ถึงตอนนี้ นี่คือหนังที่ผม "ชอบมากที่สุดในชีวิต"
เราอยากเขียนถึงหนังเรื่องนี้มาตลอด เราเคยดู Her ในโรงภาพยนตร์ไป 2 รอบ และเราอินกับมันทุกรอบที่เราดู ครั้งนี้เป็นรอบที่ 3 ที่เราดู และในครั้งนี้ ความรู้สึกที่เรามีต่อหนังเรื่องนี้ ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด เราเห็นอีกหลายรายละเอียดที่เราไม่เห็นในสองรอบแรกที่ดู และเรายังบอกเหมือนเดิมว่า "นี่คือหนังที่เราชอบมากที่สุดในชีวิต"
นี่คือผลงานกำกับของ Spike Jonze ผู้กำกับสุดเพี้ยน ที่เราประทับใจสุดๆจากผลงานของเค้าทั้ง Being John Malkovich และ Adaptation (เรายังไม่ได้ดู Where the Wild Things Are แต่มีแผ่นนอนรออยู่ที่บ้านแล้ว) นี่คือผู้กำกับคนแรกๆ ที่เปิดโลกภาพยนตร์ให้กับเรา และ Being John Malkovich คือหนังเรื่องนั้น เรารู้จัก John Malkovich จาก Con Air เราชอบดูหนังแบบนั้นในตอนนั้น เราไม่รู้จักหนังแบบอื่นเลยตอนนั้น แต่พอเรามีโอกาสได้ดู Being John Malkovich โลกแห่งการดูหนังของเราก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงทันที
สิ่งหนึ่งที่กังวลก่อนจะได้ดูหนังเรื่อง Her คือเรื่องนี้ เค้าไม่มีมือเขียนบทคู่บุญอย่าง Charlie Koufman มาเขียนบทให้แล้ว และนี่ก็คือบทพิสูจน์ครั้งสำคัญอีกบทหนึ่งของ Spike Jonze เพราะผมเองถึงขนาดตั้งคำถามว่า ที่หนังของ Spike Jonze ทำออกมาได้ดีขนาดนี้ เป็นเพราะ Charlie เป็นเหตุผลหลักเลยหรือเปล่า แต่พอดูจบ เราก็ทำลายข้อสงสัยนี้ไปอย่างสิ้นเชิง ฝีมือของ Spike Jonze คือของจริง
ภาพยนตร์ที่เราชื่นชม คือภาพยนตร์ที่สื่อสารอะไรสักอย่าง อย่างจริงใจและมั่นคง ซึ่งเรารู้สึกถึงสิ่งนี้ในหนังเรื่อง Her เรารู้สึกว่าภาพยนตร์ซักเรื่องที่ทำออกมาต้องมีสิ่งที่ตั้งใจสื่อสารอย่างหนักแน่น ซึ่งสิ่งที่สื่อสารนั้น ไม่สำคัญว่าจะเป็นการสื่อสารถึงกลุ่มคนส่วนใหญ่ เฉพาะกลุ่ม หรือ แม้กระทั่งทำภาพยนตร์เพื่อสื่อสารถึงคนเพียงคนเดียวก็ตาม สิ่งที่เราชื่นชม คือ การทำหนังที่สื่อสารเรื่องส่วนตัวมากๆ ซึ่งอาจจะส่งไปไม่ถึงคนส่วนมาก แต่กระนั้นเอง การสื่อสารที่ส่วนตัวมากๆ แต่ทำด้วยความจริงใจในการสื่อสาร มันก็อาจทำให้ใครหลายๆคนอินมากๆได้เช่นกัน เพราะเค้ารับรู้ได้ถึงความจริงใจนั้น
งานด้านภาพของหนังเรื่องนี้ ผมชอบมากๆ ทั้งมุมกล้อง ทั้งแสงสี ทำได้ดีมากๆทั้งฉากกลางวันและกลางคืน ทั้งฉาก outdoor และ indoor รวมไปถึงเลือกโลเคชั่นได้ดีมากๆ ทุกอย่างลงตัวสุดๆ การถ่ายย้อนแสงในหลายๆฉาก ทำได้ดีมากๆ ภาพสวยสุดๆเรื่องนี้
เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยอดเยี่ยมมากๆ ซึ่งเป็นผลงานของวง Arcade Fire วงอินดี้ร็อคจาก Canada เราชอบเพลงบรรเลง Song on the Beach, Photograph และ Dimensions มากๆ โดยเฉพาะเพลง Photograph ที่ Samantha แต่งขึ้นมา เพื่อแทนภาพถ่ายระหว่างเค้ากับ Theodore มันเป็นเพลงบรรเลงเปียโนที่เจ๋งสุดๆ
