โลกของฉัน หลังวันสิ้นใจ ^-^

เธอรู้สึกไหมว่าความเงียบงันที่ไม่ไหวติงนั้นเป็นเช่นไร
ความสิ้นสุดบางอย่างอยู่เบื้องหน้าของเธอแล้ว
ไม่ว่าเธอจะกลัวหรือไม่ตอนนี้เธอก็ต้องไป อย่าพะวง
เธอเลือกแล้วและต้องไปเดี๋ยวนี้...
เพราะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
หลังจากที่ลมหายใจของฉันสิ้นสุดลงในช่วงบ่ายแก่ๆของวันพฤหัสบดี
พอฉันลืมตาขึ้นอีกทีก็มายืนอยู่ตรงที่หน้าต้นโพธิ์ใหญ่
ฉันจำได้ว่าเป็นต้นโพธิ์เดียวกันที่พ่อกับแม่
นำเส้นผมของฉันเมื่อตอนบวชพระใส่ห่อใบบัวแล้วนำมาฝังไว้ใต้ร่มโพธิ์
นี้ เมื่อฉันแหงนหน้าขึ้นไปมองบนต้นกลับไม่มีใบสีเขียวที่คุ้นตา
เท่าที่เห็นมันเป็นผลึกแก้วใสฝังตัวซ้อนกันอยู่เป็นช่อๆน้อยใหญ่กระทบกั
นส่งเสียงดังคล้ายระฆังเล็กๆ ไม่มีแสงแดดหรือแสงใดๆส่องลงมาได้
มีแต่หมอกหนาๆสลับกับลมเย็นๆมาต้องตัว
ทันใดนั้นผลึกแก้วดวงหนึ่งบนต้นก็หล่นลงมาบนใบหน้าฉัน
เมื่อกระทบกับผิวหน้ากลับกลายเป็นหยดน้ำรินไหลอาบแก้ม
ฉันคิดว่าคงเป็นน้ำตาจากใครคนหนึ่งเป็นแน่
ตอนนี้โลกใบเก่าของฉันเขาคงรู้กันแล้วว่าฉันได้จากโลกที่ฉันรักและเก
ลียดหนักหนามาแล้ว
อาจเป็นน้ำตาแทนความห่วงหาอาลัยจากครอบครัว
หรือใครคนนึงที่รักฉันก็ได้ฉันไม่อาจทราบได้
ความรู้สึกของฉันตอนนี้บอกไม่ถูกได้แต่ข่มอารมณ์ที่มันควรจะแสดงออ
กไว้ข้างในและทำท่าสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แต่จะสังเกตสิ่งต่างๆรอบกายให้ถนัดก็มองได้ไม่ไกลเกินเอื้อมแขนออกไ
ป มีเสียงดังคล้ายคนพูดกันแว่วๆคล้ายเสียงพระสวดฉันได้ยินไม่ชัด
แล้วฉันก็รีบกระโจนตัวออกมาจากใต้ต้นโพธิ์นั้นเนื่องจากผลึกแก้วด้าน
บนนั้นเริ่มโปรยลงมาเยอะขึ้นคล้ายหยาดฝน
"มีคนร้องให้ ให้เราหรือ" ฉันคิดในใจ
ไม่นานนักก็มีเสียงฝีเท้ามาจากทางด้านหลัง
ฉันหันไปพบกับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเธอสวมชุดสีขาวยาวจนเป็นกร
ะโปรงในตัว
ใบหน้าไม่ยิ้มแย้มเท่าไหร่ในมือของเธอถือร่มคันหนึ่งมันเป็นร่มที่ทำจาก
กระดาษสาลักษณะคล้ายๆร่มล้านนาพร้อมกับยื่นส่งมาให้กับฉัน
" นี่ของเธอรีบกางซะก่อนที่จะเปียกเสียก่อน "
เสียงของเธอดังทุ้มก้องหูแต่น่าแปลกที่ริมฝีปากของเธอไม่ขยับสักนิด
" ทำไมฉันจะต้องกางร่มนี้ด้วย " ฉันเอ่ยตอบด้วยความสงสัย
แต่ไม่สามารถที่จะขยับปากได้มากทำได้เพียงอ้าออกเบาๆ
คำพูดในใจก็ส่งถึงหญิงคนนั้น
" หากเธอโดนละอองน้ำตาอาลัยนี้มากเข้าละก็
ใจของเธอก็จะเศร้าภาพในอดีตก็จะเข้ามาแทนที่พลอยจะออกจากแนวต้
นไม้นี้ไม่ได้นะสิ " ไม่ทันที่หญิงคนนั้นจะพูดจบ
ฉันก็รีบกางร่มนั้นทันทีฉันรู้ว่าการยึดติดนั้นลำบากต่อฉันเพียงใด
ฉันไม่อยากจำและก็ไม่อยากจะติดอยู่ที่เดิมนี้ไปตลอดด้วย
" เอาหละ ตามฉันมานี่ " ไม่ทันที่จะพูดจบหญิงคนนั้นก็เดินนำหน้าฉันไป
จะเรียกว่าลอยไปมากกว่าเพราะเธอเดินไวมาก " ฉันต้องไปไหน
พิจารณากรรมหรือเปล่า “ " ฉันจะพาเธอไปหาแม่ซื้อ "
บนทางที่โรยด้วยก้อนกรวดสีขาวเป็นแนวยาว
หญิงผู้นั้นพาฉันอ้อมมาอีกด้านของต้นโพธิ์
ใต้ต้นนั้นมีห่อใบบัวอยู่หลายห่อทับถมกันจนดูน่ากลัว
มีตุ๊กตาปูนปั้นรูปนางรำคล้ายกับที่ฉันเคยเห็นบนศาลพระภูมิวางเรียงรา
ยไปทั่ว มีกองสร้อยไข่มุกหลายสิบเส้น
ฉันไม่เคยเห็นทางนี้มาก่อนแต่ก็เดินตามเธอมาแต่โดยดีระยะทางทอดยา
วไปไกลไม่เจอแม้ผู้คน
ตลอดทางมีเสียงพระสวดดังแว่วมาให้ได้ยินตลอดทาง

