สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
โต้แย้ง
ในส่วนนี้ผมได้รวบรวมคำโต้แย้งบางประการ เพื่อชี้ให้เห็นว่า บทความดังกล่าวข้างต้น เป็นบทความที่หลอกลวง ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ไม่สามารถนำมาอ้างอิงในเชิงวิชาการได้
บทความดังกล่าวเป็นได้แค่ "นิยายศาสนา" เท่านั้นครับ
493 ปี ก่อนมีคริสตศาสนาเกิดขึ้นบนโลก โสเครติส ผู้แรกหนุ่ม ได้เดินทางมาศึกษายัง ตักกะศิลา ใน อินเดียตอนเหนือ และได ้ปาวารณาตน เป็นอุบาสกใน พุทธศาสนา ปฏิบัติทางสมาธิจิต จากพระอรหันต์ จากนั้น ได้เดินทางกลับไปยัง ประเทศกรีก (Jonia) ตั้ง สำนักสอนวิชาการ และสำนักปฏิบัติธรรม ได้เข้ารับราชการ มีตำแหน่งเป็น อาจารย์สอนวิชาการ และ หลักธรรมอันลึกซึ้ง ในพระพุทธศาสนา ให้กับ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ (Alexzander The Great) ทำให้ต่อมาได้ กรีฑาทัพ มายังชมพูทวีป เพื่อศึกษา พระพุทธศาสนา ด้านพระอภิธรรม กับพระอริยบุคคล ตามที่ได้รับการแนะนำ จากโสเครติส
โต้แย้ง
โสเครติสมีชีวิตอยู่ในช่วง 469 BC–399 BC
อเล็กซานเดอร์ มีชีวิตอยู่ในช่วง 356 BC–323 BC
... แล้วโสเครติส จะเป็นอาจารย์ของ อเล็กซานเดอร์ ได้อย่างไร ???
http://en.wikipedia.org/wiki/Socrates
http://en.wikipedia.org/wiki/Alexander_the_Great
และ ได้กล่าวว่าสิ่งที่พิสูจน์ว่า "เยซู" ได้ใช้หลักธรรม ของ พระพุทธศาสนา ดัดแปลงมาสั่งสอน ก็คือมาจากคำว่า " อิลิยาห์ ( Elijah ) " ที่ใช้ทับศัพท์ กับ คำภาษาบาลีเรียก พระสงฆ์ ที่สำเร็จธรรมขั้นสูง และพระพุทธเจ้า ซึ่งเรียกว่า "อริยะ" แปลว่า " ผู้ประเสริฐ ( The Noble One ) " ที่ต่อมาได้แผลงเป็น "อาลีลูยา" ในคำสวด ทั่วไปของคริสต์ศาสนา ซึ่งเราจะได้ยินอยู่ในปัจจุบัน
โต้แย้ง
เอลียาห์ (Elijah) ไม่ได้หมายถึงคำว่า "อริยะ" แต่อย่างใด
เอลียาห์ ไม่ใช่หลักคำสอนของพระเยซูเลย แต่เป็นชื่อคน
เอลียาห์คือ ผู้เผยพระวจนะ (ศาสดาพยากรณ์) ในสมัยของกษัตริย์อาหับ
ซึ่งปรากฎในหนังสือ 1 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 17 จนถึง 2 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 2 ซึ่งหนังสือนี้ เขียนขึ้นเมื่อปี 874 กคศ.
ส่วนคำว่า "ฮาเลลูยาห์" นั้นมาจากภาษาฮีบรู (Hy"“Wll.h;)
ฮาเลลู แปลว่า "สรรเสริญ"
ยาห์ แปลว่า "พระเจ้า"
ฮาเลลูยาห์ จึงแปลว่า "สรรเสริญพระเจ้า"
คำว่า ฮาเลลูยาห์ นี้ ปรากฎอยู่หลายแห่งในพระคัมภีร์ โดยจะพบมากในหนังสือสดุดี ซึ่งพระธรรมสดุดีก็ถูกเขียนขึ้น 1,000ปี ก่อนคริสตกาล ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคำว่าอริยะเลย
หลักฐาน อย่างเป็นทางการของ Prof. N. Plini ในงานวิจัยของชื่อ "ปาเลสไตน์ก่อนสมัยคริสต์ คาทอลิก ( Pre-Christine Palestine ) " ซึ่ง ได้ระบุถึงนิกายหนึ่ง ของพุทธศาสนามีชื่อว่า เอสเซ่นส์ ( Essnenes ) ซึ่ง ยึดถือว่า โลกิยธรรมท และโลกุตรธรรม ไม่มีสภาวะโดยแท้จริง นิกายนี้ปฏิบัติบำเพ็ญพรต คล้ายโยคี มักอยู่ตามตามถ้ำ และป่าเขา ไม่กินเนื้อสัตว์ เผยแพร่เจริญมากที่สุดในแถบ แคชเมีย และธิเบต ตอนล่าง ได้แพร่หลายเข้าสู่ปาเลสไตน์ก่อนที่ "เยชู" ศาสดาของคริสต์ศาสนาจะเกิดหลายร้อยปี
พระ สงฆ์ของนิกายนี้ ไม่จับจ่ายใช้สอยเงินทอง ตื่นแต่เข้าและทำ สมาธิ โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีกิจวัตรหลัก ที่ต้องปฏิบัติ คือการทำสมาธิจิต จึงทำให้ถูกเรียกว่า " อิสี " หรือ " อิสิ (Isi) " ซึ่งเป็นคำจากภาษาบาลี
