เห็นในวิกิพีเดียอังกฤษลงไว้
Western world
The Christian Saint Josaphat is based on the Buddha. The name comes from the Sanskrit Bodhisattva via Arabic Būdhasaf and Georgian Iodasaph. The only story in which St. Josaphat appears, Barlaam and Josaphat, is based on the life of the Buddha. Josaphat was included in earlier editions of the Roman Martyrology (feast day 27 November) — though not in the Roman Missal — and in the Eastern Orthodox Church liturgical calendar (26 August).
In the ancient Gnostic sect of Manichaeism, the Buddha is listed among the prophets who preached the word of God before Mani.
https://en.wikipedia.org/wiki/Gautama_Buddha#Other_religions
Christianity
The Greek legend of "Barlaam and Ioasaph", sometimes mistakenly attributed to the 7th century John of Damascus but actually written by the Georgian monk Euthymius in the 11th century, was ultimately derived, through a variety of intermediate versions (Arabic and Georgian) from the life story of the Buddha. The king-turned-monk Ioasaph (Georgian Iodasaph, Arabic Yūdhasaf or Būdhasaf: Arabic "b" could become "y" by duplication of a dot in handwriting) ultimately derives his name from the Sanskrit Bodhisattva, the name used in Buddhist accounts for Gautama before he became a Buddha.[10][11] Barlaam and Ioasaph were placed in the Greek Orthodox calendar of saints on 26 August, and in the West they were entered as "Barlaam and Josaphat" in the Roman Martyrology on the date of 27 November.
https://en.wikipedia.org/wiki/Gautama_Buddha_in_world_religions
https://en.wikipedia.org/wiki/Buddhism_and_Christianity
จากบทความอื่นที่เคยมีการวิเคราะห์ไว้
ในคัมภีร์โบราณ แห่งวินัย โดยคริสต์ คาทอลิกเซ้นท์ ชื่อว่า " เจตสิก มิเนอิ ( Cheixi Minei) " หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า คัมภีร์ " เบอร์ลัม ( Burlam ) " มีว่า
"...หลายศตวรรษนานมาแล้ว มีดินแดนที่รุ่งเรืองแห่งหนึ่ง เรียกว่า " ศรีอินเดีย (Serindia) "
ซึ่งได้ถูกปกครอง โดยพระราชาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า " อะวีเนีย ( Avenir ) " พระราชโอรสของ พระองค์ทรงพระนามว่า " โจอาซาฟ ( Joasaphat ) " เป็นผู้มีมีคุณลักษณะ อันประเสริฐประจำพระองค์หลายประการ ซึ่งเป็นเครื่องหมาย อันแสดงถึงการพัฒนาอำนาจจิต ที่สูงส่ง พระราชาได้ ให้บรรดานักบวช และโหราจารย์ทั้งหลายมา ทำนายอนาคต ของราชโอรสของพระองค์ พวกเขาได้พิจารณา ลักษณะรูปร่าง ของราชโอรสแล้วทำนายว่า เจ้าชาย โจอาซาฟ ผู้นี้จะเป็นผู้ที่มีอำนาจ อย่างยิ่งใหญ่ มากกว่าบรรพบุรุษทั้งหลาย ของพระองค์ แต่มีโหราจารย์ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่ได้เรียนรู้ วิชาโหราศาสตร์ เชี่-ย-วชาญ กว่าผู้อื่น ได้ทำนายว่า " เจ้าชาย โจอาซาฟ จะได้เป็นพระราชา แห่งอาณาจักร ทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ กว่าใคร ๆ โดยไม่มีขอบเขตจำกัด "
