ผมได้ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เพราะกระทู้เก่า ถูกลบไปแล้วเนื่องจากผม ได้ทำผิดกฏ โดยการเผลอโพสเบอร์โทรอันนี้ก็ไม่ว่ากันเพราะทำผิดจริงๆก็ต้องยอมรับ จริงๆแล้วเจตนาของผมนั้นไม่ได้ต้องการโฆษณาหนังสืออะไรหรอกครับ ขอท้าวความเดิมในกระทู้เมื่อวาน ที่ตั้งโดยย่อก็คือ ผมได้ตั้งสมมุติฐานที่ว่าการสูญพันธ์ของไดโนเสาร์นั้น น่าจะมีเหตุการณ์ที่อากาศจำนวนมากถูกแผดเผาไปจนหมด หรืออาจจะเกิดเหตุการณ์ อากาศคือก๊าส อ๊อกซิเจน ถูกเผาใหม้และลุกลามไปทั่วโลก จนทำให้โลกไม่เหลืออากาศที่ใช้หายใจของ สัตว์ใหญ่ พวกมันจึงขาดอากาศหายใจ อย่างรุนแรง จึงสิ้นใจนับแต่ตอนนั้น
เพราะได้มีคนสำรวจ อะตอมอ๊อกซิเจน ในอากาศที่ติดอยู่ในก้อนอำพัน ปรากฏว่ามีความหนาแน่นกว่าของปัจจุบันถึงสองเท่า ถ้าคิดเป็นมวลรวมกันทั่วโลกก็หนักหลายพันล้านตัน มวลของอากาศเหล่านั้นมันหา่ยไปใหน แล้วระยะเวลาผ่านไป 65 ล้านปี พืชสังเคราะห์แสงทุกวัน เมื่อเอามาบวกกับของเดิมมวลมันต้องเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ทำใมเหลือน้อยกว่าเดิมไม่ถึงครึ่ง ... .. มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมวลอากาศ ปริมาณนับพันล้านตัน ถึงได้อันตรธานหายไปใหนหมด
ความจริงมันก็น่าจะจบไปแค่นี้ ผมก็แค่นำเอาเหตุการณ์นี้ ยัดใส่หนังสือแล้วก็ขาย เท่านั้นจบ แต่ว่าเมื่อคุณลองหันมามองเหตุการณ์ในปัจจุบัน เรามีประเทศต่างๆ ที่มีระเบิดนิวเคลียร์ รวมกัน นับสิบประเทศ แต่ละประเทศก็มีแนวคิดที่แตกต่างกัน บางประเทศก็มีแนวคิดเป็นกลางๆ บางประเทศก็มีแนวคิดแบบสุดโต่ง และประเทศเหล่านั้นก็ฮึ่มๆใสกันเป็นระยะ ในอนาคตอาจเป็น10หรือเป็น100ปี หากมีสงคราม สงครามมันก็ต้องมีแพ้ชนะ เมื่อผู้แพ้ไม่ยอมแพ้ และมีการใช้ระเบิด ที่ว่านี้ หากความร้อนไม่สูงมากก็ไม่เป็นไร ก็แค่ผู้คนถูกแผดเผาไปเพียงบางส่วนบางประเทศเท่านั้น กับอากาศปนเปื้อนกัมมันตรังสีนิดหน่อย แต่หากว่าระเบิดที่ใช้ มีขนาดใหญ่มากใหญ่พอที่จะดูดอากาศ ที่มีอยู่เขาหากัน แล้วเกิดปฏิกิริยา นิวเคลียร์ฟิวชั่นของอ๊อกซิเจนในอากาศ วันนั้น ก็วัน รีเซทโลกใหม่อีกครั้ง
ความจริงแล้วมันอาจจะเกิดขึ้นรึไม่อาจจะเกิดขึ้นก็ได้ ไม่เกิดก็จะดีที่สุด แต่หากมันมีโอกาสเกิดมันก็เป็นเรื่อง สำคัญ ชนิดที่เรียกว่าคอขาดบาดตาย และสำคัญกับทุกคนจริงๆ รู้แล้วทำอะไรได้? รู้แค่คนสองคนทำอะไรไม่ได้หรอกครับ แต่ถ้าเรารู้กันเยอะๆ เราก็จะเปลี่ยนวิธีคิด ว่าเออ เนี่ยที่เรามีอยู่มันอันตรายนะ และอาจจะสูญพันธ์กันได้เลยนะ คิดได้แค่นี้ เราก็เลิกใช้กัน หันมาใช้อาวุธ ขนาดเล็กที่มีอยู่ เข้าห้ำหั่นกันแทน
บางคนก็อาจจะว่าผมคิดมาก ฟุ้งซ่าน หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ตอนนี้ผมสบายใจแล้วครับ ที่ได้พูดได้ระบายเรื่องราวต่างๆที่อยู่ในความคิดความคำนึง ที่อยู่ใน ใจ ตลอดเวลา หากว่ามันไร้สาระ หรือว่าโม้ คุณจะก้าวข้ามไปได้นะ ไม่ว่ากัน เพราะ ผมได้ทำเต็มที่แล้วในแง่ของนักคิดนักเขียนที่ได้นำมาโพสในเวปแห่งนี้ กับเรื่องราวกับเหตุการณ์ ต่างๆ ผมขอปล่อยวาง อะไรจะเกิดหรือไม่เกิด ผมได้ทำเต็มที่แล้วในส่วนของผม ที่เหลือก็แล้วแต่พวกคุณก็แล้วกัน ว่าจะคิดเห็นเป็นเช่นไร ... ..