การ เผยแผ่ พระพุทธศาสนา ใน ครั้งนั้น ทำให้ชาวกรีก และชาวยุโรป เดินทางมาบวช เป็นพระภิกษุใน พุทธศาสนา สำเร็จเป็น พระอรหันต์ หลายองค์สำหรับที่ ชาวโลก รู้จักดีที่สุดคือ พระโยนะธรรมรักขิตะ ทั้งนี้เพราะท่านได้มีเขียนด้าน พุทธศาสตร์ ไว้หลายภาษา เช่น ภาษาสันสกฤต ภาษามคธ ภาษาคฤณ รวมทั้ง ท่านผู้นี้ได้แปล พระสูตร มากมายเป็นภาษากรีก จึงทำให้หลักธรรม ของพุทธศาสนา ได้ถูกปริวัติเป็น " ระบอบประชาธิปไตย " และ พุทธศาสนิก ได้กระจายออกไปทั่วตะวันออกกลาง แยกกลุ่ม นำธรรมมะ ออกไปปฏิบัติตามความถนัด และ ความเหมาะสมของพื้นที่ของตน ทำให้เกิดเป็น ศาสนา แอสเซเนส ( Essenes ) ซึ่งนิกายนี้ จะแยกตัวออกไปอยู่ตาม ป่า หรือที่วิเวก เพื่อประพฤติ พรหมจรรย์ และ ฝึกสมาธิจิต ตามหลักใน พระไตรปิฏก เช่น เดียวกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ในยุคนั้น พระพุทธวัจนะ ได้เผยแพร่ และปริวัติไปทั่วชมพูทวีป ตะวันออกกลางอย่างทั่วถึง และต่อเนื่องรวมทั้งยังเข้าถึงชนทุกเผ่า และทุกชนชั้น พระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา จาริก เผยแพร่ธรรม และออกปฏิบัติจิต สั่งสอนศิษย์ ในท้องถิ่นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล พระอริยบุคล หลายท่านได้เขียนคัมภีร์ บรรจุไว้ตามถ้ำ ซึ่งเป็นที่ประพฤติปฏิบัติจิต ของท่านมากมายหลายพันแห่ง ทั่วดินแดนแถบนี้ จึงไม่มีศาสนาอื่นใด ทั้งสิ้นที่ยิ่งใหญ่ และมีผู้เลื่อมใสศรัทธา เท่ากับ พระพุทธศาสนา ในยุคนั้น
โต้แย้ง
นิกายเอสเซน เป็นนิกายหนึ่งของชาวยิว ชอบปลีกวิเวกจากสังคม ไปอาศัยอยู่ที่คูมราน ติดทะเลเดดซี
หลักฐานที่เราพบเกี่ยวกับนิกายนี้คือ
สำเนาคัดลอกพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมภาษาฮีบรูอย่างมหาศาล และสำเนาหนังสือของชาวยิว
ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับพุทธศาสนาแม้แต่น้อย
รายชื่อหนังสือต่าง ๆ ที่นิกายเอสเซนเขียนไว้ ดูได้ที่นี่
http://ot-nt.blogspot.com/2010/12/overview-of-dead-sea-scrolls.html?utm_source=BP_recent
พวกเอสเซน คือใคร ?
http://www.pbs.org/wgbh/pages/frontline/shows/religion/portrait/essenes.html
นอก จากนี้ โปรเฟสเซอร์ ริส เดวิด (Prof. Lead David) ได้พิสูจน์จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้พบความจริงว่า คำว่า "ก๊อต(God)" หมายถึง "พระพุทธเจ้า" ศาสดาของพระพุทธศาสนา เป็นคำที่ถูกย่อให้สั้นลงมาจากคำว่า " ก๊อตตะมะ ( Godtama ) " ( ตรงกับ ภาษาบาลีว่า โคตะมะ ) ซึ่งเป็น ชื่อ โค-ต-ร ตระกูลของพระพุทธเจ้า
" ฟราวาดิน (Fravardin Yast) " ซึ่งได้เขียนไว้เป็น ภาษาปาซีร์
ให้คำอธิบายความหมายในบทที่ 16 ว่า
"คำว่าคัมพัตตะมะ ( Gambatama ) ในภาษาปาร์ซีนั้น
จะมีความหมายเท่ากับคำว่า "กอดตะมะ ( Godtama )
" สามารถใช้เรียกสั้น ๆ ได้ในโดยคำว่า " ก๊อด ( GOD ) "
ในปีค.ศ.786 นักโบราณคดี อัมดุลอาธาหิยา ( abdul alhahiya ) ได้พบจารึก
ในม้วนกระดาษปาปิรุส ในประเทศอียิปต์ ซึ่งมีอายุก่อนคริสต์ศักราชถึง 30 ปี
ปรากฏข้อความที่เกี่ยวเนื่องกับคำว่า " ก๊อด ( GOD )
" ซึ่งเป็นเครื่องหมายยืนยันที่มาของคำว่า " ก๊อด ( God )
" ได้ถูกใช้มาก่อนที่ เยซู จะถือกำเนิดกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว
ต่อมา ดร.โกลด์ สิฮาห์ ( Dr.Gold Sihar ) แห่ง บูดาเปสท์ ได้ศึกษาม้วนปาปิรุส
และ หลักฐานประกอบต่าง ๆ ได้ยืนยันสอดคล้อง กับคณะวิจัยของ พ.ท. เฮนรี่ ว่า " ตามข้อความ ในม้วนปาปิรุส ที่อ้างถึง พระราชา ซึ่งเรียกว่า ก๊อต ( God )
นั้นเป็นคำเรียก ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า " โคตะมะ " เมื่อออกเสียงสั้น ๆ
โดยสำเนียงท้องถิ่นจึงกลายมาเป็นคำว่า " ก๊อด ( God ) "
โต้แย้ง
God เป็นภาษาอังกฤษ...เวลานั้น ภาษาอังกฤษยังไม่เกิดขึ้นในโลกเลยครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/English_language
ชาวยิวในสมัยพระเยซู ใช้ภาษาฮีบรู และภาษากรีก...ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย
“พระเจ้า” พันธสัญญาเดิม ภาษาฮีบรู
YAHWEH ยาห์เวห์
ELOHIM เอโลฮีม
ADONAI อะโดนาย
EL เอล
YAH ยาห์
“พระเจ้า” พันธสัญญาใหม่ ภาษากรีก
THEOS เธ-ออส
KURIOS คู ริ ออส
ภาษาอังกฤษ (ที่ใช้แปลจาก ฮีบรูและกรีก) คือ
GOD
LORD
ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาเดิมของพระคัมภีร์ แต่เป็นภาษา "แปล" เท่านั้น
พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษเล่มแรก ถูกแปลขึ้น ใน คศ.1388
The first translation of the English Bible was initiated by John Wycliffe and completed by John Purvey in A.D. 1388.