พระราชาอะวีเนีย ได้สร้างพระราชวัง ที่สวยสง่างามขึ้นแห่งหนึ่ง สำหรับ เจ้าชายโจอาซาฟ และได้ว่าจ้าง ชายหนุ่ม และสาวใช้ รูปร่างหน้าตางดงามหลายร้อยคน ให้อยู่ร่วมกับ เจ้าชาย ในพระราชวังแห่งนี้ โดยห้ามมิให้บุคคลผู้ใด จากภายนอก เข้าไปในพระราชวัง และห้ามมิให้มีการเอ่ยถึง ถ้อยคำที่เศร้าโศก เกี่ยวกับความตาย ฯลฯ ให้ เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ยินเด็ดขาด พระราชา ย่อมสั่งให้เขาเหล่านั้น พูดแต่สิ่งที่เกี่ยวกับ ความสนุกสนาน สำราญเบิกบานใจ เท่านั้น
โดยการอาศัยอยู่ในพระราชวังแห่งนั้น เจ้าชาย ได้กลายเป็นผู้เชี่-ย-วชาญ ในศิลปวิทยาการ ทั้งหลายของอินเดีย และอาหรับ เมื่อย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ตรัสถามผู้รับใช้ทั้งหลาย ของพระองค์ว่า ทำไม พระราชบิดา ของพระองค์ จึงจำกัดให้ พระองค์ อยู่แต่ในเฉพาะแต่ในเขตพระราชวัง เท่านั้น พวกมหาดเล็กทั้งหลาย จึงได้กราบทูลเรื่องที่ โหราจารย์ทำนายไว้ให้ เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ทรงทราบ
หลังจากนั้น ในโอกาสหนึ่ง เจ้าชายโจอาซาฟ จึงได้ทูลถามพระราชบิดาของพระองค์ว่า ทำไมพระองค์จึงถูกจำกัดให้อยู่แต่ในพระราชวัง พระราชาจึงตอบเจ้าชายโจอาซาฟว่า พระองค์ทำเช่นนั้น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ เจ้าชาย จะต้องพบกับความทุกข์ เจ้าชายจึงกราบทูลถาม พระราชบิดาว่า ตัวความทุกข์นั้น หน้าตาเป็นอย่างไร ? พระราชาก็ไม่อาจที่จะ อธิบายเปรียบเทียบ ลักษณะตัวทุกข์ กับสิ่งที่เจ้าชายเห็น เฉพาะในปราสาทได้ เจ้าชายโจอาซาฟ จึงกราบทูลขออนุญาต ขอออกไปท่องเที่ยวชมภูมิประเทศข้างนอกปราสาทของพระองค์ พระราชาทรงอนุญาต และจัดเตรียมการทุกอย่างที่จำเป็น สำหรับการเดินทางให้ พร้อมนั้นได้ทรงสั่งการ ให้มหาดเล็กทั้งหลาย ให้พาเจ้าชายไปในสถานที่ซึ่ง มีแต่ความเจริญตาเจริญใจเท่านั้น ห้ามไม่ให้พาไปให้เห็นกับสิ่งที่เลวร้ายทั้งหลาย
"สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับทุก ๆ คน หรือว่าเกิดขึ้นกับมนุษย์บางคนเท่านั้น " เจ้าชายถาม พวกมหาดเล็กตอบว่า วันใดวันหนึ่ง ก็ต้องเกิดขึ้นกับ มนุษย์ทุกคน. "เราสามารถกำจัดเหตุการณ์อย่างนี้ ให้หมดไปได้หรือไม่ ? "เจ้าชายโจอาซาฟ ถาม "เป็นไปไม่ได้" นี้คือคำตอบของมหาดเล็ก ทั้งหลาย ทำให้ เจ้าชายโจอาซาฟ รู้สึกเศร้าใจมากสำหรับคำตอบนี้ จึงได้เสด็จกลับไปยัง พระราชวังอย่างเงียบเหงา และได้เริ่มคิดถึงความ ตาย และจุดหมายปลายทางหลัง ความตาย เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ตรัสถามครูผู้สอน ของพระองค์ในพระราชวังว่า " มีใครรู้บ้างไหมว่า มีอะไรเกิดขึ้นภายหลังความตาย" ครูต่างตอบว่า ผู้ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ ได้ถูกพระบิดาของ พระองค์ ขับไล่ออกไปจากเมืองหมดแล้ว เจ้าชายโจอาซาฟ จึงกลายเป็นผู้ที่ กระวนกระวายใจ ไม่มีความสุขเพราะคำตอบนี้ พระองค์ได้เข้าใจแล้วว่า โลกนี้เต็มไปด้วยความ ทุกข์ยาก ทั้งหลาย และพระองค์กลายเป็น ผู้ที่ถูกครอบครอง ด้วยความทุกข์ระทมใจ