เมื่อไหร่จะถึง เดินมานานแล้วนะ 
ฉันรู้สึกว่าการเดินมาไกลแล้วนับประมาณห้ารอบของบทสวด

 แค่เธอคิดว่าถึงก็ถึง ทุกอย่างอยู่ที่ใจ

ทันใดนั้นเองเมื่อหมอกหนาด้านซ้ายมือของฉันก็จางลงหญิงผู้นั้นหายไ
ปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้
ปรากฎให้เห็นถึงเรือนไม้สี่เหลี่ยมรูปว่าวขนาดสูงใหญ่
ด้านบนมีจั่วหลังคา 3 จั่วเรียงซ้อนกันรูปแบบดูแปลกตาทำจากไม้กฤษณาส่งกลิ่นหอมอบอวล
คลุ้งไปทั่วบริเวณ มีบันไดเล็กๆเพียง 3 ขั้น
ยื่นออกมาเพื่อต้อนรับสู่ด้านใน
ด้านข้างมีอาคารเสาไม้เดียวดูสีขาวคล้ายๆศาลพระภูมิตั้งรายรอบอยู่ 9หลัง

ข้างในมีแสงเทียนวิบวับแต่ละเรือนมีอุบะดอกแก้วห้อยอยู่ดูสวยงามและ
ก่อนที่จะได้ก้าวเท้าขึ้นพาดบันได้ซี่เล็กนั้น
ฉันก็พบกับนายเฝ้าบันไดผมสีขาวแต่ไม่แก่
ผิวกายสีนวลผ่องนุ่งกางเกงผ้าแพรสีทองแต่นุ่งผ้าแถบคล้ายผู้หญิง
ทำหน้าที่ต้อนรับผู้มาถึงที่ด้านหน้า " ยื่นมือมาตรงนี้ก่อนจ๊ะ "
นายบันไดกล่าวพลางหยิบดอกเก็ดถะหวาสีขาวนวลจากในตุ่มน้ำข้างกา
ยมาวางบนผ่ามือของฉัน พร้อมกับบริกรรมคาถาอะไรสักอย่าง
ดอกไม้ในมือของฉันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสีผึ้งใสรูปทรงยังคงเป็นดอกไม้
และมีประกายไฟขึ้นที่กลางดอกเหมือนประทีปเทียน

