อุทาหรณ์ ของผู้ชายที่กลัวความผิดจนไม่กล้าพูดเรื่องจริง
เหตุเกิดที่หน้าโลตัสลาดพร้าว เส้นพหลฯ เราขับรถออกมาจากโลตัส แล้วก็ชิดเลนส์ซ้ายตามปกติ ตรงนั้นใครๆก็รู้รถเมล์และรถแท็กซี่ชอบจอดขวาง เราก็เลยเปิดไฟขอทางเพื่อเปลี่ยนไปเลนส์ทางขวา (ถนนพหลฯปิดช่องทางตรงกลางเพื่อสร้างรถไฟฟ้า ทำให้ถนนเหลือแค่ 2 เลนส์)
รถ vios ที่อยู่เลนส์ขวาขับตามมาห่างๆทำให้เราแทรกเข้าเลนส์ขวามาได้จนเต็มลำ แต่รถ vios เปิดไฟสูงไล่หลายทีมากๆ จนเราเข้ามาอยู่เลนส์ขวามเต็มลำก็ยังเปิดไฟสูงไล่ไม่หยุด
ตอนนั้นเองรถข้างหน้าเราเบรคกระทันหัน เราก็เบรคตาม แต่ vios คันหลังมัวแต่กระพริบไฟ เบรคไม่ทันชนท้ายเราเต็มๆ
เราจึงเปิดรถลงไปดู ที่กันชนท้ายมีรอย และดุ้ง ผู้ชายที่ขับ vios ก็ลงจากรถมา ห้อยป้ายนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ ถามเราว่าชนรึเปล่า เราตอบว่าชนสิคะ และถามต่อว่าคุณมีประกันมั้ย เค้าบอกว่ามี เราก็ขึ้นรถเอาเบอร์ประกันและแจ้งเหตุ ระหว่างที่เราแจ้งเหตุคุณนักข่าวก็พยายามมาพูดแทรกว่า ชนไม่เยอะต้องเรียกประกันมั้ย ผมรีบ!!
เราบอกคงไม่ได้หรอกค่ะ เรียกประกันเถอะ ด้วยความที่ตอนนั้นเวลาประมาณ 15:30 กลัวว่ารถเราจะกีดขวางการจราจร เลยถ่ายรูปไว้และตกลงกันว่าจะไปจอดที่ปั๊ม susco ใกล้ตึก PPTV เพื่อรอประกัน
เราก็โอเค ถ่ายรูปไว้แล้วขยับรถ ระหว่างที่จอดรอประกัน เราก็คุยกับเค้าปกติ เพราะมั่นใจว่าตัวเองถูกแน่นอน คู่กรณีก็น่าจะยอมรับผิดและรับใบเคลมต่างคนต่างกลับบ้าน
ประกันของเรา (ธนชาต) มาก่อน เขียนใบ ถ่ายรูปอะไรกันไป รอจนประกันของคุณนักข่าวมา คุยไปคุยมา ประกันคู่กรณีมาถามเราว่า ต่างคนต่างซ่อมโอเคมั้ย เราตอบทันที ไม่โอเคค่ะ เราไม่ได้ผิด ดูรูปที่ถ่ายมามั้ยคะ
สรุปพี่นักข่าวผู้ชายไม่ยอมรับผิด ไปโรงพักกันค่ะ (ได้เลยไม่ผิดอยู่แล้ว) พอไปถึงโรงพักคุณนักข่าว และเพื่อนเค้าที่นั่งมาในรถด้วยตอนที่ชน ก็นั่งคุยกับคุณตำรวจอยู่ก่อนแล้ว เราก็ให้การตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เพื่อนเค้าบอกกับผู้กองว่า ผมเห็นกะตาว่าเค้าปาดหน้ามา เบรคไม่ทันเลย เราบอกว่าเราเปิดไฟขอทางมาประมาณ 100 เมตรนะคะ (ปกติเป็นคนเปิดไฟขอทางเปลี่ยนเลนส์ตลอด ขับรถตามกฏอย่างเคร่งครัด คาด belt ทุกครั้ง) แล้วรถไม่ได้โล่ง ขับมาไม่เกิน 40 กม./ชั่วโมง จะเรียกปาดหน้าได้ไง
เราเลยบอกว่าก็คุณมัวแต่กระพริบไฟจนเบรคไม่ทันไงคะ เราเข้ามาในเลนส์ทั้งคัน และขับไปซักพักแล้ว ถึงจะเบรค แต่คุณเบรคไม่ทันเอง คุณตำรวจก็พูดประมาณว่าทางคุณนักข่าวเสียเปรียบนะ เพราะชนท้าย
ระหว่างนั้นเพื่อนของคู่กรณีก็คุยกับผู้กองว่า เนี่ยผมมาทำข่าวตึก scb อยู่ที่โรงพักมา 2-3 วันละ (ไม่รู้พูดเพื่อจุดประสงค์อะไร?)