ด้วยความเมตตาสงสารของเทวดา จึงให้นักบวชผู้หนึ่ง มาหา เจ้าชายโจอาซาฟ นักบวชผู้นี้ เป็นผู้ที่มีบุญคุณยิ่งใหญ่ อาศัยอยู่ในอุทยานแห่งหนึ่ง ในศรีอินเดีย เขามีชื่อว่า "วาร์ลัม(Varlam)" ซึ่งใช้ชีวิตในลักษณะของ พ่อค้า เขาได้มาถึง ศรีอินเดีย โดยทางเรือ และได้บอกกับมหาดเล็กของ พระราชา ว่า เขามีอัญมณี ซึ่งมีฤทธิ์ที่สามารถ จะรักษาคน ตาบอด หูหนวก และ เป็นใบ้ ให้หายได้ เขาอยากจะมอบให้กับ เจ้าชายโจอาซาฟ เป็นการส่วนพระองค์ เขาได้ทำให้ พระราชา พอพระทัย ดังนั้น จึงได้รับพระราชานุญาต ให้ได้เข้าเฝ้า เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ เมื่อ "นักบวชวาร์ลัม" ได้เข้าพบ เจ้าชาย เขาได้บรรยายให้ เจ้าชาย ฟังทุก ๆ ครั้ง และบ่อยขึ้น จนกระทั่ง เจ้าชายโจอาซาฟ เกิดความมั่นใจในพระองค์เอง วันหนึ่งเจ้าชายกล่าวว่า พระองค์ จะเสด็จไปที่ป่าแห่งหนึ่ง ที่พระองค์ ได้เคยไปมาก่อนแล้ว เจ้าชายโจอาซาฟ จึงได้เสด็จหนีออกจาก พระราชวังไป พร้อมกับนักบวชผู้นั้น โดยได้ขอแลก เปลี่ยนเครื่องทรงของพระองค์ กับเครื่องนุ่งห่มกับนักบวชนั้น แล้วพระองค์ ก็ได้แต่งกายด้วยเครื่องนุ่งห่ม ของนักบวชนั้น ซึ่งได้จากพระองค์ไป
วันหนึ่งขณะที่ เจ้าชายโจอาซาฟ กำลังทำสมาธิอยู่อย่างติดต่อกันนั้น พระองค์ได้มองเห็นสวรรค์ในสมาธิ พระองค์ได้ยินเสียงกล่าวว่า "ที่นั้นเป็นสถานที่สำหรับผู้ที่มีคุณงามความดีอาศัย"
สี่สิบวันหลังจากที่ เจ้าชายโจอาซาฟ หนีออกจากพระราชวัง พระราชาอะวีเนียก็สิ้นพระชนม์ เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ทราบข่าวก็ทรงเสด็จกลับมาภายใต้เครื่องนุ่งห่มของ นักบวช และได้ทำหนังสือมอบอำนาจ ยกราชสมบัต ิและราชบัลลังค์ ให้อยู่ในความดูแลของเหล่าอำมาตย์ของ พระองค์
เจ้าชายโจอาซาฟ ได้สละโลก และสมบัติโดยสิ้นเชิง โดยการออกบวชแล้ว ขณะที่อยู่ในป่า พระองค์ได้ทรงได้ใช้เวลา ไปในการทรมานตนด้วยความทุกข์ (อาจแปลได้ว่า "ทุกขรกิริยา"...ผู้เรียบเรียง) จนกระทั่งพลังจิตของ พระองค์ได้สูงขึ้น พระองค์ได้เห็นภาพนิมิต อันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ในระยะช่วงเวลาดังกล่าวนี้ด้วยเ ช่นกัน เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ขึ้นไปท่องเที่ยว ยังเมืองสวรรค์ที่พระองค์ ทรงเห็นมาก่อนนิมิตในสมาธิ เทพธิดาสององค์ ได้ถวายพวงมาลัย ที่ทรงคุณค่าสองพวงให้กับพระองค์ เจ้าชายโจอาซาฟ ถามว่านี้คืออะไร เทพธิดาทั้งสองจึงตอบว่า พวงมาลัยนี้ เป็นของเฉพาะสำหรับพระองค์เท่านั้น "พวงหนึ่งสำหรับปลดปล่อยสัตว์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง อีกพวงหนึ่ง สำหรับท่าน เพื่อบรรลุหนทาง อันนำไปสู่การสละความสุขทางโลก เพื่อบรรลุถึงภาวะสูงสุดเหนือโลก" เทพธิดาทั้งสองกล่าว........"
