเซ็นใช่ไหมคะ ถ้าไม่ตกลงต้องฟ้องศาลอย่างเดียวใช่ไหมคะ
ปล.คุณแม่มีงานทำ มีเงินเดือนคะ แต่ตอนนี้ต้องดูแลน้องเต็มเวลาคะ มีเงินเก็บแค่หมื่นกว่าบาทเองคะ
#ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบนะคะ คุณแม่ยืมพาสเวิร์ดเพื่อนมา ถ้าทำอะไรผิดไป ก็ขอโทษด้วยนะคะ