หลังจากนั้นเพื่อนของคู่กรณีก็บอกผู้กองว่า เป็นประมาทร่วมได้มั้ยครับ ถ้าไม่งั้นเพื่อนผมจะเสียประวัติ เราเลยพูดออกไปว่า "กลัวจะเสียประวัติ แต่ไม่พูดเรื่องจริงมันก็ไม่ถูกต้องนะคะ"
สรุปผู้กองก็ลงความเห็นว่า vios ผิด ประมาทที่ให้ทางเราเข้ามาในเลนส์เต็มลำแล้ว แต่เบรคไม่ทันเอง
เสร็จแล้วประกันฝั่งคู่กรณีก็มาเอาตัว "ผู้ชาย" 2 คนนั้นออกไปเซ็นต์เอกสาร และไม่กลับมาให้เห็นหน้าอีกเลย ขับรถออกไปอย่างเร็ว
แมนมากๆค่ะพี่นักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ จริงๆทางประกันของเราแจ้งเราก่อนหน้านี้แล้วว่าถ้าคู่กรณีเป็นฝ่ายจริงทางตำรวจมีสิทธิ์ปรับเค้าได้ และทางเราสามารถเรียกค่าเสียเวลาได้ค่ะ แต่ก็นะ พี่เค้าหายตัวไปเร็วจริงๆ 555
ก็ฝากเอาไว้ให้เพื่อนๆระวังตัวกันไว้นะคะ คนสมัยนี้มีมาทุกรูปแบบ จริงๆเราเป็นคนไม่ชอบมีเรื่องเป็นที่สุด แต่จะปล่อยให้คนอื่นมาเอาเปรียบเราก็ทนไม่ได้เหมือนกัน
แชร์ประสบการณ์ โดนนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ท่านนึงขับรถมาชนท้าย แต่พยายามโกหกเพราะกลัวจะเสียประวัติ
เหตุเกิดที่หน้าโลตัสลาดพร้าว เส้นพหลฯ เราขับรถออกมาจากโลตัส แล้วก็ชิดเลนส์ซ้ายตามปกติ ตรงนั้นใครๆก็รู้รถเมล์และรถแท็กซี่ชอบจอดขวาง เราก็เลยเปิดไฟขอทางเพื่อเปลี่ยนไปเลนส์ทางขวา (ถนนพหลฯปิดช่องทางตรงกลางเพื่อสร้างรถไฟฟ้า ทำให้ถนนเหลือแค่ 2 เลนส์)
รถ vios ที่อยู่เลนส์ขวาขับตามมาห่างๆทำให้เราแทรกเข้าเลนส์ขวามาได้จนเต็มลำ แต่รถ vios เปิดไฟสูงไล่หลายทีมากๆ จนเราเข้ามาอยู่เลนส์ขวามเต็มลำก็ยังเปิดไฟสูงไล่ไม่หยุด
ตอนนั้นเองรถข้างหน้าเราเบรคกระทันหัน เราก็เบรคตาม แต่ vios คันหลังมัวแต่กระพริบไฟ เบรคไม่ทันชนท้ายเราเต็มๆ
เราจึงเปิดรถลงไปดู ที่กันชนท้ายมีรอย และดุ้ง ผู้ชายที่ขับ vios ก็ลงจากรถมา ห้อยป้ายนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ ถามเราว่าชนรึเปล่า เราตอบว่าชนสิคะ และถามต่อว่าคุณมีประกันมั้ย เค้าบอกว่ามี เราก็ขึ้นรถเอาเบอร์ประกันและแจ้งเหตุ ระหว่างที่เราแจ้งเหตุคุณนักข่าวก็พยายามมาพูดแทรกว่า ชนไม่เยอะต้องเรียกประกันมั้ย ผมรีบ!!