ข้อความดังกล่าว ที่ยกมาให้ได้ศึกษานี้ ได้นำมาจากคัมภีร์ โบราณแห่งวินัย โดยคริสต์ คาทอลิก เซ้นท์ ชื่อว่า "เจตสิก มิเนอิ ( Cheixi Minei ) " หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า คัมภีร์ " เบอร์ลัม ( Burlam ) " ซึ่งได้กล่าวถึงประวัติของ โจอาซาฟ ( Joasaphat ) หรือ โจซาฟัต ( Josaphat ) ในคัมภีร์นี้ มีบทมนต์ที่ใช้ เจ้าชาย ใช้ท่องภาวนาว่า " ขอให้ จิต ( Soul ) ของเราจงหลุดพ้น จากความทุกข์ทั้งหลาย.."
เมื่อท่านได้อ่านอย่างพิจารณาแล้ว คงมีความสงสัยเช่นกันว่า ศาสนิกคริสต์ คาทอลิกในยุคโบราณ ซึ่งผู้ที่เขียนจารึกไว้ในคัมภีร์นี้เป็นใคร ? แต่ย่อมต้องไม่มีจิตใจที่ไม่เอนเอียงเข้ากับฝ่ายใด
และเขาผู้จารึกคัมภีร์ นี้ย่อมรู้อยู่ว่าพวกเขาสวดมนต์ถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ เจ้าชายโจอาซาฟ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์นั้น หากพิจารณาด้วยความยุติธรรม ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นักวิชาการผู้แสวงหาความจริง ทั้งหลายของโลก ซึ่งได้ค้นคว้าหาความจริง ของเรื่องนี้ ต่างพากันยอมรับความจริงแล้วว่า ชีวประวัติของพระโพธิสัตย์ ( Bodhi - Satta ) ซึ่งได้เล่าถ่ายทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยอาศัยปากต่อปาก ( มุขปาฐะ ) เป็นไปได้ อาจมีการเพี้ยนไปจากรูปแบบเดิม บ้าง แต่ก็มีความบิดเบือน ไปเพียงเล็กน้อยในรูปแบบ และได้ถูก "คริสต์ คาทอลิก" หยิบเข้ามาใส่ ในคัมภีร์นี้ จนทำให้กลายมาเป็นชีวประวัติของ คริสต์ คาทอลิก เซ้นท์ ผู้หนึ่ง โดยการปรับเปลี่ยนชื่อ และเนื้อหาไปจากเดิม
พระพุทธเจ้าคือ เซนต์โจซาฟัต ในศาสนาคริสต์ จริงหรือไม่
Western world
The Christian Saint Josaphat is based on the Buddha. The name comes from the Sanskrit Bodhisattva via Arabic Būdhasaf and Georgian Iodasaph. The only story in which St. Josaphat appears, Barlaam and Josaphat, is based on the life of the Buddha. Josaphat was included in earlier editions of the Roman Martyrology (feast day 27 November) — though not in the Roman Missal — and in the Eastern Orthodox Church liturgical calendar (26 August).
In the ancient Gnostic sect of Manichaeism, the Buddha is listed among the prophets who preached the word of God before Mani.
https://en.wikipedia.org/wiki/Gautama_Buddha#Other_religions
Christianity
The Greek legend of "Barlaam and Ioasaph", sometimes mistakenly attributed to the 7th century John of Damascus but actually written by the Georgian monk Euthymius in the 11th century, was ultimately derived, through a variety of intermediate versions (Arabic and Georgian) from the life story of the Buddha. The king-turned-monk Ioasaph (Georgian Iodasaph, Arabic Yūdhasaf or Būdhasaf: Arabic "b" could become "y" by duplication of a dot in handwriting) ultimately derives his name from the Sanskrit Bodhisattva, the name used in Buddhist accounts for Gautama before he became a Buddha.[10][11] Barlaam and Ioasaph were placed in the Greek Orthodox calendar of saints on 26 August, and in the West they were entered as "Barlaam and Josaphat" in the Roman Martyrology on the date of 27 November.