การแสดงของ Joaquin Phoenix คือสิ่งที่น่ายกย่องสุดๆ เค้าถ่ายทอดตัวละคร Theodore Twombly ได้สมบูรณ์แบบสุดๆ คาแรคเตอร์นี้แสดงออกได้ยากมากๆ เล่นผ่านทางสีหน้า แววตา ท่าทางเป็นหลัก แต่เค้าสื่อสารได้ครบถ้วน สมบูรณ์แบบสุดๆ ผมนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าตัวละครนี้ไม่ใช่ Joaquin แสดง จะเป็นใครได้อีก เค้าเล่นได้เหงาสุดๆ ทุกซีนที่เล่นกับเสียงของ Samantha เค้าทำได้ไร้ที่ติ เพราะมันเล่นได้ยากมากๆ เพราะไม่ได้เข้าซีนกันคนจริงๆ และทุกซีนที่เล่นกับ Rooney Mara คือที่สุดของหนังเรื่องนี้ เค้าทั้งสองรับส่งกันได้สุดยอดมากๆ แม้จะมีซีนที่เล่นด้วยกันไม่กี่ซีนก็ตาม รวมไปถึงการแสดงของ Scarlett Johansson ที่ทำได้ดีมากๆ แม้จะมาแค่เสียง แต่เรารู้สึกได้ถึงตัวตนของ Samantha การเล่นแค่เสียง แต่ต้องสื่อสารอารมณ์ ผมว่ามันยากมากๆ แต่ Scarlett ก็ส่งมาได้ดีมากๆในทุกซีน
Theodore Twombly ชายผู้มีอาชีพเขียนจดหมายแทนคนอื่นๆ เค้าเป็นคนที่มีบุคลิกเก็บตัว หรือที่เรียกว่า Introvert ไม่ชอบการเข้าสังคม ชอบใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง มีเพื่อนน้อย ใช้ชีวิตอย่างหดหู่และเหงาอ้างว้าง หลังการแยกทางกับภรรยาของเค้า เค้าชอบสังเกตพฤติกรรมของคนอื่นๆ และ Theodore เป็นคนละเอียดอ่อนมากๆ ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของคนอื่นเสมอ ขนาดรูปถ่ายของลูกค้าที่เค้าเขียนจดหมายให้ มีฟันเหยเก เค้ายังช่างสังเกตและนำไปเขียนในจดหมายได้ เหมือนที่เพื่อนร่วมงานเค้าแซวว่า Theodore มีบุคลิกเหมือนครึ่งหญิงครึ่งชาย เค้าเป็นคนที่มีความละเอียดอ่อนมากๆ
แม้ Theodore จะแยกทางกับ Catherine ภรรยาของเค้ามาซักพักใหญ่ๆแล้ว แต่เค้ายังไม่สามารถลืม Catherine ได้เลย เค้าไม่สามารถจะเริ่มชีวิตใหม่กับใครได้อีก การได้มาเจอระบบปฏิบัติการ OS1 อย่าง Samantha ที่เหมือนจะเป็นคนที่พูดคุยกันได้ถูกคอ เหมือนจะเป็นคนที่เข้าใจ Theodore นั้น ผมคิดว่า มันคือการพยายามหนีของ Theodore เค้าไม่สามารถอยู่กับโลกความจริงได้ ไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับมนุษย์จริงๆได้ เลยพยายามหนีไปมีความสัมพันธ์ในโลกเสมือน
การใช้ชีวิตประจำวันของ Theodore แทบจะยังมี Catherine อยู่ทุกที่ ทุกภาพความทรงจำระหว่างเค้ากับ Catherine ยังเด่นชัดในใจเสมอ แต่เค้ากลับกำลังที่จะต้องทำการเซ็นหย่ากับ Catherine ซึ่ง Theodore ไม่สามารถทำใจรับกับสิ่งนี้ได้ เค้ายังไม่พร้อม เค้ายังคิดถึง Catharine อยู่เสมอ แม้รู้ว่าเรื่องของเค้าทั้งสอง จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้วก็ตาม แต่เค้ายังทำใจไม่ได้จริงๆ
Samantha ที่เห็น Theodore ดูเหมือนไม่สบายใจ จึงถามว่าเป็นอะไร
เค้าตอบว่า "ผมฝันถึงเมียเก่าบ่อยๆ ว่าเราเป็นเพื่อนเหมือนก่อน เราไม่ได้คบหรืออยู่ด้วยกัน แต่ดีต่อกันและเธอไม่โกรธ"
"เค้าโกรธคุณเหรอ ทำไมล่ะ" Samantha ถาม
"ใช่ คงเพราะผมไม่เปิดอกคุยกับเธอ ปล่อยเธอเคว้งอยู่ข้างเดียว" Theodore ตอบ
"ทำไมไม่เซ็นหย่า" Samantha ถาม
"ผมไม่รู้ สำหรับเธอ มันแค่เรื่องเอกสารไร้ความหมาย" Theodore ตอบ