อีกคำ ที่พบว่า คำในพุทธศาสนา ถูดนำมาดัดแปลง ใส่ในคัมภีร์ไบเบิลส์ คือคำว่า
" บุตรของก๊อต ( Sun of God ) " เพราะเมื่อพิสูจน์ใด้ว่า ก๊อต ( God )
มาจากคำว่า " โคตะมะ " ซึ่งหมายถึง "พระพุทธเจ้า"
ดังนั้น บุตรของ ก๊อต ก็คือ บุตรของ พระพุทธเจ้า ตรงกันกับภาษา
ในพระสูตรของพุทธศาสนาว่า " พุทธบุตร " ซึ่งหมายถึง
" บุตร ( สาวก ) ของพระพุทธเจ้า "
โต้แย้ง
บุตรของพระเจ้า ภาษาฮีบรูก็ดี ภาษากรีกก็ดี หรือภาษาท้องถิ่น ในอิสราเอล
ไม่ได้ออกเสียงเรียกว่า Sun of God เลยสักนิดเดียว
[ผู้แปลบทความนี้ คงตกภาษาอังกฤษด้วย...
จริงๆ ต้องเขียนว่า Son of God (บุตรของพระเจ้า) ...
ไม่ใช่ Sun of God (ดวงอาทิตย์ของพระเจ้า) !?!]
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น Son of God เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเวลานั้น ภาษาอังกฤษยังไม่เกิดขึ้นครับ
คำว่า บุตรของพระเจ้า ในภาษากรีก คือ ui`ou/ qeou/ (ฮวีอู เธอู)... Son of God เป็นเพียงคำแปลเท่านั้น ...ไม่เกี่ยวอะไรกับบุตรของโคตะมะ หรือ สาวกของพระพุทธเจ้าเลย
“พระเจ้า” พันธสัญญาเดิม ภาษาฮีบรู
YAHWEH ยาห์เวห์
ELOHIM เอโลฮีม
ADONAI อะโดนาย
EL เอล
YAH ยาห์
“พระเจ้า” พันธสัญญาใหม่ ภาษากรีก
THEOS เธ-ออส
KURIOS คู ริ ออส
ทั้งผู้เขียน และผู้ที่ค้นคว้าได้อ้างมาในลิงค์ ตกทั้งประวัติศาสตร์ และภาษาศาสตร์ อย่างรุนแรง
[คริสต์] ฮาสุดขีด...บิดเบือนความเชื่อศาสนาคริสต์...พระเยซูนับถือศาสนาพุทธ !!!
http://topicstock.ppantip.com/religious/topicstock/2011/02/Y10248492/Y10248492.html
ในส่วนนี้ผมได้รวบรวมคำโต้แย้งบางประการ เพื่อชี้ให้เห็นว่า บทความดังกล่าวข้างต้น เป็นบทความที่หลอกลวง ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ไม่สามารถนำมาอ้างอิงในเชิงวิชาการได้
บทความดังกล่าวเป็นได้แค่ "นิยายศาสนา" เท่านั้นครับ
493 ปี ก่อนมีคริสตศาสนาเกิดขึ้นบนโลก โสเครติส ผู้แรกหนุ่ม ได้เดินทางมาศึกษายัง ตักกะศิลา ใน อินเดียตอนเหนือ และได ้ปาวารณาตน เป็นอุบาสกใน พุทธศาสนา ปฏิบัติทางสมาธิจิต จากพระอรหันต์ จากนั้น ได้เดินทางกลับไปยัง ประเทศกรีก (Jonia) ตั้ง สำนักสอนวิชาการ และสำนักปฏิบัติธรรม ได้เข้ารับราชการ มีตำแหน่งเป็น อาจารย์สอนวิชาการ และ หลักธรรมอันลึกซึ้ง ในพระพุทธศาสนา ให้กับ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ (Alexzander The Great) ทำให้ต่อมาได้ กรีฑาทัพ มายังชมพูทวีป เพื่อศึกษา พระพุทธศาสนา ด้านพระอภิธรรม กับพระอริยบุคคล ตามที่ได้รับการแนะนำ จากโสเครติส
โต้แย้ง
โสเครติสมีชีวิตอยู่ในช่วง 469 BC–399 BC
อเล็กซานเดอร์ มีชีวิตอยู่ในช่วง 356 BC–323 BC
... แล้วโสเครติส จะเป็นอาจารย์ของ อเล็กซานเดอร์ ได้อย่างไร ???
http://en.wikipedia.org/wiki/Socrates
http://en.wikipedia.org/wiki/Alexander_the_Great
และ ได้กล่าวว่าสิ่งที่พิสูจน์ว่า "เยซู" ได้ใช้หลักธรรม ของ พระพุทธศาสนา ดัดแปลงมาสั่งสอน ก็คือมาจากคำว่า " อิลิยาห์ ( Elijah ) " ที่ใช้ทับศัพท์ กับ คำภาษาบาลีเรียก พระสงฆ์ ที่สำเร็จธรรมขั้นสูง และพระพุทธเจ้า ซึ่งเรียกว่า "อริยะ" แปลว่า " ผู้ประเสริฐ ( The Noble One ) " ที่ต่อมาได้แผลงเป็น "อาลีลูยา" ในคำสวด ทั่วไปของคริสต์ศาสนา ซึ่งเราจะได้ยินอยู่ในปัจจุบัน
โต้แย้ง
เอลียาห์ (Elijah) ไม่ได้หมายถึงคำว่า "อริยะ" แต่อย่างใด
เอลียาห์ ไม่ใช่หลักคำสอนของพระเยซูเลย แต่เป็นชื่อคน
เอลียาห์คือ ผู้เผยพระวจนะ (ศาสดาพยากรณ์) ในสมัยของกษัตริย์อาหับ
ซึ่งปรากฎในหนังสือ 1 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 17 จนถึง 2 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 2 ซึ่งหนังสือนี้ เขียนขึ้นเมื่อปี 874 กคศ.