https://en.wikipedia.org/wiki/Gautama_Buddha_in_world_religions
https://en.wikipedia.org/wiki/Buddhism_and_Christianity
จากบทความอื่นที่เคยมีการวิเคราะห์ไว้
ในคัมภีร์โบราณ แห่งวินัย โดยคริสต์ คาทอลิกเซ้นท์ ชื่อว่า " เจตสิก มิเนอิ ( Cheixi Minei) " หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า คัมภีร์ " เบอร์ลัม ( Burlam ) " มีว่า
"...หลายศตวรรษนานมาแล้ว มีดินแดนที่รุ่งเรืองแห่งหนึ่ง เรียกว่า " ศรีอินเดีย (Serindia) "
ซึ่งได้ถูกปกครอง โดยพระราชาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า " อะวีเนีย ( Avenir ) " พระราชโอรสของ พระองค์ทรงพระนามว่า " โจอาซาฟ ( Joasaphat ) " เป็นผู้มีมีคุณลักษณะ อันประเสริฐประจำพระองค์หลายประการ ซึ่งเป็นเครื่องหมาย อันแสดงถึงการพัฒนาอำนาจจิต ที่สูงส่ง พระราชาได้ ให้บรรดานักบวช และโหราจารย์ทั้งหลายมา ทำนายอนาคต ของราชโอรสของพระองค์ พวกเขาได้พิจารณา ลักษณะรูปร่าง ของราชโอรสแล้วทำนายว่า เจ้าชาย โจอาซาฟ ผู้นี้จะเป็นผู้ที่มีอำนาจ อย่างยิ่งใหญ่ มากกว่าบรรพบุรุษทั้งหลาย ของพระองค์ แต่มีโหราจารย์ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่ได้เรียนรู้ วิชาโหราศาสตร์ เชี่-ย-วชาญ กว่าผู้อื่น ได้ทำนายว่า " เจ้าชาย โจอาซาฟ จะได้เป็นพระราชา แห่งอาณาจักร ทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ กว่าใคร ๆ โดยไม่มีขอบเขตจำกัด "
พระราชาอะวีเนีย ได้สร้างพระราชวัง ที่สวยสง่างามขึ้นแห่งหนึ่ง สำหรับ เจ้าชายโจอาซาฟ และได้ว่าจ้าง ชายหนุ่ม และสาวใช้ รูปร่างหน้าตางดงามหลายร้อยคน ให้อยู่ร่วมกับ เจ้าชาย ในพระราชวังแห่งนี้ โดยห้ามมิให้บุคคลผู้ใด จากภายนอก เข้าไปในพระราชวัง และห้ามมิให้มีการเอ่ยถึง ถ้อยคำที่เศร้าโศก เกี่ยวกับความตาย ฯลฯ ให้ เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ยินเด็ดขาด พระราชา ย่อมสั่งให้เขาเหล่านั้น พูดแต่สิ่งที่เกี่ยวกับ ความสนุกสนาน สำราญเบิกบานใจ เท่านั้น
โดยการอาศัยอยู่ในพระราชวังแห่งนั้น เจ้าชาย ได้กลายเป็นผู้เชี่-ย-วชาญ ในศิลปวิทยาการ ทั้งหลายของอินเดีย และอาหรับ เมื่อย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ตรัสถามผู้รับใช้ทั้งหลาย ของพระองค์ว่า ทำไม พระราชบิดา ของพระองค์ จึงจำกัดให้ พระองค์ อยู่แต่ในเฉพาะแต่ในเขตพระราชวัง เท่านั้น พวกมหาดเล็กทั้งหลาย จึงได้กราบทูลเรื่องที่ โหราจารย์ทำนายไว้ให้ เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ทรงทราบ
หลังจากนั้น ในโอกาสหนึ่ง เจ้าชายโจอาซาฟ จึงได้ทูลถามพระราชบิดาของพระองค์ว่า ทำไมพระองค์จึงถูกจำกัดให้อยู่แต่ในพระราชวัง พระราชาจึงตอบเจ้าชายโจอาซาฟว่า พระองค์ทำเช่นนั้น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ เจ้าชาย จะต้องพบกับความทุกข์ เจ้าชายจึงกราบทูลถาม พระราชบิดาว่า ตัวความทุกข์นั้น หน้าตาเป็นอย่างไร ? พระราชาก็ไม่อาจที่จะ อธิบายเปรียบเทียบ ลักษณะตัวทุกข์ กับสิ่งที่เจ้าชายเห็น เฉพาะในปราสาทได้ เจ้าชายโจอาซาฟ จึงกราบทูลขออนุญาต ขอออกไปท่องเที่ยวชมภูมิประเทศข้างนอกปราสาทของพระองค์ พระราชาทรงอนุญาต และจัดเตรียมการทุกอย่างที่จำเป็น สำหรับการเดินทางให้ พร้อมนั้นได้ทรงสั่งการ ให้มหาดเล็กทั้งหลาย ให้พาเจ้าชายไปในสถานที่ซึ่ง มีแต่ความเจริญตาเจริญใจเท่านั้น ห้ามไม่ให้พาไปให้เห็นกับสิ่งที่เลวร้ายทั้งหลาย
"สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับทุก ๆ คน หรือว่าเกิดขึ้นกับมนุษย์บางคนเท่านั้น " เจ้าชายถาม พวกมหาดเล็กตอบว่า วันใดวันหนึ่ง ก็ต้องเกิดขึ้นกับ มนุษย์ทุกคน. "เราสามารถกำจัดเหตุการณ์อย่างนี้ ให้หมดไปได้หรือไม่ ? "เจ้าชายโจอาซาฟ ถาม "เป็นไปไม่ได้" นี้คือคำตอบของมหาดเล็ก ทั้งหลาย ทำให้ เจ้าชายโจอาซาฟ รู้สึกเศร้าใจมากสำหรับคำตอบนี้ จึงได้เสด็จกลับไปยัง พระราชวังอย่างเงียบเหงา และได้เริ่มคิดถึงความ ตาย และจุดหมายปลายทางหลัง ความตาย เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ตรัสถามครูผู้สอน ของพระองค์ในพระราชวังว่า " มีใครรู้บ้างไหมว่า มีอะไรเกิดขึ้นภายหลังความตาย" ครูต่างตอบว่า ผู้ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ ได้ถูกพระบิดาของ พระองค์ ขับไล่ออกไปจากเมืองหมดแล้ว เจ้าชายโจอาซาฟ จึงกลายเป็นผู้ที่ กระวนกระวายใจ ไม่มีความสุขเพราะคำตอบนี้ พระองค์ได้เข้าใจแล้วว่า โลกนี้เต็มไปด้วยความ ทุกข์ยาก ทั้งหลาย และพระองค์กลายเป็น ผู้ที่ถูกครอบครอง ด้วยความทุกข์ระทมใจ
ด้วยความเมตตาสงสารของเทวดา จึงให้นักบวชผู้หนึ่ง มาหา เจ้าชายโจอาซาฟ นักบวชผู้นี้ เป็นผู้ที่มีบุญคุณยิ่งใหญ่ อาศัยอยู่ในอุทยานแห่งหนึ่ง ในศรีอินเดีย เขามีชื่อว่า "วาร์ลัม(Varlam)" ซึ่งใช้ชีวิตในลักษณะของ พ่อค้า เขาได้มาถึง ศรีอินเดีย โดยทางเรือ และได้บอกกับมหาดเล็กของ พระราชา ว่า เขามีอัญมณี ซึ่งมีฤทธิ์ที่สามารถ จะรักษาคน ตาบอด หูหนวก และ เป็นใบ้ ให้หายได้ เขาอยากจะมอบให้กับ เจ้าชายโจอาซาฟ เป็นการส่วนพระองค์ เขาได้ทำให้ พระราชา พอพระทัย ดังนั้น จึงได้รับพระราชานุญาต ให้ได้เข้าเฝ้า เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ เมื่อ "นักบวชวาร์ลัม" ได้เข้าพบ เจ้าชาย เขาได้บรรยายให้ เจ้าชาย ฟังทุก ๆ ครั้ง และบ่อยขึ้น จนกระทั่ง เจ้าชายโจอาซาฟ เกิดความมั่นใจในพระองค์เอง วันหนึ่งเจ้าชายกล่าวว่า พระองค์ จะเสด็จไปที่ป่าแห่งหนึ่ง ที่พระองค์ ได้เคยไปมาก่อนแล้ว เจ้าชายโจอาซาฟ จึงได้เสด็จหนีออกจาก พระราชวังไป พร้อมกับนักบวชผู้นั้น โดยได้ขอแลก เปลี่ยนเครื่องทรงของพระองค์ กับเครื่องนุ่งห่มกับนักบวชนั้น แล้วพระองค์ ก็ได้แต่งกายด้วยเครื่องนุ่งห่ม ของนักบวชนั้น ซึ่งได้จากพระองค์ไป
วันหนึ่งขณะที่ เจ้าชายโจอาซาฟ กำลังทำสมาธิอยู่อย่างติดต่อกันนั้น พระองค์ได้มองเห็นสวรรค์ในสมาธิ พระองค์ได้ยินเสียงกล่าวว่า "ที่นั้นเป็นสถานที่สำหรับผู้ที่มีคุณงามความดีอาศัย"
