สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเสนอควบรวมเอฟพีทีและแทปไลน์
เพื่อเพิ่มศักยภาพโครงข่ายระบบท่อส่งน้ำมันชี้ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
ดร.ศิริ จิระพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (PTIT) กล่าวในการบรรยายเรื่อง “Pipeline Fuel Transports and Regional Connectivity” ในการประชุมและนิทรรศการนานาชาติพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2559 หรือ เซต้า 2016 ว่า ปัจจุบันโครงการการขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปผ่านระบบท่อนั้นดำเนินการโดยเอกชน 2 บริษัท คือบริษัทขนส่งน้ำมันทางท่อจำกัด (เอฟพีที) ที่ให้บริการขนส่งน้ำมันทางท่อจากโรงกลั่นน้ำมันบางจาก มายังคลังน้ำมันบางปะอิน อยุธยา และมีโครงการต่อขึ้นภาคเหนือ ในขณะที่บริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (แทปไลน์) ให้บริการขนส่งน้ำมันเส้นทาง ศรีราชา - สระบุรี และจะต่อขึ้นภาคอีสาน ซึ่งการแยกกันให้บริการลูกค้า ทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในการเชื่อมโครงข่ายระบบท่อส่งน้ำมันไปในภูมิภาค และเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะไม่ได้เป็นระบบโครงข่ายเดียวกัน ดังนั้นกระทรวงพลังงานจึงต้องเป็นตัวกลางในการเจรจาให้เกิดการควบรวมกิจการเป็นบริษัทเดียวกัน โดยอาจจะมีรัฐเข้ามาร่วมถือหุ้น หรือเป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund)
ดร.ศิริ กล่าวว่า การเชื่อมโครงข่ายระบบท่อส่งน้ำมัน ของเอฟพีทีและแทปไลน์ เข้าด้วยกันจะทำให้การลงทุนส่วนต่อขยายท่อส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะโรงกลั่นน้ำมันในประเทศ ทุกโรงจะสามารถส่งน้ำมันไปถึงลูกค้าปลายทางในต่างจังหวัดได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย มีต้นทุนที่ถูกลง ทั้งภาคเหนือ คือจาก จ.สระบุรี เชื่อมต่อไปถึง จ.พิษณุโลก ลำปาง ในส่วนของภาคเหนือ และในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจากลำลูกกา เชื่อมต่อไปยัง จ.นครราชสีมา ถึงขอนแก่น และในอนาคตสามารถที่จะเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งน้ำมันในภูมิภาคได้ในที่สุด
สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเคยศึกษาถึงประสิทธิภาพของการขนส่งน้ำมันพบว่า ในส่วนของการขนส่งน้ำมันไปในภาคเหนือ ถึง จ.ลำปางนั้น จากเดิมหากใช้รถบรรทุกต้องวิ่งรถไปกลับรวมระยะทางประมาณ 120 ล้านกิโลเมตรต่อปี ในขณะที่การเปลี่ยนมาใช้การขนส่งด้วยระบบท่อจะช่วยประหยัดเที่ยวรถเหลือระยะทางประมาณ 50 ล้านกิโลเมตรต่อปี
ส่วนในเส้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือหากขนส่งด้วยรถบรรทุก จะต้องวิ่งระยะทางรวม 144 ล้านกิโลเมตรต่อปี แต่ถ้าขนส่งด้วยระบบท่อจะช่วยประหยัดเที่ยวรถเหลือประมาณ 68 ล้านกิโลเมตรต่อปี จึงช่วยประเทศประหยัดทั้งน้ำมัน และต้นทุนการขนส่ง ที่จะช่วยให้ผู้ใช้น้ำมันในต่างจังหวัดได้ใช้น้ำมันในราคาที่ถูกลง รวมทั้งมีความปลอดภัยในการขนส่งด้วย
“รัฐไม่ควรมองเฉพาะผลตอบแทนการลงทุนเฉพาะโครงการ แต่ควรมองประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ที่เมื่อเชื่อมโยงระบบท่อส่งน้ำมันเป็นโครงข่ายเดียวกันแล้ว จะทำให้การขนส่งมีประสิทธิภาพ ผู้บริโภคในต่างจังหวัดรวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านจะได้รับประโยชน์ ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งน้ำมันด้วยระบบท่อ โดยที่เอกชนผู้ให้บริการจะได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่สูงขึ้น เมื่อมีปริมาณการใช้น้ำมันเพิ่มมากขึ้น” ดร.ศิริ กล่าว
อย่างไรก็ตามแนวคิดการควบรวมกิจการระหว่างเอฟพีทีกับแทปไลน์ นั้นทั้งสองบริษัทเคยมีการหารือถึงความเป็นไปได้แล้ว แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ จึงจำเป็นต้องอาศัยกลไกภาครัฐเข้ามาช่วยประสานงาน และให้การสนับสนุน โดยที่เมื่อควบรวมกิจการไปแล้ว เอกชนผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัทจะต้องไม่เสียประโยชน์