ส่วนคำว่า "ฮาเลลูยาห์" นั้นมาจากภาษาฮีบรู (Hy"“Wll.h;)
ฮาเลลู แปลว่า "สรรเสริญ"
ยาห์ แปลว่า "พระเจ้า"
ฮาเลลูยาห์ จึงแปลว่า "สรรเสริญพระเจ้า"
คำว่า ฮาเลลูยาห์ นี้ ปรากฎอยู่หลายแห่งในพระคัมภีร์ โดยจะพบมากในหนังสือสดุดี ซึ่งพระธรรมสดุดีก็ถูกเขียนขึ้น 1,000ปี ก่อนคริสตกาล ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคำว่าอริยะเลย
หลักฐาน อย่างเป็นทางการของ Prof. N. Plini ในงานวิจัยของชื่อ "ปาเลสไตน์ก่อนสมัยคริสต์ คาทอลิก ( Pre-Christine Palestine ) " ซึ่ง ได้ระบุถึงนิกายหนึ่ง ของพุทธศาสนามีชื่อว่า เอสเซ่นส์ ( Essnenes ) ซึ่ง ยึดถือว่า โลกิยธรรมท และโลกุตรธรรม ไม่มีสภาวะโดยแท้จริง นิกายนี้ปฏิบัติบำเพ็ญพรต คล้ายโยคี มักอยู่ตามตามถ้ำ และป่าเขา ไม่กินเนื้อสัตว์ เผยแพร่เจริญมากที่สุดในแถบ แคชเมีย และธิเบต ตอนล่าง ได้แพร่หลายเข้าสู่ปาเลสไตน์ก่อนที่ "เยชู" ศาสดาของคริสต์ศาสนาจะเกิดหลายร้อยปี
พระ สงฆ์ของนิกายนี้ ไม่จับจ่ายใช้สอยเงินทอง ตื่นแต่เข้าและทำ สมาธิ โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีกิจวัตรหลัก ที่ต้องปฏิบัติ คือการทำสมาธิจิต จึงทำให้ถูกเรียกว่า " อิสี " หรือ " อิสิ (Isi) " ซึ่งเป็นคำจากภาษาบาลี
การ เผยแผ่ พระพุทธศาสนา ใน ครั้งนั้น ทำให้ชาวกรีก และชาวยุโรป เดินทางมาบวช เป็นพระภิกษุใน พุทธศาสนา สำเร็จเป็น พระอรหันต์ หลายองค์สำหรับที่ ชาวโลก รู้จักดีที่สุดคือ พระโยนะธรรมรักขิตะ ทั้งนี้เพราะท่านได้มีเขียนด้าน พุทธศาสตร์ ไว้หลายภาษา เช่น ภาษาสันสกฤต ภาษามคธ ภาษาคฤณ รวมทั้ง ท่านผู้นี้ได้แปล พระสูตร มากมายเป็นภาษากรีก จึงทำให้หลักธรรม ของพุทธศาสนา ได้ถูกปริวัติเป็น " ระบอบประชาธิปไตย " และ พุทธศาสนิก ได้กระจายออกไปทั่วตะวันออกกลาง แยกกลุ่ม นำธรรมมะ ออกไปปฏิบัติตามความถนัด และ ความเหมาะสมของพื้นที่ของตน ทำให้เกิดเป็น ศาสนา แอสเซเนส ( Essenes ) ซึ่งนิกายนี้ จะแยกตัวออกไปอยู่ตาม ป่า หรือที่วิเวก เพื่อประพฤติ พรหมจรรย์ และ ฝึกสมาธิจิต ตามหลักใน พระไตรปิฏก เช่น เดียวกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ในยุคนั้น พระพุทธวัจนะ ได้เผยแพร่ และปริวัติไปทั่วชมพูทวีป ตะวันออกกลางอย่างทั่วถึง และต่อเนื่องรวมทั้งยังเข้าถึงชนทุกเผ่า และทุกชนชั้น พระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา จาริก เผยแพร่ธรรม และออกปฏิบัติจิต สั่งสอนศิษย์ ในท้องถิ่นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล พระอริยบุคล หลายท่านได้เขียนคัมภีร์ บรรจุไว้ตามถ้ำ ซึ่งเป็นที่ประพฤติปฏิบัติจิต ของท่านมากมายหลายพันแห่ง ทั่วดินแดนแถบนี้ จึงไม่มีศาสนาอื่นใด ทั้งสิ้นที่ยิ่งใหญ่ และมีผู้เลื่อมใสศรัทธา เท่ากับ พระพุทธศาสนา ในยุคนั้น
โต้แย้ง
นิกายเอสเซน เป็นนิกายหนึ่งของชาวยิว ชอบปลีกวิเวกจากสังคม ไปอาศัยอยู่ที่คูมราน ติดทะเลเดดซี
หลักฐานที่เราพบเกี่ยวกับนิกายนี้คือ
สำเนาคัดลอกพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมภาษาฮีบรูอย่างมหาศาล และสำเนาหนังสือของชาวยิว
ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับพุทธศาสนาแม้แต่น้อย
รายชื่อหนังสือต่าง ๆ ที่นิกายเอสเซนเขียนไว้ ดูได้ที่นี่
http://ot-nt.blogspot.com/2010/12/overview-of-dead-sea-scrolls.html?utm_source=BP_recent
พวกเอสเซน คือใคร ?