ถือไว้แล้วขึ้นไปพบคุณท่านได้ รีบหน่อย ท่านรออยู่ 

ฉันกุมดอกไม้เทียนนั้นก้าวขึ้นบันไดไปจนสุด
เรือนแห่งนี้ไม่มีประตูเท่าที่เห็นจะเป็นเพียงผ้าทอสองผืนลวดลายวิจิตรแ
ขวนติดกันเท่านั้น
ฉันมองดูผ้าแขวนนั้นด้วยความสนใจพร้อมกันนั้นก็ได้แต่เก็บความสงสั
ยไว้ว่านี่เรือนใครกัน เห็นหญิงผู้นั้นบอกแต่เพียงแม่จะพาไปหาแม่
แม่ของฉันยังอยู่ทางโน้นมิใช่หรือ
หรือว่าเป็นแม่ของผู้หญิงคนนั้นแล้วจะพาฉันมาที่นี่ทำไมกัน
ในระหว่างที่ฉันกำลังครุ่นคิดอยู่สายตาของฉันก็พลันมองผ่านเลยเข้าไป
หลังผ้าทอที่กำลังปลิวไปตามแรงลมนั้น
ฉันถึงกับสะดุ้งเพราะแม่ที่ฉันจะได้พบนั้นเป็นแม่ที่ฉันเคยเห็นแต่ในตำรา
เรียน

; เข้ามาหาแม่นี่ มา! 

เสียงนั้นก้องอยู่ในหูของฉันปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์
ฉันรู้สึกตัวว่ากำลังนั่งพนมมืออยู่หน้าหญิงสูงวัยท่านหนึ่งหัวเป็นกวาง
มีเขางามเป็นแก้วใสดุจเพชรระยิบระยับ มีผิวกายเป็นสีเหลืองอ่อน
รูปร่างสันทัด ที่หูทัดมาลัยที่ร้อยจากน้ำค้างเป็นอุบะดอกไม้สวยงาม
นุ่งห่มกายด้วยผ้าแถบสีทองมีผ้าแพรคลุมไหล่และนุ่งโจงกระเบนสีไข่มุก
ดูสวยงามน่าเกรงขาม
ไม่มีเครื่องประดับใดๆให้รกรุงรังไม่เคี้ยวหมากพลูตางามขนตางอน
ใบหน้าแย้มยิ้มตลอดเวลานั่งอยู่บนขื่อที่ปูด้วยฟูกหมอนสีเขียว
ฉันก้มลงกราบพร้อมกับนำประทีปเที่ยนนั้นยื่นไปให้ท่าน "
เราไม่ได้เจอกันมานานหลายปี แม่เจอเจ้าครั้งก่อนก็ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว
เสียดายที่เราเจอกันเร็วไป แต่ก็ไม่เป็นไร จะช้าเร็วเราก็ได้พบกันอยู่ดี" "
แม่ กาโลทุกข์ หรือครับ

;
ฉันเอ่ยปากพูดออกไปไม่ทันได้ตั้งตัวแต่ปากยังคงไม่ขยับเช่นเดิม

; ผู้มีคุณธรรมอันดีเลิศ เป็นไงบ้างชื่อของเจ้าแม่ตั้งให้เองนา ชอบไหม?

;เป็นชื่อที่เพราะที่สุดเลยครับ ผมชอบชื่อนี้ แม้ว่าจะสะกดยากไปสักหน่อย
แต่ก็ไม่ซ้ำใครครับ

เมื่อก่อนเจ้าซนนักตกบันไดเป็นว่าเล่น หัวแตกบ้างหล่ะ แม่ต้องให้
กาโลรี เขาคอยดูอยู่ห่างๆแต่กระนั้นก็ยังได้แผลจนได้ ซนจริงๆ
;
แม่ซื้อของฉันเหลือบมองไปที่กาโลรี หญิงสาวที่พาฉันมาเมื่อครู่
ซึ่งบัดนี้เธอนั่งอยู่ข้างๆแม่ซื้อ
ฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่าจมูกของเธอเหมือนกวาง
" นอกจากซนแล้วยังปากมากด้วยแม่นา
พูดจาไม่หยุดทะเลาะกับเพื่อนก็เท่านั้น
ชอบเถียงพ่อเถียงแม่ไม่รู้จะห้ามอย่างไร 

; กาโลรีรีบกล่าวแก่แม่ซื้อ

;ยังโชคดีนักตอนมาไม่ได้ไปโผล่ที่ต้นมะรุมหรือต้นงิ้ว
ไม่งั้นเราคงจะไม่ได้เจอกันเขาคงพาเจ้าไปอีกที่
ถ้าเป็นแบบนั้นก็ข้าคงเสียใจยิ่งนัก

;แม่ซื้อมองที่ฉันพลางยิ้มที่มุมปากและพูดต่อไปว่า

;สติปัญญาที่มีก็ใช่ว่าจะอ่อนด้อยไปกว่าใครเขาขัดใจที่ไม่ขวนขวายมัน
ก็เลยได้เท่านี้ มัวแต่หลงระเริงไปกับกิเลสความหลง
เอาเถอะมาอยู่กับแม่แล้วเดี่ยวแม่จะดูแลกันต่อให้ดีก่อนไปเกิดใหม่เจ้าเห็
นว่าอย่างไรผู้มีคุณธรรมอันดีเลิศ 