สี่สิบวันหลังจากที่ เจ้าชายโจอาซาฟ หนีออกจากพระราชวัง พระราชาอะวีเนียก็สิ้นพระชนม์ เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ทราบข่าวก็ทรงเสด็จกลับมาภายใต้เครื่องนุ่งห่มของ นักบวช และได้ทำหนังสือมอบอำนาจ ยกราชสมบัต ิและราชบัลลังค์ ให้อยู่ในความดูแลของเหล่าอำมาตย์ของ พระองค์
เจ้าชายโจอาซาฟ ได้สละโลก และสมบัติโดยสิ้นเชิง โดยการออกบวชแล้ว ขณะที่อยู่ในป่า พระองค์ได้ทรงได้ใช้เวลา ไปในการทรมานตนด้วยความทุกข์ (อาจแปลได้ว่า "ทุกขรกิริยา"...ผู้เรียบเรียง) จนกระทั่งพลังจิตของ พระองค์ได้สูงขึ้น พระองค์ได้เห็นภาพนิมิต อันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ในระยะช่วงเวลาดังกล่าวนี้ด้วยเ ช่นกัน เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ขึ้นไปท่องเที่ยว ยังเมืองสวรรค์ที่พระองค์ ทรงเห็นมาก่อนนิมิตในสมาธิ เทพธิดาสององค์ ได้ถวายพวงมาลัย ที่ทรงคุณค่าสองพวงให้กับพระองค์ เจ้าชายโจอาซาฟ ถามว่านี้คืออะไร เทพธิดาทั้งสองจึงตอบว่า พวงมาลัยนี้ เป็นของเฉพาะสำหรับพระองค์เท่านั้น "พวงหนึ่งสำหรับปลดปล่อยสัตว์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง อีกพวงหนึ่ง สำหรับท่าน เพื่อบรรลุหนทาง อันนำไปสู่การสละความสุขทางโลก เพื่อบรรลุถึงภาวะสูงสุดเหนือโลก" เทพธิดาทั้งสองกล่าว........"
ข้อความดังกล่าว ที่ยกมาให้ได้ศึกษานี้ ได้นำมาจากคัมภีร์ โบราณแห่งวินัย โดยคริสต์ คาทอลิก เซ้นท์ ชื่อว่า "เจตสิก มิเนอิ ( Cheixi Minei ) " หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า คัมภีร์ " เบอร์ลัม ( Burlam ) " ซึ่งได้กล่าวถึงประวัติของ โจอาซาฟ ( Joasaphat ) หรือ โจซาฟัต ( Josaphat ) ในคัมภีร์นี้ มีบทมนต์ที่ใช้ เจ้าชาย ใช้ท่องภาวนาว่า " ขอให้ จิต ( Soul ) ของเราจงหลุดพ้น จากความทุกข์ทั้งหลาย.."
เมื่อท่านได้อ่านอย่างพิจารณาแล้ว คงมีความสงสัยเช่นกันว่า ศาสนิกคริสต์ คาทอลิกในยุคโบราณ ซึ่งผู้ที่เขียนจารึกไว้ในคัมภีร์นี้เป็นใคร ? แต่ย่อมต้องไม่มีจิตใจที่ไม่เอนเอียงเข้ากับฝ่ายใด
และเขาผู้จารึกคัมภีร์ นี้ย่อมรู้อยู่ว่าพวกเขาสวดมนต์ถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ เจ้าชายโจอาซาฟ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์นั้น หากพิจารณาด้วยความยุติธรรม ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นักวิชาการผู้แสวงหาความจริง ทั้งหลายของโลก ซึ่งได้ค้นคว้าหาความจริง ของเรื่องนี้ ต่างพากันยอมรับความจริงแล้วว่า ชีวประวัติของพระโพธิสัตย์ ( Bodhi - Satta ) ซึ่งได้เล่าถ่ายทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยอาศัยปากต่อปาก ( มุขปาฐะ ) เป็นไปได้ อาจมีการเพี้ยนไปจากรูปแบบเดิม บ้าง แต่ก็มีความบิดเบือน ไปเพียงเล็กน้อยในรูปแบบ และได้ถูก "คริสต์ คาทอลิก" หยิบเข้ามาใส่ ในคัมภีร์นี้ จนทำให้กลายมาเป็นชีวประวัติของ คริสต์ คาทอลิก เซ้นท์ ผู้หนึ่ง โดยการปรับเปลี่ยนชื่อ และเนื้อหาไปจากเดิม