http://www.pbs.org/wgbh/pages/frontline/shows/religion/portrait/essenes.html
นอก จากนี้ โปรเฟสเซอร์ ริส เดวิด (Prof. Lead David) ได้พิสูจน์จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้พบความจริงว่า คำว่า "ก๊อต(God)" หมายถึง "พระพุทธเจ้า" ศาสดาของพระพุทธศาสนา เป็นคำที่ถูกย่อให้สั้นลงมาจากคำว่า " ก๊อตตะมะ ( Godtama ) " ( ตรงกับ ภาษาบาลีว่า โคตะมะ ) ซึ่งเป็น ชื่อ โค-ต-ร ตระกูลของพระพุทธเจ้า
" ฟราวาดิน (Fravardin Yast) " ซึ่งได้เขียนไว้เป็น ภาษาปาซีร์
ให้คำอธิบายความหมายในบทที่ 16 ว่า
"คำว่าคัมพัตตะมะ ( Gambatama ) ในภาษาปาร์ซีนั้น
จะมีความหมายเท่ากับคำว่า "กอดตะมะ ( Godtama )
" สามารถใช้เรียกสั้น ๆ ได้ในโดยคำว่า " ก๊อด ( GOD ) "
ในปีค.ศ.786 นักโบราณคดี อัมดุลอาธาหิยา ( abdul alhahiya ) ได้พบจารึก
ในม้วนกระดาษปาปิรุส ในประเทศอียิปต์ ซึ่งมีอายุก่อนคริสต์ศักราชถึง 30 ปี
ปรากฏข้อความที่เกี่ยวเนื่องกับคำว่า " ก๊อด ( GOD )
" ซึ่งเป็นเครื่องหมายยืนยันที่มาของคำว่า " ก๊อด ( God )
" ได้ถูกใช้มาก่อนที่ เยซู จะถือกำเนิดกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว
ต่อมา ดร.โกลด์ สิฮาห์ ( Dr.Gold Sihar ) แห่ง บูดาเปสท์ ได้ศึกษาม้วนปาปิรุส
และ หลักฐานประกอบต่าง ๆ ได้ยืนยันสอดคล้อง กับคณะวิจัยของ พ.ท. เฮนรี่ ว่า " ตามข้อความ ในม้วนปาปิรุส ที่อ้างถึง พระราชา ซึ่งเรียกว่า ก๊อต ( God )
นั้นเป็นคำเรียก ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า " โคตะมะ " เมื่อออกเสียงสั้น ๆ
โดยสำเนียงท้องถิ่นจึงกลายมาเป็นคำว่า " ก๊อด ( God ) "
โต้แย้ง
God เป็นภาษาอังกฤษ...เวลานั้น ภาษาอังกฤษยังไม่เกิดขึ้นในโลกเลยครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/English_language
ชาวยิวในสมัยพระเยซู ใช้ภาษาฮีบรู และภาษากรีก...ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย
“พระเจ้า” พันธสัญญาเดิม ภาษาฮีบรู
YAHWEH ยาห์เวห์
ELOHIM เอโลฮีม
ADONAI อะโดนาย
EL เอล
YAH ยาห์
“พระเจ้า” พันธสัญญาใหม่ ภาษากรีก
THEOS เธ-ออส
KURIOS คู ริ ออส
ภาษาอังกฤษ (ที่ใช้แปลจาก ฮีบรูและกรีก) คือ
GOD
LORD
ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาเดิมของพระคัมภีร์ แต่เป็นภาษา "แปล" เท่านั้น
พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษเล่มแรก ถูกแปลขึ้น ใน คศ.1388
The first translation of the English Bible was initiated by John Wycliffe and completed by John Purvey in A.D. 1388.
อีกคำ ที่พบว่า คำในพุทธศาสนา ถูดนำมาดัดแปลง ใส่ในคัมภีร์ไบเบิลส์ คือคำว่า
" บุตรของก๊อต ( Sun of God ) " เพราะเมื่อพิสูจน์ใด้ว่า ก๊อต ( God )
มาจากคำว่า " โคตะมะ " ซึ่งหมายถึง "พระพุทธเจ้า"
ดังนั้น บุตรของ ก๊อต ก็คือ บุตรของ พระพุทธเจ้า ตรงกันกับภาษา
ในพระสูตรของพุทธศาสนาว่า " พุทธบุตร " ซึ่งหมายถึง
" บุตร ( สาวก ) ของพระพุทธเจ้า "
โต้แย้ง
บุตรของพระเจ้า ภาษาฮีบรูก็ดี ภาษากรีกก็ดี หรือภาษาท้องถิ่น ในอิสราเอล
ไม่ได้ออกเสียงเรียกว่า Sun of God เลยสักนิดเดียว
[ผู้แปลบทความนี้ คงตกภาษาอังกฤษด้วย...
จริงๆ ต้องเขียนว่า Son of God (บุตรของพระเจ้า) ...
ไม่ใช่ Sun of God (ดวงอาทิตย์ของพระเจ้า) !?!]
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น Son of God เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเวลานั้น ภาษาอังกฤษยังไม่เกิดขึ้นครับ
คำว่า บุตรของพระเจ้า ในภาษากรีก คือ ui`ou/ qeou/ (ฮวีอู เธอู)... Son of God เป็นเพียงคำแปลเท่านั้น ...ไม่เกี่ยวอะไรกับบุตรของโคตะมะ หรือ สาวกของพระพุทธเจ้าเลย
“พระเจ้า” พันธสัญญาเดิม ภาษาฮีบรู
YAHWEH ยาห์เวห์
ELOHIM เอโลฮีม
ADONAI อะโดนาย
EL เอล
YAH ยาห์
“พระเจ้า” พันธสัญญาใหม่ ภาษากรีก
THEOS เธ-ออส
KURIOS คู ริ ออส
ทั้งผู้เขียน และผู้ที่ค้นคว้าได้อ้างมาในลิงค์ ตกทั้งประวัติศาสตร์ และภาษาศาสตร์ อย่างรุนแรง
[คริสต์] ฮาสุดขีด...บิดเบือนความเชื่อศาสนาคริสต์...พระเยซูนับถือศาสนาพุทธ !!!