;ขอผมได้อยู่ตรงนี้สักกาลหนึ่งได้รับใช้แม่บ้างเพื่อแทนคุณก็จักเป็นพระคุ
ณครับ

; ฉันกล่าวพลางกราบลงไปเบื้องหน้าแม่ซื้อ

;ช่างประจบยิ่งนักถึงว่านายโลกก่อนของเจ้าชอบหนักหนา
ไม่ต้องยกยอข้าดอกนาขี้คร้านจะฟังพวกสอพลอ

;
แม่ซื้อกล่าววาจาขบขันพลางกวักมือไปที่กาโลรี

;แม่กาโลรีจงนำสำรับลำไยเชื่อม มะม่วงกวน
ข้าวโพดต้มและมันเทศบดมาให้เจ้าคนสอพลอนี่กินที

;
การรับประทานอาหารมื้อแรกของโลกใหม่ใบนี้แปลกพิกลยิ่งนัก
ไม่มีช้อนส้อมจานชามหรือภาชนะใส่อาหารใดๆแต่กลับเป็นกระทง
ใบตองกลัดด้วยซีกไม้เล็กๆ บางกระทงมัดด้วยเชือกกล้วย
เมื่อธัญญาหารบนสำรับตั้งตรงหน้าแล้วสิ่งที่ฉันต้องทำคือนำดอกประทีป
ที่เหมือนกับที่นายบันไดส่งให้นั้นตั้งไว้ตรงกลางสำรับแล้วยกกระทงใบต
องแต่ละอันขึ้นอังเปลวไฟในประทีปนั้น
สักพักหนึ่งพวกลำไยเชื่อมมะม่วงกวน
ข้าวโพดต้มและมันเทศบดที่อยู่ในกระทงก็ค่อยๆ
กลายเป็นควันลอยขึ้นมาที่หน้าฉัน
กาโลรีบอกฉันว่าให้สูดดมเข้าไปแทนคล้ายๆกับการสูดดมกลิ่นนั่นแล
แต่ต้องระลึกรู้ลมหายใจอยู่ตลอดเวลามิเช่นนั้นจะสำลักได้
ฉันสูดดมไม่นานก็หยุดเพราะไม่ได้รู้สึกหิวเท่าไหร่
ที่จริงแล้วการรับประทานอาหารแบบสูดดมกลิ้นในครั้งนี้คือครั้งแรกและ
ครั้งเดียวที่ฉันได้สัมผัสตามธรรมเนียมนิยมเพราะหลังจากที่อิ่มในกลิ่นเ
หล่านั้นไม่นานนัก
แม่ซื้อซึ่งตอนนี้ได้นั่งอยู่ที่ด้านหน้าฉันมาตลอดก็กล่าวขึ้นมาว่า

; คนที่นี่เขาไม่รู้สึกหิวกันหรอกเพราะเราอิ่มทิพย์อิ่มบุญกันอยู่เป็นนิจ
เอนา...จะว่าไปอันที่จริงแล้วเราไม่ได้ต้องการอาหารอะไรนักดอก
ชีวิตทุกดวงจิตที่นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาหารเลี้ยงกาย
แต่เราอยู่ได้เพราะอิ่มเอมในธรรมมากกว่า

; อะไรคืออิ่มธรรมครับ
การไปวัดสวดมนต์ทำบุญทำทานแบบนี้จะทำให้เราอิ่มไม่อยากกินอะไร
หรือครับ " ฉันถามอย่างสงสัย

;
หน้าที่เหล่านั้นทำได้เฉพาะทางโลกโน้นที่เจ้าจากมาที่นี่ไม่มีให้ทำหรอก
นา เคยได้ยินไหมทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ที่นี่คือผลของการกระทำ "
แม่ซื้อมองไปที่ผ้าทอสองผืนข้างหลังของฉันลวดลายของผ้าผืนนั้นหากเ
พ่งดูให้ดีเหมือนสมุดบันทึกอะไรสักอย่าง
มีภาพและตัวหนังสือจารึกไว้บนนั้น แล้วท่านก็พูดกับฉันต่อไปว่า
" ทำธรรมมามากเหมือนกันนี่นาเจ้าผู้มีคุณธรรมอันดีเลิศ
ส่วนใหญ่จะมีแต่ขนมขบเคี้ยวนะไม่กลัวติดคอบ้างหรือไง "
ว่าแล้วพลางก็ก้มลงมองหน้าฉัน " เอาหละๆ
อยู่ต่อไปเจ้าก็จะรู้เรื่องไปเอง

