จากกระทู้ "เมื่อคุณรู้คุณจะไม่แปลกใจว่าทำไมนาซีถึงต้องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว" ทำไมถึงยังมีคนหาเหตุผลที่สมควรฆ่ายิวคะ

ขอถามความเห็นในเชิงถกเถียงเชิงวิชาการนะคะ

บังเอิญเพิ่งได้มีโอกาสได้อ่านกระทู้

http://ppantip.com/topic/31298046/  ---->เมื่อคุณรู้คุณจะไม่แปลกใจว่าทำไมนาซีถึงต้องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว<---- ของคุณเวย์คุง

ทำไมถึงมีคนเห็นด้วยกับการหาเหตุผลสำหรับการกระทำที่ไม่ควรเป็นสิ่งถูกคะ

ความเห็นที่เราให้ไว้ในกระทู้นั้นคือ



ปกหนังสือเป็นตัวไกด์ไลน์ข้อความในหนังสือนะคะ การจะบอกว่าตั้งชื่อแค่เรียกแขก ไม่ได้มีเจตนาตามนั้น ก็แสดงถึงความไม่จริงใจต่อผู้อ่านตั้งแต่เขียนปกหนังสือเลยนะคะ

ลองคิดในมุมกลับกันว่าถ้าแปลข้อความที่คุณเจ้าของกระทู้เขียนเป็นภาษาเยอรมันหรือภาษาอิสราเอลจะได้เสียงตอบรับยังไง

ไม่ได้ต้องการโจมตีนะคะ แค่เห็นต่างว่าหัวข้อเรื่องสงครามเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างอ่อนไหว เห็นด้วยว่าสงครามมีไว้ให้ศึกษา ไม่ได้มีไว้เพื่อเกลียดชัง การจั่วหัวข้อที่เรียกแขก แต่เป็นไปในเชิงเนกกาทีฟ เราเห็นต่างว่าไม่ควร ถ้าได้อ่านกระทู้ของคุณเชษฐาที่เขียนเรื่องราวของสงครามได้อย่างน่าสนใจและน่าติดตาม ยังสามารถเล่าเรื่องของสงครามได้อย่างไม่มีไบแอสหรืออคติหรือข้อความเชิงลบในการเรียกแขกใดๆ และมีคนเข้าไปอ่านกระทู้ของคุณเชษฐามากมาย ขอโทษนะที่อินกับเรื่องนี้ไปหน่อย เราอยู่ในเยอรมนีที่ตอนนี้มีปัญหาและการกระทบกระทั่งระหว่างคนเยอรมันกับผู้ลี้ภัย แม้แต่คนเยอรมันเอง (เฉพาะคนดีๆนะคะ คนแย่ๆมีทุกที่ในโลกค่ะ) ยังพูดถึงผู้ลี้ภัยและเชลยทางสงครามด้วยความเคารพและเห็นใจ เราเองเพิ่งกลับมาจากยุโรปตะวันออก มีโอกาสไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์ทางสงครามหลายประเทศ และมีแพลนจะไปเอ้าช์วิสเร็วๆนี้ ถ้าคุณได้ฟังคนเหล่านี้เล่าเรื่องสงครามให้ฟังทั้งน้ำตา ถ้าคุณได้เดินอ่านเรื่องราวของการต่อสู้เพื่อรักษาชาติพันธุ์และประเทศของตัวเอง คุณจะไม่มีวันใช้คำว่า เข้าใจแล้วว่าทำไมคนเหล่านั้นต้องตาย คนที่ตายห้าล้านคน(เท่าที่มีการบันทึก)ไม่ใช่ทุกคนที่เปิดร้านรองเท้าที่คุณกล่าวอ้างว่าเอาเปรียบคนเยอรมัน แล้วก็ไม่ใช่คนที่นำทหารโรมันมาฆ่าพระเยซู ถ้ามีเวลาว่างลองอ่านบันทึกของอันเนอะ ฟรางค์ดูนะคะ เราว่าอันเนอะ แฟรงค์ก็ไม่ได้ฆ่าพระเยซู แล้วก็ไม่ได้เปิดร้านรองเท้าด้วยค่ะ แต่เธอก็คือหนึ่งในเหยื่อของสงคราม จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งในบันทึกว่าคนเยอรมันโกรธที่คนยิวคายความลับ เธอแค่ตั้งคำถามกลับว่า ถ้าเป็นคุณโดนทรมานแบบเดียวกัน คุณจะทำยังไง บางทีที่เค้าต้องคายความลับก็แค่เพราะทนความทรมานไม่ไหว ไม่ได้บอกว่ายิวถูกทุกอย่างนะคะ แต่อย่าถึงขั้นไม่แยแสกับความตายของคนที่ถูกเหมารวมเลยค่ะ ตอนนี้สถานการณ์ของผู้ลี้ภัยในยุโรปค่อนข้างตึงเครียด มีความเกลียดชังชาวต่างชาติเกิดขึ้น แม้แต่เราเองยังเคยโดนชี้หน้าด่าว่าเป็นพวกต่างชาติเข้ามาหากิน เอาเงินของเยอรมัน แต่อีกด้านของเหรียญเราก็มีเพื่อนเยอรมันน่ารักๆอีกมากมาย อย่าเป็นส่วนหนึ่งของความเกลียดชังด้วยการใช้เนกกาทีพรอพพะแกนดะแบบนี้เลยค่ะ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่เรารู้สึกว่าการตั้งกระทู้เรียกแขกโดยใช้ข้อความที่สุ่มเสี่ยงไปในการตีความในทางลบไม่สามารถจะตีความเป็นเรื่องสร้างสรรค์ไปได้

