จริงๆแล้วเราเหลือเวลาอีกเท่าใหร่ ? ... ..

บอกก่อนนะครับว่านี่เป็นเรื่องราวที่ตีกันอยู่ในหัวของผมเอง  อาจจะอยู่ในขั้นของคนที่อาจจะเรียกว่าวิตกจริตก็ได้พอดี   ผมไปเจอข่าวนี้  วันนี้เลยมาhttp://hilight.kapook.com/view/134689

  มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ยอยากจะทำลายโลกกันเสียจริง  เข้าไปอ่านแล้วไม่สบายใจมากๆเลยครับ   พาลนึกไปถึงนาฬิกาห้านาที  จะเที่ยงคืนไอ้เจ้าจินตนาการเจ้ากรรมดันบอกกับตัวผมเองว่ามันน่าจะไม่ใช่  ห้านาทีเสียแล้ว  นี่มันอยู่ที่  30วินาทีสุดท้ายเองนะ  ถ้านับเวลาจริงนี่มีไม่ถึง6เดือนหรืออาจจะไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำไป  จริงอยู่นี่คืออาจจะแค่การขู่  แต่การขู่นี่ มันก็เป็นการสะกดจิตตัวเอง เพื่อรวบรวมความกล้า  เหมือนดั่งเช่นเวลาหมาแมว ที่กำลังเผชิญหน้ากัน  มันก็ไม่ได้กัดกันในทันทีทันใดหรอกนะ  แต่มันจะเพิ่มระดับเลเวล ความดังเสียงขึ้น แล้วประมาณ สี่หรือห้าครั้งนี่แหละ  คราวนั้นก็ใส่กันเลยคนเราเวลาจะตีกันก็เหมือนกัน  มันต้องบิ้วอารมณ์กันหน่อย  พอถึงจุดมันก็ตีกันเลย  พอทีนี้ความเสียหายที่ตามมามันอาจจะสาหัสกว่านั้น  แบบที่คาดไม่ถึง และแม้ตัวไอ้เจ้าของ  อาวุธนี่ก็คงจะจินตนาการไม่ออกว่า  มันจะส่งเสียร้ายแรงขนาดใหน  ไอ้อาวุธนี้สมัย ลิตเติ้ลบอย  ที่ถล่มฮิโรชิม่าและนางาซากิ  มันมีขนาดเพียงแค่หัวเข็มหมุด เมืองทั้งเมืองยังหายไปขนาดนั้น   ถ้าเทียบกับขนาดอาวุธนิวเคลียร์ที่ทดลองในภายหลังที่มีขนาดใหญ่  ใหญ่สุดก็ทีซาร์ของโซเวียตที่มีขนาดใหญ่ประมาณแก้วน้ำ  ซึ่งมันก็ใหญ่มาก  เมื่อเทียบกับเข็มหมุด  แล้วเขาก็โม้อีกว่าอาวุธที่มีขณะนี้ใหญ่กว่าทีซาร์  4ถึง5เท่าประมาณ กาลามังใหญ่ๆ