;แม่ซื้อพูดพลางหันไปหยิบตลับมุกใบหนึ่งที่อยู่บนพานไม้
มีลวดลายถมยาที่ฝาครอบดูขลังและสวยวิจิตรในทีแล้วยื่นมาให้ฉัน
หน้าของแม่ซื้อเริ่มจริงจังดุดันมากขึ้น

; รับนี่ไว้
แม่ไม่สบายใจเท่าไหร่ที่เจอตลับนี้ที่ดอกประทีปของเจ้าแม้ว่ามันจะมีไม่ม
ากแต่มันก็มีมา เอ้า..เปิดดูสิ

;
เมื่อรับตลับมุกนั้นมาฉันจึงหมุนเปิดฝาออก
ข้างในมีน้ำสีดำคล้ายหมึกเขียนอยู่เล็กน้อยไม่ถึงครึ่ง
น้ำนั้นมีกลิ่นที่ฉุนฉันถึงกับเบือนหน้าหนี
มันเป็นกลิ่นที่ถึงกับเหม็นมากนักแต่ก็ไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่
ฉันรีบปิดฝาตลับนั้นโดยไวเพราะไม่อยากได้กลิ่นนั้นอีก
; น้ำตาแห่งความโศกศัลย์ของแม่บังเกิดเกล้า 

; แม่ซื้อพูดขึ้นทันที
ฉันได้แต่นิ่งอึ้งเหมือนคนที่มีความผิดมาแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้ด้วยความ
จำนนต่อหลักฐาน

; ผมขอโทษ ผมยังเล็กนัก ผมไม่ประสา ขอจงอภัย
;
เป็นประโยคพูดที่ฟังดูเป็นคำแก้ตัวเสียมากกว่าของฉันตอนนี้ความรู้สึกผิ
ดข้างในที่ถูกเก็บไว้มาตลอดมันเริ่มประทุออกมาผสมกับความโศกที่ยังค
งคั่งค้างในใจ ฉันไม่สามารถที่จะพูดต่อไปได้
ได้แต่ก้มหน้าแต่ไม่ร้องไห้เพราะฉันไม่อยากให้มีน้ำตาอีกแล้ว
ฉันคิดว่าข้อดีอย่างเดียวของการเสียน้ำตา
คือทำให้ดวงตาชุ่มชื้นขึ้นและมองไปข้างหน้าได้อย่างชัดเจนกว่าเดิมเท่
านั้น ไม่มีดีไปกว่าอื่น

; โศกแล้วก็แล้วไป บาปในใจยังแก้ไม่หาย แต่ทำให้มันดีขึ้นได้
เจ้าจะลองดูไหม

; แม่ซื้อกล่าวเตือนสติฉันอีกครั้ง
ฉันระลึกได้ด้วยตนเองว่านี่คงจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ส่งให้ฉันมาที่นี่โดย
เร็วกว่าที่มันควรจะเป็น แม้มันจะไม่เจ็บปวดกาย
แต่หัวใจมันชาไปกับความผิดในอดีตครั้งเก่าที่เกิดขึ้น

ผมต้องทำอย่างไรครับโปรดแจ้ง
เพื่อลดความผิดในใจนั้นลงได้บ้างก็ยังดี

; ฉันกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นระรัว

; จงเปลี่ยนน้ำในตลับนั้นให้เป็นน้ำหอมพระคุณ 

“ หอมพระคุณปรุงจริตด้วยรู้ค่า
การเกิดมาเป็นกิจพิศมัย
วัฎจักรสังขาลาสายเครือใย เหตุไฉนจึงขุ่นเคืองเรื่องมรรคา
เจ้าหลงผิดคิดว่าถูกขอต่อว่า เจรจาหาเหตุดับอย่ามุสา
ปล่อยดวงจิตรขาวเป็นหม่นจนจากมา
มิเข้าท่าอยู่เป็นคนเพียงลมหายใจ
ธรรมก็รู้รู้แสร้งทำยังกลับกลอก
ปล่อยเรื่องนอกความคิดแทงพุ่งใส่
แม้นดีร้ายสุขหรือทุกข์ปนกันไป
กลับผลักไสอัปมงคลโยนหาตัว
หอมพระคุณตลับนี้จะช่วยเจ้า
ให้บรรเทาจากกิเลสอันหนักหัว
หมึกสีดำคือความขุ่นข้องหมองมัว
คือบาปชั่วที่เคยทำจงทำใจ ”

“ กลืนมัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่