สวัสดี
เมื่อดาวเคราะห์น้อยยักษ์ ชนโลก
เพราะได้มีคนสำรวจ อะตอมอ๊อกซิเจน ในอากาศที่ติดอยู่ในก้อนอำพัน ปรากฏว่ามีความหนาแน่นกว่าของปัจจุบันถึงสองเท่า ถ้าคิดเป็นมวลรวมกันทั่วโลกก็หนักหลายพันล้านตัน มวลของอากาศเหล่านั้นมันหา่ยไปใหน แล้วระยะเวลาผ่านไป 65 ล้านปี พืชสังเคราะห์แสงทุกวัน เมื่อเอามาบวกกับของเดิมมวลมันต้องเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ทำใมเหลือน้อยกว่าเดิมไม่ถึงครึ่ง ... .. มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมวลอากาศ ปริมาณนับพันล้านตัน ถึงได้อันตรธานหายไปใหนหมด
ความจริงมันก็น่าจะจบไปแค่นี้ ผมก็แค่นำเอาเหตุการณ์นี้ ยัดใส่หนังสือแล้วก็ขาย เท่านั้นจบ แต่ว่าเมื่อคุณลองหันมามองเหตุการณ์ในปัจจุบัน เรามีประเทศต่างๆ ที่มีระเบิดนิวเคลียร์ รวมกัน นับสิบประเทศ แต่ละประเทศก็มีแนวคิดที่แตกต่างกัน บางประเทศก็มีแนวคิดเป็นกลางๆ บางประเทศก็มีแนวคิดแบบสุดโต่ง และประเทศเหล่านั้นก็ฮึ่มๆใสกันเป็นระยะ ในอนาคตอาจเป็น10หรือเป็น100ปี หากมีสงคราม สงครามมันก็ต้องมีแพ้ชนะ เมื่อผู้แพ้ไม่ยอมแพ้ และมีการใช้ระเบิด ที่ว่านี้ หากความร้อนไม่สูงมากก็ไม่เป็นไร ก็แค่ผู้คนถูกแผดเผาไปเพียงบางส่วนบางประเทศเท่านั้น กับอากาศปนเปื้อนกัมมันตรังสีนิดหน่อย แต่หากว่าระเบิดที่ใช้ มีขนาดใหญ่มากใหญ่พอที่จะดูดอากาศ ที่มีอยู่เขาหากัน แล้วเกิดปฏิกิริยา นิวเคลียร์ฟิวชั่นของอ๊อกซิเจนในอากาศ วันนั้น ก็วัน รีเซทโลกใหม่อีกครั้ง
ความจริงแล้วมันอาจจะเกิดขึ้นรึไม่อาจจะเกิดขึ้นก็ได้ ไม่เกิดก็จะดีที่สุด แต่หากมันมีโอกาสเกิดมันก็เป็นเรื่อง สำคัญ ชนิดที่เรียกว่าคอขาดบาดตาย และสำคัญกับทุกคนจริงๆ รู้แล้วทำอะไรได้? รู้แค่คนสองคนทำอะไรไม่ได้หรอกครับ แต่ถ้าเรารู้กันเยอะๆ เราก็จะเปลี่ยนวิธีคิด ว่าเออ เนี่ยที่เรามีอยู่มันอันตรายนะ และอาจจะสูญพันธ์กันได้เลยนะ คิดได้แค่นี้ เราก็เลิกใช้กัน หันมาใช้อาวุธ ขนาดเล็กที่มีอยู่ เข้าห้ำหั่นกันแทน
บางคนก็อาจจะว่าผมคิดมาก ฟุ้งซ่าน หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ตอนนี้ผมสบายใจแล้วครับ ที่ได้พูดได้ระบายเรื่องราวต่างๆที่อยู่ในความคิดความคำนึง ที่อยู่ใน ใจ ตลอดเวลา หากว่ามันไร้สาระ หรือว่าโม้ คุณจะก้าวข้ามไปได้นะ ไม่ว่ากัน เพราะ ผมได้ทำเต็มที่แล้วในแง่ของนักคิดนักเขียนที่ได้นำมาโพสในเวปแห่งนี้ กับเรื่องราวกับเหตุการณ์ ต่างๆ ผมขอปล่อยวาง อะไรจะเกิดหรือไม่เกิด ผมได้ทำเต็มที่แล้วในส่วนของผม ที่เหลือก็แล้วแต่พวกคุณก็แล้วกัน ว่าจะคิดเห็นเป็นเช่นไร ... ..
สวัสดี