เราบอกคงไม่ได้หรอกค่ะ เรียกประกันเถอะ ด้วยความที่ตอนนั้นเวลาประมาณ 15:30 กลัวว่ารถเราจะกีดขวางการจราจร เลยถ่ายรูปไว้และตกลงกันว่าจะไปจอดที่ปั๊ม susco ใกล้ตึก PPTV เพื่อรอประกัน
เราก็โอเค ถ่ายรูปไว้แล้วขยับรถ ระหว่างที่จอดรอประกัน เราก็คุยกับเค้าปกติ เพราะมั่นใจว่าตัวเองถูกแน่นอน คู่กรณีก็น่าจะยอมรับผิดและรับใบเคลมต่างคนต่างกลับบ้าน
ประกันของเรา (ธนชาต) มาก่อน เขียนใบ ถ่ายรูปอะไรกันไป รอจนประกันของคุณนักข่าวมา คุยไปคุยมา ประกันคู่กรณีมาถามเราว่า ต่างคนต่างซ่อมโอเคมั้ย เราตอบทันที ไม่โอเคค่ะ เราไม่ได้ผิด ดูรูปที่ถ่ายมามั้ยคะ
สรุปพี่นักข่าวผู้ชายไม่ยอมรับผิด ไปโรงพักกันค่ะ (ได้เลยไม่ผิดอยู่แล้ว) พอไปถึงโรงพักคุณนักข่าว และเพื่อนเค้าที่นั่งมาในรถด้วยตอนที่ชน ก็นั่งคุยกับคุณตำรวจอยู่ก่อนแล้ว เราก็ให้การตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เพื่อนเค้าบอกกับผู้กองว่า ผมเห็นกะตาว่าเค้าปาดหน้ามา เบรคไม่ทันเลย เราบอกว่าเราเปิดไฟขอทางมาประมาณ 100 เมตรนะคะ (ปกติเป็นคนเปิดไฟขอทางเปลี่ยนเลนส์ตลอด ขับรถตามกฏอย่างเคร่งครัด คาด belt ทุกครั้ง) แล้วรถไม่ได้โล่ง ขับมาไม่เกิน 40 กม./ชั่วโมง จะเรียกปาดหน้าได้ไง
เราเลยบอกว่าก็คุณมัวแต่กระพริบไฟจนเบรคไม่ทันไงคะ เราเข้ามาในเลนส์ทั้งคัน และขับไปซักพักแล้ว ถึงจะเบรค แต่คุณเบรคไม่ทันเอง คุณตำรวจก็พูดประมาณว่าทางคุณนักข่าวเสียเปรียบนะ เพราะชนท้าย
ระหว่างนั้นเพื่อนของคู่กรณีก็คุยกับผู้กองว่า เนี่ยผมมาทำข่าวตึก scb อยู่ที่โรงพักมา 2-3 วันละ (ไม่รู้พูดเพื่อจุดประสงค์อะไร?)
หลังจากนั้นเพื่อนของคู่กรณีก็บอกผู้กองว่า เป็นประมาทร่วมได้มั้ยครับ ถ้าไม่งั้นเพื่อนผมจะเสียประวัติ เราเลยพูดออกไปว่า "กลัวจะเสียประวัติ แต่ไม่พูดเรื่องจริงมันก็ไม่ถูกต้องนะคะ"
สรุปผู้กองก็ลงความเห็นว่า vios ผิด ประมาทที่ให้ทางเราเข้ามาในเลนส์เต็มลำแล้ว แต่เบรคไม่ทันเอง
เสร็จแล้วประกันฝั่งคู่กรณีก็มาเอาตัว "ผู้ชาย" 2 คนนั้นออกไปเซ็นต์เอกสาร และไม่กลับมาให้เห็นหน้าอีกเลย ขับรถออกไปอย่างเร็ว
แมนมากๆค่ะพี่นักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ จริงๆทางประกันของเราแจ้งเราก่อนหน้านี้แล้วว่าถ้าคู่กรณีเป็นฝ่ายจริงทางตำรวจมีสิทธิ์ปรับเค้าได้ และทางเราสามารถเรียกค่าเสียเวลาได้ค่ะ แต่ก็นะ พี่เค้าหายตัวไปเร็วจริงๆ 555
ก็ฝากเอาไว้ให้เพื่อนๆระวังตัวกันไว้นะคะ คนสมัยนี้มีมาทุกรูปแบบ จริงๆเราเป็นคนไม่ชอบมีเรื่องเป็นที่สุด แต่จะปล่อยให้คนอื่นมาเอาเปรียบเราก็ทนไม่ได้เหมือนกัน