เราว่าสิ่งที่น่ารังเกียจกว่าสงคราม คือ การหาข้อแก้ต่างให้การทำความเลวเป็นเรื่องถูกค่ะ ไม่มีเหตุผลใดๆในโลกที่ดีมากพอกับการพรากชีวิตของครอบครัวคนอื่น ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย อย่าหาความดีของการทำความเลวเลยค่ะ เพราะสุดท้ายมันก็เป็นได้เพียงแค่"ข้ออ้าง"ของคนเลวค่ะ






สำหรับเราการกระทำที่คนหลายๆคนที่แค่เกิดมานับถือศาสนาที่ต่างกันต้องโดนกระทำแบบนั้น ไม่ควรจะมีเหตุผลใดๆบนโลกใบนี้ที่ดีพอสำหรับการกระทำเลวร้ายแบบนั้น  เราได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมไว้ที่ความเห็น ๓๐๕ ของคุณสมาชิกหมายเลข ๑๙๕๙๖๘๙ ว่า



ถึงคุณ สมาชิกหมายเลข 1959689,

มีหลายส่วนนะคะที่เราเห็นด้วยกับคุณ เท่าที่เราเคยได้อ่านหนังสือ Bloodlands มีการกล่าวว่าจำนวนชาวยิวในขณะนั้นมีจำนวนแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของประชากรเยอรมัน และหลังจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เหลือคนยิวแค่หนึ่งในสี่ ซึ่งหมายถึงสามในสี่ถูกฆ่าตาย