สถาบันปิโตรเลียมดันควบรวมเครือข่ายท่อส่งน้ำมัน
เพื่อเพิ่มศักยภาพโครงข่ายระบบท่อส่งน้ำมันชี้ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
ดร.ศิริ จิระพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (PTIT) กล่าวในการบรรยายเรื่อง “Pipeline Fuel Transports and Regional Connectivity” ในการประชุมและนิทรรศการนานาชาติพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2559 หรือ เซต้า 2016 ว่า ปัจจุบันโครงการการขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปผ่านระบบท่อนั้นดำเนินการโดยเอกชน 2 บริษัท คือบริษัทขนส่งน้ำมันทางท่อจำกัด (เอฟพีที) ที่ให้บริการขนส่งน้ำมันทางท่อจากโรงกลั่นน้ำมันบางจาก มายังคลังน้ำมันบางปะอิน อยุธยา และมีโครงการต่อขึ้นภาคเหนือ ในขณะที่บริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (แทปไลน์) ให้บริการขนส่งน้ำมันเส้นทาง ศรีราชา - สระบุรี และจะต่อขึ้นภาคอีสาน ซึ่งการแยกกันให้บริการลูกค้า ทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในการเชื่อมโครงข่ายระบบท่อส่งน้ำมันไปในภูมิภาค และเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะไม่ได้เป็นระบบโครงข่ายเดียวกัน ดังนั้นกระทรวงพลังงานจึงต้องเป็นตัวกลางในการเจรจาให้เกิดการควบรวมกิจการเป็นบริษัทเดียวกัน โดยอาจจะมีรัฐเข้ามาร่วมถือหุ้น หรือเป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund)
ดร.ศิริ กล่าวว่า การเชื่อมโครงข่ายระบบท่อส่งน้ำมัน ของเอฟพีทีและแทปไลน์ เข้าด้วยกันจะทำให้การลงทุนส่วนต่อขยายท่อส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะโรงกลั่นน้ำมันในประเทศ ทุกโรงจะสามารถส่งน้ำมันไปถึงลูกค้าปลายทางในต่างจังหวัดได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย มีต้นทุนที่ถูกลง ทั้งภาคเหนือ คือจาก จ.สระบุรี เชื่อมต่อไปถึง จ.พิษณุโลก ลำปาง ในส่วนของภาคเหนือ และในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจากลำลูกกา เชื่อมต่อไปยัง จ.นครราชสีมา ถึงขอนแก่น และในอนาคตสามารถที่จะเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งน้ำมันในภูมิภาคได้ในที่สุด
สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเคยศึกษาถึงประสิทธิภาพของการขนส่งน้ำมันพบว่า ในส่วนของการขนส่งน้ำมันไปในภาคเหนือ ถึง จ.ลำปางนั้น จากเดิมหากใช้รถบรรทุกต้องวิ่งรถไปกลับรวมระยะทางประมาณ 120 ล้านกิโลเมตรต่อปี ในขณะที่การเปลี่ยนมาใช้การขนส่งด้วยระบบท่อจะช่วยประหยัดเที่ยวรถเหลือระยะทางประมาณ 50 ล้านกิโลเมตรต่อปี
ส่วนในเส้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือหากขนส่งด้วยรถบรรทุก จะต้องวิ่งระยะทางรวม 144 ล้านกิโลเมตรต่อปี แต่ถ้าขนส่งด้วยระบบท่อจะช่วยประหยัดเที่ยวรถเหลือประมาณ 68 ล้านกิโลเมตรต่อปี จึงช่วยประเทศประหยัดทั้งน้ำมัน และต้นทุนการขนส่ง ที่จะช่วยให้ผู้ใช้น้ำมันในต่างจังหวัดได้ใช้น้ำมันในราคาที่ถูกลง รวมทั้งมีความปลอดภัยในการขนส่งด้วย
“รัฐไม่ควรมองเฉพาะผลตอบแทนการลงทุนเฉพาะโครงการ แต่ควรมองประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ที่เมื่อเชื่อมโยงระบบท่อส่งน้ำมันเป็นโครงข่ายเดียวกันแล้ว จะทำให้การขนส่งมีประสิทธิภาพ ผู้บริโภคในต่างจังหวัดรวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านจะได้รับประโยชน์ ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งน้ำมันด้วยระบบท่อ โดยที่เอกชนผู้ให้บริการจะได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่สูงขึ้น เมื่อมีปริมาณการใช้น้ำมันเพิ่มมากขึ้น” ดร.ศิริ กล่าว
อย่างไรก็ตามแนวคิดการควบรวมกิจการระหว่างเอฟพีทีกับแทปไลน์ นั้นทั้งสองบริษัทเคยมีการหารือถึงความเป็นไปได้แล้ว แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ จึงจำเป็นต้องอาศัยกลไกภาครัฐเข้ามาช่วยประสานงาน และให้การสนับสนุน โดยที่เมื่อควบรวมกิจการไปแล้ว เอกชนผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัทจะต้องไม่เสียประโยชน์