http://topicstock.ppantip.com/religious/topicstock/2011/02/Y10248492/Y10248492.html
แสดงความคิดเห็น
พระเยซูเคยเป็นพระในศาสนาพุทธ
543 ปี หลัง พระพุทธเจ้าบรมศาสดา แห่ง พระพุทธศาสนา ทรงปรินิพาน ศาสนาคริสต์ จึงได้ถือกำเนิดขึ้นบนพื้นพิภพนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในชมพูทวีป อันหมายรวมประเทศ ทั้งหลายในย่าน อินเดียไปจนจดลุ่มน้ำ ไทกริส ยูเฟติส นั้น ยังไม่ปรากฏว่ามี ศาสนาใด ในยุคนั้น ได้รับความศรัทธาจากมหาชน เท่ากับพระพุทธศาสนา แม้แต่ ศาสนาพราหมณ์ ที่เกิดขึ้นก่อน พุทธศาสนา ในยุคนั้น ก็ไม่มีการบันทึกคำสอนใด เป็นหลักฐาน คงมีการบอกต่อกัน ด้วยปาก ( มุขปาฐะ) ทั้งสิ้น และสั่งสอนกัน เฉพาะภายใน ตระกูลของพราหมณ์ มิได้แพร่หลายออกนอก โค-ต-ร-ตระกูลของตน คงมีแต่ พระพุทธศาสนา เท่านั้นที่แพร่หลาย ไร้วรรณะ เป็น ศาสนาแรกของโลก ที่ให้กำเนิดคำว่า “ สิทธิมนุษยชน "
493 ปีก่อนมีคริสตศาสนาเกิดขึ้นบนโลก โสเครติส ผู้แรกหนุ่ม ได้เดินทางมาศึกษายัง ตักกะศิลา ใน อินเดียตอนเหนือ และได ้ปาวารณาตน เป็นอุบาสกใน พุทธศาสนา ปฏิบัติทางสมาธิจิต จากพระอรหันต์ จากนั้น ได้เดินทางกลับไปยัง ประเทศกรีก (Jonia) ตั้งสำนักสอนวิชาการ และสำนักปฏิบัติธรรม ได้เข้ารับราชการ มีตำแหน่งเป็น อาจารย์สอนวิชาการ และ หลักธรรมอันลึกซึ้ง ในพระพุทธศาสนา ให้กับ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ (Alexzander The Great) ทำให้ต่อมาได้ กรีฑาทัพ มายังชมพูทวีป เพื่อศึกษา พระพุทธศาสนา ด้านพระอภิธรรม กับพระอริยบุคคล ตามที่ได้รับการแนะนำ จากโสเครติส ( จึงไม่ปรากฏการรบ ในการกรีฑาทัพครั้งนี้ แม้จะมีการเสนอ ให้เข้าตีชมพูทวีป จากแม่ทัพบางคนก็ตาม ) ทรงสิ้นพระชนม์ เสียก่อนที่จะได้ศึกษา ส่วน พระสหายสนิท และ แม่ทัพนายกองที่ติดตามมา เพื่อศึกษาธรรมะ เช่นเดียวกัน นั้น ยังมั่น ในเจตนาเดิม จึงไม่เดินทางกลับไปยัง ประเทศกรีก โดยต่างปราวรณาตัวเป็น อุบาสก นับถือพุทธศาสนา บ้างก็ออกบวช เป็นพระภิกษุ ในพุทธศาสนาศึกษา ในนาลันทา แล้วนำ พุทธศาสนา กลับไปเผยแผ่ในประเทศของตน จนมีวัด พุทธศาสนา เกิดขึ้นมากมายในแคว้นต่าง ๆ อันขึ้นตรงกับกรีก ทำให้ พุทธศาสนา ได้แพร่หลายเป็นหลายนิกาย กระจายไปทั่วตะวันออกกลาง
ก่อน คริสต์ศาสนนา ถือกำเหนิดขึ้น ในโลกมนุษย์ 243 ปี เมื่อ อโศกัน อีดิคส์ ( Asokan Edivts ) ( ชาวพุทธเรียกว่า พระเจ้าอโศกมหาราช..ผู้เรียบเรียง ) กล่าวว่า หลังจากได้ทำ สังคายนา หลักธรรมของ พระพุทธศาสนา โดยมี พระโมคคัลลีบุตรเถรเจ้า เป็นประธานสำเร็จลงแล้ว ก็ทรงส่ง พระสมณทูต เผยแพร่ศาสนาได้เดินทางไปประกาศ ศาสนา ถึงอาณาจักรของ พระเจ้าแอนโตนิโอคอสที่ ๒ ( Antiochos II ) ประเทศซีเรียปัจจุบัน ฟิลาเดปัส - ปาโตเลมี ( Piladepus-Ptolemy ) แห่งอียิปต์ อันติโกสัส โกนาตัส แห่งเมสิโดเนีย ( Antigonus Gonatus of Mesidonia ) และมากัสแห่งไซรีน ( Magas of Cyene )
การเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ใน ครั้งนั้น ทำให้ชาวกรีก และชาวยุโรป เดินทางมาบวช เป็นพระภิกษุใน พุทธศาสนา สำเร็จเป็น พระอรหันต์ หลายองค์สำหรับที่ ชาวโลก รู้จักดีที่สุดคือ พระโยนะธรรมรักขิตะ ทั้งนี้เพราะท่านได้มีเขียนด้าน พุทธศาสตร์ ไว้หลายภาษา เช่น ภาษาสันสกฤต ภาษามคธ ภาษาคฤณ รวมทั้ง ท่านผู้นี้ได้แปล พระสูตร มากมายเป็นภาษากรีก จึงทำให้หลักธรรม ของพุทธศาสนา ได้ถูกปริวัติเป็น " ระบอบประชาธิปไตย " และ พุทธศาสนิก ได้กระจายออกไปทั่วตะวันออกกลาง แยกกลุ่ม นำธรรมมะ ออกไปปฏิบัติตามความถนัด และ ความเหมาะสมของพื้นที่ของตน ทำให้เกิดเป็น ศาสนาแอสเซเนส ( Essenes ) ซึ่งนิกายนี้ จะแยกตัวออกไปอยู่ตาม ป่า หรือที่วิเวก เพื่อประพฤติ พรหมจรรย์ และ ฝึกสมาธิจิต ตามหลักใน พระไตรปิฏก เช่น เดียวกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ในยุคนั้น พระพุทธวัจนะ ได้เผยแพร่ และปริวัติไปทั่วชมพูทวีป ตะวันออกกลางอย่างทั่วถึง และต่อเนื่องรวมทั้งยังเข้าถึงชนทุกเผ่า และทุกชนชั้น พระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา จาริก เผยแพร่ธรรม และออกปฏิบัติจิต สั่งสอนศิษย์ ในท้องถิ่นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล พระอริยบุคล หลายท่านได้เขียนคัมภีร์ บรรจุไว้ตามถ้ำ ซึ่งเป็นที่ประพฤติปฏิบัติจิต ของท่านมากมายหลายพันแห่ง ทั่วดินแดนแถบนี้ จึงไม่มีศาสนาอื่นใด ทั้งสิ้นที่ยิ่งใหญ่ และมีผู้เลื่อมใสศรัทธา เท่ากับ พระพุทธศาสนา ในยุคนั้น
ได้มีผู้สงสัยกันอยู่เสมอมาตลอดเกือบ 2000 ปี ถึงประวัติการเกิดของเยซูคริสต์ ชีวิตในวัยเด็ก และการเรียนการศึกษาที่ได้รับมานั้น มาจากสำนักใด ? และหลักธรรมที่เยซูได้นำมาสั่งสอนนั้นเป็นของศาสนาใด ?