ในช่วงหกปีแรกหลังจากฮิตเลอร์กุมอำนาจ ยังอนุญาติให้ชาวยิวที่ไม่สนับสนุนพรรคนาซีอพยพออกนอกเยอรมัน ชาวยิวส่วนใหญ่อพยพไปอยู่โปแลนด์ เนื่องจากโปแลนด์เป็นประเทศเดียวในขณะนั้นที่อนุญาติให้ยิวสามารถทำธุรกิจ และมีอิสระ + สิทธิ์ ในการประกอบสัมมาชีพ แต่โปแลนด์ก็เป็นประเทศที่คั่นกลางระหว่างปรัสเซียกับรัสเซีย จริงๆตอนนั้นน่าจะเป็นโปแลนด์+ลิทัวเนีย ผลจากทางด้านสงครามทำให้โปแลนด์กับลิทัวเนียกลายเป็นแดนประหาร เป็นลานฆ่าและสังหารหมู่เหยื่อทางการเมืองมากมาย ทั้งจากฮิตเลอร์และสตาลิน เนื่องจากผลทางชัยภูมิที่สะดวกต่อการขนย้ายนักโทษมาจากทั่วทุกมุมในยุโรป ซึ่งจริงๆถ้าจะพูดให้ถูกเหยื่อรายใหญ่ก็อาศัยอยู่ในโปแลนด์อยู่แล้ว ลิทัวเนียเองก็เป็นแหล่งรวมของยิวและคริสต์โปแตสแตน เนื่องจากมีความเสรีทางศาสนา ตอนนั้นความตึงเครียดทางศาสนาค่อนข้างรุนแรง คนไม่ยอมรับคริสต์นิกายใหม่ ผลก็คือคนเหล่านี้ต้องอพยพไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสรีทางศาสนามากกว่า ถ้าเข้าใจไม่ผิดตอนนั้นลิทัวเนียเองก็เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจดีเป็นอันดับต้นๆของยุโรป แต่ด้วยภัยสงครามทำให้ถูกกลืนชาติพันธุ์ทั้งจากเยอรมัน และภายหลังโดยรัสเซีย เราเคยไปเดินดูพิพิธภัณฑ์ทางสงครามของประเทศในแถบยุโรปตะวันออก มีวิดีโออันนึงที่เป็นวิดีโอที่คุณตาคุณยายที่เป็นเหยื่อสงครามที่มีชีวิตรอดมาจากสงคราม ทุกคนเล่าเรื่องของตัวเองไปทั้งน้ำตา ณ ตอนนั้นไม่มีใครทราบด้วยซ้ำว่าตัวเองจะถูกลำเลียงไปไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน ไม่รู้ว่าจะได้เจอคนในครอบครัวอีกมั้ย มากกว่าครึ่งของคนพวกนั้นไม่มีโอกาสที่ว่า บอกตามตรงว่าเสียใจกับการต้องมานั่งอ่านเหตุผลที่สนับสนุนว่าการกระทำกับคนเหล่านี้เป็นเรื่องไม่ผิด แม้แต่คนเยอรมันเองยังไม่กล้าพูดคำนี้ออกมา หนังสือมายคามพฟ์ของฮิตเลอร์ยังถูกระงับไม่ให้มีการเผยแพร่ในเยอรมัน บันทุกของอันเนอะ ฟรางค์ถูกจัดเข้าไปในหนังสือเรียน ทุกๆพิพิธภัณฑ์สงครามมักจะมีข้อความไว้อาลัยเป็นภาษาเยอรมันจางคนเยอรมัน เพื่อแสดงความเสียใจต่อคนร่วมชาติพันธุ์ที่กระทำต่อชาติพันธุ์อื่น แม้แต่คนเยอรมันยังไม่หาเหตุผลเพื่อแก้ต่างให้สิ่งเลวกลายเป็นสิ่งดี ถามว่าทำไมตอนนั้นคนเยอรมันถึงสนับสนุนให้เกิดการสังหารหมู่ที่มากมายขนาดนี้ เท่าที่ทราบคนเยอรมันบางส่วนแทบไม่ทราบถึงคอนเซนเทรชั่นแคมพ์เลยด้วยซ้ำ แต่เห็นด้วยกับการกำจัดชาติพันธุ์ยิวออกไปจากประเทศ เรื่องของศาสนามีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความเกลียดชัง เรื่องของเศรษฐกิจก็มีส่วน แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากการมีผู้อพยพมาอาศัยเป็นเวลานาน มักจะทำให้เจ้าบ้านไม่ค่อยสะดวกสบายใจ เลยต้องการจะผลักดันชาติพันธุ์เหล่านี้ให้ออกไป ในช่วงแรกของสงครามคนยิวต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก ต้องติดเครื่องหมายแสดงสัญลักษณ์ยิว ถูกจำกัดให้ออกนอกบ้านเป็นเวลาและจำกัดร้านค้าที่สามารถเข้าใช้บริการได้ เด็กยิวต้องออกจากโรงเรียนมาเรียนโรงเรียนสำหรับยิว ไม่ได้รับอนุญาติให้ใช้รถหรือแม้แต่จักรยาน การเดินทางทำได้แค่การเดินเท่านั้น ร้านค้าติดป้ายห้ามสัตว์เลี้ยงและยิวเข้า ภายหลังก่อนจะโดนกวาดต้อนเข้าไปอยู่ค่ายกักกัน ก็ถูกต้อนออกมาอยู่รวมกันในห้องแคบๆเป็นเวลาหลายอาทิตย์ ก่อนจะโดนต้อนรถไฟขนสัตว์ไปยังค่ายกักกัน ค่ายกักกันมีการทำทางรถไฟเข้าไปถึงในค่าย เมื่อถึงค่ายคนที่ตายเพราะขาดอากาศหายใจในรถไฟ หรือไม่สามารถทนต่อสภาพอากาศหรือสภาพการเดินทางที่ยาวนานได้ ศพพวกนี้จะถูกนำไปกำจัด คนที่รอดชีวิตมาจะมีคุณหมอคนนึงมายืนและแยกเชลยพวกนี้เป็นสองแถว แถวนึงคือคนที่อยู่ในสภาพที่น่าจะใช้งานได้ กับพวกที่อ่อนแอเกินกว่าจะใช้แรงงาน คนพวกแรกจะได้ใช้สิทธิ์การเป็นนักโทษ คนพวกหลังจะถูกต้อนเข้าห้องรมแก๊สเพื่อกำจัดตั้งแต่วันแรกที่มาถึง โดยก่อนกำจัดคนพวกนี้ก็ให้ถอดเสื้อผ้าและของมีค่าไว้ และโดนกร้อนผม โดยผมพวกนี้จะถูกนำไปถักเป็นเสื้อ ถุงเท้า ถุงมือให้กับทหารนาซี