                                 ปัญหาที่ตามมาก็คือว่า เมื่อ65ล้านปีก่อน  ในยุคครีเตเซียส  มีเหตุการณ์  อุกาบาตตก  ที่บริเวณทวีป  อเมริกาใต้และมันก็เป็นจินตนาการของผมเองอีกเหมือนกันแหละ  ที่ว่าลูกไฟขนาดเส้นผ่าศูนกลางที่สามร้อยกิโลเมตรนี้  ได้สร้างเหตุการณ์ที่ว่า  เกิดความร้อนมหาศาลแล้วมันก็ทำให้อากาศที่มีอ๊อกซิเจนที่มากกว่าในตอนนี้ในขณะนั้น  เผาโลกของในตอนนั้นทั้งใบ  ให้เหลือเพียงขี้เถ้าที่ปลิวอยู่ในอากาศเท่านั้น  หลักฐานก็คือคำว่า  ครีเตเชียสนั่นเอง  ครีเตเซียสนั้นแปลว่า หินชอล์ก  มันเป็นชั้นหินที่  มีอยู่ทั่วโลกหนาประมาณหนึ่งฟุต  และข้างบนชั้นหินนี้นักธรณีวิทยา  พบเศษซากของสัตว์ขนาดใหญ่น้อยมากที่อยู่ชั้นข้างบนหินชอล์คนี้  แต่กลับกันข้างใต้ชั้นหินนี้  กลับพบเศษซากพืชซากสัตว์มากมาย  แล้วคำที่ว่าอะไรกันที่เป็นตัวสร้างชั้นหินชอล์คนี้  ลักษณะสีขาว  จริงๆแล้วมันไม่ใช่หินอะไรหรอกมันคือขี้เถ้าแห่งการเผาใหม้  ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศในตอนนั้นและตกมาเป็นชั้นหนา  ทับถมกันถูกความกดดันและเวลาทำให้กลายเป็นชั้นหินในเวลาต่อมา  และหลักฐานที่น่าเชื่อว่ามีการเผาใหม่ในยุคนั้นจริง  ก็คืออากาศ  ที่มีปริมาณมากในตอนนั้นหายไปเกือบหมด  ทั้งที่  65ล้านปีต่อมาคือตอนนี้ มีปริมาณหลงเหลือเพียง1ในสามของตอนนั้นเท่านั้น  และหลักฐานอีกชิ้นเกี่ยวกับจำนวนอ๊อกซิเจนในอากาศมีมากก็คือการค้นพบทรากแมลงที่มีขนาดใหญ่  แต่ไม่มีปอดแมลงเหล่านั้นหายใจทางผิวหนังจากอ๊อกซิเจนที่มีอยู่อย่างเข้มข้นในตอนนั้น  และการตรวจสอบปริมาณอะตอมของอากาศในก้อนอำพันก็ได้ผลไปในทางเดียวกัน  คือมีอะตอมของอ๊อกซิเจนมากกว่าในปัจจุบัน  แล้วทั้งหมดก็หายไป เกือบหมดเกิดอะไรขึ้น   คำตอบคือ  โลกทั้งใบของเราถูกเผาในตอนนั้น  อากาศและทุกสิ่งทุกอย่างรวมไปถึงเหล่าบรรด่  ไดโนเสาร์ ถูกเผาผลาญกลายเป็นขี้เถ้าและควันไฟสิ่งที่หลงเหลือก็คือเหลืออากาศที่เบาบางมาก  ผู้ที่เหลือรอดคือบรรดาเหล่าสัตว์ที่อยู่อาศัยในสภาพแวดล้อม ปิด เช่นในถ้ำ ซอกหน้าผา  และต้องการอ๊อกซิเจนในการหายใจน้อยมาก เช่น  สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเล็กๆ นกโบราณ เต่า สัตว์เลื้อยคลาน  นั้นเอง
ทุกสิ่งอย่างถูกเซทซีโร่  และอาจจะใช้เวลาหลายล้านปีกว่าที่จะมีอากาศพอเพียงต่อการหายใจของสัตว์ใหญ่อีกครั้ง  นี่เป็นทฤษฏีที่ผมปะติดปะต่อขึ้นมาจากหลักฐานที่ผมยกขึ้นมา  แต่มันก็มีน้ำหนักเพียงพอต่อการสนับสนุนเรื่องราวของเหตุการณ์นั้น  และมันก็สอดคล้องกับสถาณการณ์ในปัจจุบันที่  ตัวที่จะจุดระเบิดขนาดใหญ๋นั้น  ไม่ใช่จากอุกาบาต  หากแต่เป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่พัฒนาแล้ว  ถ้ามันใหญ่ขนาดที่เขาว่านั้น  มันก็มีขนาดใหญ่พอๆการระเบิดในตอนนั้นแล้วมันไปกระทบกับอะตอมของอากาศที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้  โลกก็จะถูกเผาอีกครั้ง  แล้วทุกอย่างก็จะเซทซีโร่  ไม่มีใครรอด 100%  แม้แต่พวกที่อยู่ในบังเกอร์ใต้ดิน แค่ยืดเวลาเท่านั้น เพราะอยู่อย่างมากสุดไม่เกิน  50ปี  แต่ในขณะที่อากาศไม่มีเพียงพอต่อการหายใจ  ไม่ใช่เป็นเป็นพันเป็นหมื่น  แต่เป็นหลายล้านปีกว่าจะมีอากาศหายใจอีกครั้ง  การขาดวิตามิน การไม่ได้รับแสงแดด  แค่นี้ก็เพียงพอที่จะปลิดชีวิตผู้ที่เหลือรอดได้แล้ว  บรรดาพวกหนูท่อก็จะวิวัฒนาการเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกครั้ง  และนี่ก็คือจุดจบของเผ่าพันธ์เราอย่างแท้จริง  ไม่หลงเหลือสูญพันธ์ไปหมดสิ้น

    ทางรอดเดียวของเราก็คือการไม่ใช้อาวุธอันตรายเหล่านั้น  แต่จะทำยังไง  เพราะมันไกลจากเราเหลือเกิน  มันอาจจะเป็นเรื่องที่อาจจะฟังดูเพ้อเจ้อแต่มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้ก็คือเราต้องเผยแพร่ความรู้เรื่องนี้ ใช้พลังของสื่อมีเดียให้หัวใจที่ต้องการจะสื่อของบทความนี้ ให้ไปถึงคนที่มีอำนาจในการใช้อาวุธนี้ใช้ความรู้ขจัดความไม่รู้  ให้ไปถึงคนเหล่านั้น และหากว่าคุณเป็นคนที่มาอ่านบทความนี้ ครูบาอาจารย์  นิสิตนักศึกษาหรือคนทั่วไป จงใช้เหตุผล  ความคิด สามัญสำนึก การศึกษาความรู้ที่คุณเคยร่ำเรียนมาใตร่ตรองบทความที่ผมเขียนนี้  จะแปลหรือจะส่งให้คนที่มีความรู้ด้านนี้โดยตรงให้ต่อยอดว่าจะจริงรึไม่จริงรึเปล่า  ทำใจเย็นๆทุกอย่างมันแล้วแต่การตัดสินใจของคุณ  ว่าจะยอมให้คนที่ไม่รู้เพียงหยิบมือเพียงไม่กี่คน  มาตัดสินชีวิตของคูณ และคนที่คุณรัก  เพียงเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์  แต่เมื่อเราช่วยกันส่งสารให้ไปถึงคนพวกนั้นแล้ว ถ้าพวกเขารู้แล้วยังทำอยู่  ก็ทำใจร่มๆละกันว่า  ความยุติธรรมในโลกนี้ยังมีอยู่จริง

  สวัสดี ครับ ...  ..        


      บอกก่อนนะครับ  ผมไม่ต้องการ  อะไรจากบทความที่เขียนนี้หรอกครับ  นอกจากทางรอดของตัวผมเอง  และคนที่ผมรัก  ก็เท่านั้นเอง  แหละ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่