การที่จะสามารถ สืบค้นพิสูจน์ถึงข้อมูล ต้นตอดังกล่าว ให้ได้อย่างถูกต้องแน่ชัด และประกอบด้วย พยานหลักฐาน และเหตุผล อันพอเพียง ที่สามารถยืนยัน และเชื่อถือได้ ก่อนอื่น เราลองมาพิจารณา คำสอนที่ปรากฏ ในคัมภีร์ของคริสต์เตียน เองเลย เพื่อมิให้เป็นข้อกังขา แก่บุคคลที่ต้องการค้นคว้า แม้หาก ว่าผู้นั้นจะเป็นชาว คริสต์เตียน ผู้ใฝ่หาในความรู้ และประกอบไปด้วย ดวงจิตอันเต็มไปด้วย ความยุติธรรม จึงโปรดพิจารณา ข้อความทั้งหลาย อันปรากฏด้วยความ พิจารณาในคัมภีร์โบราณ แห่งวินัย โดยคริสต์ คาทอลิกเซ้นท์ ชื่อว่า " เจตสิก มิเนอิ ( Cheixi Minei) " หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า คัมภีร์ " เบอร์ลัม ( Burlam ) " มีว่า
"...หลายศตวรรษนานมาแล้ว มีดินแดนที่รุ่งเรืองแห่งหนึ่ง เรียกว่า " ศรีอินเดีย (Serindia) "
ซึ่งได้ถูกปกครอง โดยพระราชาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า " อะวีเนีย ( Avenir ) " พระราชโอรสของ พระองค์ทรงพระนามว่า " โจอาซาฟ ( Joasaphat ) " เป็นผู้มีมีคุณลักษณะ อันประเสริฐประจำพระองค์หลายประการ ซึ่งเป็นเครื่องหมาย อันแสดงถึงการพัฒนาอำนาจจิต ที่สูงส่ง พระราชาได้ ให้บรรดานักบวช และโหราจารย์ทั้งหลายมา ทำนายอนาคต ของราชโอรสของพระองค์ พวกเขาได้พิจารณา ลักษณะรูปร่าง ของราชโอรสแล้วทำนายว่า เจ้าชาย โจอาซาฟ ผู้นี้จะเป็นผู้ที่มีอำนาจ อย่างยิ่งใหญ่ มากกว่าบรรพบุรุษทั้งหลาย ของพระองค์ แต่มีโหราจารย์ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่ได้เรียนรู้ วิชาโหราศาสตร์ เชี่-ย-วชาญ กว่าผู้อื่น ได้ทำนายว่า " เจ้าชาย โจอาซาฟ จะได้เป็นพระราชา แห่งอาณาจักร ทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ กว่าใคร ๆ โดยไม่มีขอบเขตจำกัด "
พระราชาอะวีเนีย ได้สร้างพระราชวัง ที่สวยสง่างามขึ้นแห่งหนึ่ง สำหรับ เจ้าชายโจอาซาฟ และได้ว่าจ้าง ชายหนุ่ม และสาวใช้ รูปร่างหน้าตางดงามหลายร้อยคน ให้อยู่ร่วมกับ เจ้าชาย ในพระราชวังแห่งนี้ โดยห้ามมิให้บุคคลผู้ใด จากภายนอก เข้าไปในพระราชวัง และห้ามมิให้มีการเอ่ยถึง ถ้อยคำที่เศร้าโศก เกี่ยวกับความตาย ฯลฯ ให้ เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ยินเด็ดขาด พระราชา ย่อมสั่งให้เขาเหล่านั้น พูดแต่สิ่งที่เกี่ยวกับ ความสนุกสนาน สำราญเบิกบานใจ เท่านั้น
โดยการอาศัยอยู่ในพระราชวังแห่งนั้น เจ้าชาย ได้กลายเป็นผู้เชี่-ย-วชาญ ในศิลปวิทยาการ ทั้งหลายของอินเดีย และอาหรับ เมื่อย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ตรัสถามผู้รับใช้ทั้งหลาย ของพระองค์ว่า ทำไม พระราชบิดา ของพระองค์ จึงจำกัดให้ พระองค์ อยู่แต่ในเฉพาะแต่ในเขตพระราชวัง เท่านั้น พวกมหาดเล็กทั้งหลาย จึงได้กราบทูลเรื่องที่ โหราจารย์ทำนายไว้ให้ เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ทรงทราบ
หลังจากนั้น ในโอกาสหนึ่ง เจ้าชายโจอาซาฟ จึงได้ทูลถามพระราชบิดาของพระองค์ว่า ทำไมพระองค์จึงถูกจำกัดให้อยู่แต่ในพระราชวัง พระราชาจึงตอบเจ้าชายโจอาซาฟว่า พระองค์ทำเช่นนั้น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ เจ้าชาย จะต้องพบกับความทุกข์ เจ้าชายจึงกราบทูลถาม พระราชบิดาว่า ตัวความทุกข์นั้น หน้าตาเป็นอย่างไร ? พระราชาก็ไม่อาจที่จะ อธิบายเปรียบเทียบ ลักษณะตัวทุกข์ กับสิ่งที่เจ้าชายเห็น เฉพาะในปราสาทได้ เจ้าชายโจอาซาฟ จึงกราบทูลขออนุญาต ขอออกไปท่องเที่ยวชมภูมิประเทศข้างนอกปราสาทของพระองค์ พระราชาทรงอนุญาต และจัดเตรียมการทุกอย่างที่จำเป็น สำหรับการเดินทางให้ พร้อมนั้นได้ทรงสั่งการ ให้มหาดเล็กทั้งหลาย ให้พาเจ้าชายไปในสถานที่ซึ่ง มีแต่ความเจริญตาเจริญใจเท่านั้น ห้ามไม่ให้พาไปให้เห็นกับสิ่งที่เลวร้ายทั้งหลาย
"สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับทุก ๆ คน หรือว่าเกิดขึ้นกับมนุษย์บางคนเท่านั้น " เจ้าชายถาม พวกมหาดเล็กตอบว่า วันใดวันหนึ่ง ก็ต้องเกิดขึ้นกับ มนุษย์ทุกคน. "เราสามารถกำจัดเหตุการณ์อย่างนี้ ให้หมดไปได้หรือไม่ ? "เจ้าชายโจอาซาฟ ถาม "เป็นไปไม่ได้" นี้คือคำตอบของมหาดเล็ก ทั้งหลาย ทำให้ เจ้าชายโจอาซาฟ รู้สึกเศร้าใจมากสำหรับคำตอบนี้ จึงได้เสด็จกลับไปยัง พระราชวังอย่างเงียบเหงา และได้เริ่มคิดถึงความ ตาย และจุดหมายปลายทางหลัง ความตาย เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ตรัสถามครูผู้สอน ของพระองค์ในพระราชวังว่า " มีใครรู้บ้างไหมว่า มีอะไรเกิดขึ้นภายหลังความตาย" ครูต่างตอบว่า ผู้ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ ได้ถูกพระบิดาของ พระองค์ ขับไล่ออกไปจากเมืองหมดแล้ว เจ้าชายโจอาซาฟ จึงกลายเป็นผู้ที่ กระวนกระวายใจ ไม่มีความสุขเพราะคำตอบนี้ พระองค์ได้เข้าใจแล้วว่า โลกนี้เต็มไปด้วยความ ทุกข์ยาก ทั้งหลาย และพระองค์กลายเป็น ผู้ที่ถูกครอบครอง ด้วยความทุกข์ระทมใจ
ด้วยความเมตตาสงสารของเทวดา จึงให้นักบวชผู้หนึ่ง มาหา เจ้าชายโจอาซาฟ นักบวชผู้นี้ เป็นผู้ที่มีบุญคุณยิ่งใหญ่ อาศัยอยู่ในอุทยานแห่งหนึ่ง ในศรีอินเดีย เขามีชื่อว่า "วาร์ลัม(Varlam)" ซึ่งใช้ชีวิตในลักษณะของ พ่อค้า เขาได้มาถึง ศรีอินเดีย โดยทางเรือ และได้บอกกับมหาดเล็กของ พระราชา ว่า เขามีอัญมณี ซึ่งมีฤทธิ์ที่สามารถ จะรักษาคน ตาบอด หูหนวก และ เป็นใบ้ ให้หายได้ เขาอยากจะมอบให้กับ เจ้าชายโจอาซาฟ เป็นการส่วนพระองค์ เขาได้ทำให้ พระราชา พอพระทัย ดังนั้น จึงได้รับพระราชานุญาต ให้ได้เข้าเฝ้า เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ เมื่อ "นักบวชวาร์ลัม" ได้เข้าพบ เจ้าชาย เขาได้บรรยายให้ เจ้าชาย ฟังทุก ๆ ครั้ง และบ่อยขึ้น จนกระทั่ง เจ้าชายโจอาซาฟ เกิดความมั่นใจในพระองค์เอง วันหนึ่งเจ้าชายกล่าวว่า พระองค์ จะเสด็จไปที่ป่าแห่งหนึ่ง ที่พระองค์ ได้เคยไปมาก่อนแล้ว เจ้าชายโจอาซาฟ จึงได้เสด็จหนีออกจาก พระราชวังไป พร้อมกับนักบวชผู้นั้น โดยได้ขอแลก เปลี่ยนเครื่องทรงของพระองค์ กับเครื่องนุ่งห่มกับนักบวชนั้น แล้วพระองค์ ก็ได้แต่งกายด้วยเครื่องนุ่งห่ม ของนักบวชนั้น ซึ่งได้จากพระองค์ไป
วันหนึ่งขณะที่ เจ้าชายโจอาซาฟ กำลังทำสมาธิอยู่อย่างติดต่อกันนั้น พระองค์ได้มองเห็นสวรรค์ในสมาธิ พระองค์ได้ยินเสียงกล่าวว่า "ที่นั้นเป็นสถานที่สำหรับผู้ที่มีคุณงามความดีอาศัย"
สี่สิบวันหลังจากที่ เจ้าชายโจอาซาฟ หนีออกจากพระราชวัง พระราชาอะวีเนียก็สิ้นพระชนม์ เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ทราบข่าวก็ทรงเสด็จกลับมาภายใต้เครื่องนุ่งห่มของ นักบวช และได้ทำหนังสือมอบอำนาจ ยกราชสมบัต ิและราชบัลลังค์ ให้อยู่ในความดูแลของเหล่าอำมาตย์ของ พระองค์
เจ้าชายโจอาซาฟ ได้สละโลก และสมบัติโดยสิ้นเชิง โดยการออกบวชแล้ว ขณะที่อยู่ในป่า พระองค์ได้ทรงได้ใช้เวลา ไปในการทรมานตนด้วยความทุกข์ (อาจแปลได้ว่า "ทุกขรกิริยา"...ผู้เรียบเรียง) จนกระทั่งพลังจิตของ พระองค์ได้สูงขึ้น พระองค์ได้เห็นภาพนิมิต อันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ในระยะช่วงเวลาดังกล่าวนี้ด้วยเ ช่นกัน เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ขึ้นไปท่องเที่ยว ยังเมืองสวรรค์ที่พระองค์ ทรงเห็นมาก่อนนิมิตในสมาธิ เทพธิดาสององค์ ได้ถวายพวงมาลัย ที่ทรงคุณค่าสองพวงให้กับพระองค์ เจ้าชายโจอาซาฟ ถามว่านี้คืออะไร เทพธิดาทั้งสองจึงตอบว่า พวงมาลัยนี้ เป็นของเฉพาะสำหรับพระองค์เท่านั้น "พวงหนึ่งสำหรับปลดปล่อยสัตว์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง อีกพวงหนึ่ง สำหรับท่าน เพื่อบรรลุหนทาง อันนำไปสู่การสละความสุขทางโลก เพื่อบรรลุถึงภาวะสูงสุดเหนือโลก" เทพธิดาทั้งสองกล่าว........"
ข้อความดังกล่าว ที่ยกมาให้ได้ศึกษานี้ ได้นำมาจากคัมภีร์ โบราณแห่งวินัย โดยคริสต์ คาทอลิก เซ้นท์ ชื่อว่า "เจตสิก มิเนอิ ( Cheixi Minei ) " หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า คัมภีร์ " เบอร์ลัม ( Burlam ) " ซึ่งได้กล่าวถึงประวัติของ โจอาซาฟ ( Joasaphat ) หรือ โจซาฟัต ( Josaphat ) ในคัมภีร์นี้ มีบทมนต์ที่ใช้ เจ้าชาย ใช้ท่องภาวนาว่า " ขอให้ จิต ( Soul ) ของเราจงหลุดพ้น จากความทุกข์ทั้งหลาย.."