ตลอดเวลาของการเดินชมพิพิธภัณฑ์ ประเทศอื่นมีการต่อสู้เพราะไม่ต้องการให้ชาติตัวเองตกอยู่ภายใต้อำนาจทางการเมืองที่กดขี่พลเมือง ทำร้าย ข่มเหง ฆ่าแกงเมื่อมีการต่อต้าน แต่ยิวไม่มีโอกาสได้สู้ เพราะพวกเขาเป็นแค่ผู้อาศัย






การเข้าชมหลายๆพิพิธภัณฑ์ของเหยื่อสงคราม ซึ่งบอกเล่าถึงชีวิตภายใต้สงคราม เราก็ยังรู้สึกว่าไม่สมควรที่ใครบนโลกใบนี้ควรจะต้องอยู่ในที่แบบนั้น คนพวกนี้ถูกใช้เป็นแรงงานที่ที่งานไม่ต่ำกว่า ๑๖ ชั่วโมงต่อวัน แต่คนพวกนี้แทบจะไม่ได้ทานอาหาร ทำผิดจะถูกนำไปขังในห้องมืด ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ พื้นเปลือย บางคนโดนบังคับถอดเสื้อผ้ารองเท้า ทิ้งให้อยู่ในห้องที่หนาวจัดในหน้าหนาว หรือเอาไปไว้ในห้องใต้บันไดที่มีผู้คุมใส่รองเท้าไม้เดินขึ้นเดินลงตลอดเวลา เพื่อให้ผู้ต้องขังเกิดความเครียด ถ้ายังไม่พอก็จะโยนเหล็กที่เผาจนแดงเข้าไปในห้อง ให้ห้องร้อนจนแทบทนไม่ได้ คนพวกนี้ไม่มีโอกาสได้อาบน้ำ การได้ไปอาบน้ำ คือการโดนหลอกไปเข้าห้องรมแก๊ส ก่อนเข้าห้องจะต้องถอดชุดนักโทษไว้ เพื่อเอาชุดไปให้เหยื่อรายใหม่ใส่ต่อ แม้แต่เวลาตาย แค่เสื้อผ้าติดตัวเค้ายังไม่มีโอกาสได้เอาไป

เราก็แค่สงสัยว่าเราเซนซิทีฟเกินไปหรือคำพูดแบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรกคะ บางครั้งก็แค่สงสัยจากใจจริง คนเยอรมันที่เห็นด้วยกับนาซีตอนนั้นเพราะคิดว่านาซีแค่ขับไล่ยิวออกไปจากยุโรป แต่ไม่รู้ถึงค่ายกักกัน จึงยังมีคนที่เห็นด้วยและสนับสนุนนาซี

แต่ในยุคนี้ ยุคที่เรารู้แล้วว่านาซีทำอะไรกับเชลยศึก ทำไมถึงยังมีคนมองเห็นว่ามันมีเหตุผลที่สมควรทำคะ รบกวนขอความเห็นแบบมีเหตุผลสนับสนุนนะคะ
สงสัยจริงๆว่าข้อมูลส่วนไหนของสงครามที่ทำให้คนส่วนนี้ถึงคิดว่าคนจำนวน ๕ ล้านคน (ตามที่มีการบันทึก) ถึงมีเหตุผลพอเพียงที่ถูกทำการสังหารได้

รบกวนขอแทกอาวุธนะคะ เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวกับสงคราม และต้องการความเห็นของสมาชิกห้องหว้ากอค่ะ
ถ้าติกแทกผิดยังไงก็บอกได้นะคะ ขอบคุณค่ะ



อีดิทเพิ่มเติมนะคะ
ขอชี้แจงเพิ่มเติมตรงนี้นะคะ เราคงไม่อีดิทหรือเราความคิดเห็นหรือใดๆออก การตั้งกระทู้นี้ไม่ต้องการกล่าวหาความคิดเห็นตรงข้ามว่าผิด ถ้าการตั้งหัวข้อกระทู้ของเราที่มีอารมณ์เข้ามาปน จนทำให้ความหมายที่ต้องการจะสื่อผิดเพี้ยน เราก็ขออภัยนะคะ ส่วนตัวเราแค่อยากฟังความคิดเห็นและข้อมูลของคนที่คิดไม่เหมือนเรามากกว่า ว่าทำไมเราถึงคิดไม่เหมือนกัน เราเชื่อว่าเหตุผลที่ดีมากพอ จะทำให้เราเห็นในมุมที่เรามองข้าม และตั้งคำถามกับตัวเองว่าสิ่งที่เราเชื่อถูกต้องจริงๆหรือ ขอบคุณสำหรับทุกคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น และขออภัยหากการตั้งคำถามของเรารบกวนจิตใจบางท่านนะคะ อย่าถือโทษโกรธกันเลยนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่