"แล้วสำหรับคุณล่ะ" Samantha ถามต่อ
"ผมไม่พร้อม ผมชอบชีวิตคู่"
"แต่คุณแยกกันอยู่มาเกือบปี" Samantha พูด
"คุณไม่รู้ เสียคนที่แคร์มันเป็นยังไง" Theodore ตอบและนิ่งเงียบไปสักครู่ แล้วก็พูดขึ้นมาว่า "คุณพูดถูก ผมรอวันที่จะเลิกแคร์เธอ"
มันชัดเจนมาก ว่า Theodore ยังแคร์ Catherine อยู่มากๆ
และกับคำถามของ Samantha ที่ว่า "ชีวิตแต่งงานเป็นยังไงบ้าง"
เค้าตอบว่า "ก็ยากแหละ..แต่รู้สึกดีที่ได้ร่วมชีวิตกับใครซักคน"
"ร่วมชีวิตยังไง" Samantha ถามต่อ
"เราเติบโตด้วยกัน ผมอ่านงานเธอ ทั้งป.โท ป.เอก เธออ่านทุกอย่างที่ผมเขียน เราผลักดันกันและกัน ครอบครัวเธอคาดหวังสูงลิ่ว เธอเลยกดดันหนัก แต่ระหว่างเรา..แค่พยายามก็พอ ได้ลองผิดลองถูก ตื่นเต้นกับอะไรๆ เธอเลยผ่อนคลาย ตื่นเต้นนะที่เห็นเธอเติบโต เราเติบใหญ่ไปด้วยกัน แต่มันยากตรงนั้น ก้าวไปด้วยกัน หรือไปคนละทาง เปลี่ยนไปโดยไม่ทำร้ายอีกฝ่าย ทุกวันนี้ผมยังคุยกับเธอในความคิด ทวนถ้อยถกเถียง โต้แย้งเรื่องที่เธอว่ากล่าว" Theodore ตอบยืดยาว
ส่วนตัว ผมไม่อินอะไรเลยกับพาร์ทความสัมพันธ์ของ Theodore กับ Samantha แต่กลับรู้สึกกับพาร์ทความสัมพันธ์ของ Theodore กับ Catherine มากๆ มันกระทบใจผมแบบดำดิ่งสุดๆ
เราชอบฉากที่เซ็นใบหย่ามากๆ มันเล่าเรื่องความรู้สึกที่ Theodore ยังมีต่อ Catherine ได้ดีมาก เมื่อเค้ามอง Catherine ภาพความหลังระหว่างเค้าทั้ง 2 ยังสวยงามอยู่ตรงนั้น แต่ซีนนี้ก็เล่าเรื่องราวถึงความเข้ากันไม่ได้ของทั้ง 2 ได้ดีมากเช่นกัน แม้เราอาจจะยังไม่ลืมเค้า ยังอยากจะอยู่กับเค้า แต่นั่นอาจไม่เพียงพอ หากวันนี้เราคุยกันด้วยดีไม่ได้แล้ว การแยกกันอยู่ น่าจะเป็นทางออกที่ดีต่อทุกฝ่าย
Theodore พูดถึง "การเติบโตมาด้วยกัน" บ่อยมากๆ ทั้งในการตอบคำถามของ Samantha และการเขียนจดหมายถึง Catherine ในตอนจบ เราคิดว่าสิ่งนี้ คือความรู้สึกที่เรียกว่า "ความผูกพัน" เราผ่านช่วงเวลาหลายอย่างมาด้วยกัน ทั้งช่วงเวลาที่มีความสุข และช่วงเวลาที่ยากลำบาก มันกลายเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของเราไปแล้ว หลายครั้งที่ถึงจุดที่ความสัมพันธ์มันไปต่อไม่ได้ แต่เรายังไม่อาจจะลืมหรือแยกกันได้ ส่วนหนึ่งมาจากสิ่งที่เรียกว่า "ความผูกพัน" เราเคยมีเค้าอยู่ข้างๆมาตลอด เราเคยทำอะไรหลายๆอย่างร่วมกัน เรามีกันและกันมาตลอด ที่เราเป็นเราได้ทุกวันนี้ ก็เพราะเค้า และที่เค้าเป็นเค้าได้ทุกวันนี้ ก็เพราะเรา ผมเข้าใจสุดๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Theodore และเห็นใจเค้าสุดๆเช่นกัน
ในทุกๆฉาก Flashback ทำเอาผมน้ำตาซึม แม้จะมีแค่ไม่กี่ซีน แต่มันอิมแพคต่อความรู้สึกมากๆ เราเห็นความสัมพันธ์ของพวกเค้าในทุกช่วงเวลา ทั้งสุขและทุกข์ที่พวกเค้ามีร่วมกัน ในทุกๆคำพูดที่ Theodore กล่าวถึง Catherine มันจริงใจมาก มันมาจากความรู้สึกส่วนตัวสุดๆ
ผมชอบประโยคที่ Samantha พูดกับ Theodore ว่า "เราล้วนเปลี่ยนไปทุกขณะ จึงไม่ควรฝืน มันเจ็บปวดเกิน" จริงอย่างที่ Samantha บอก คนเราเปลี่ยนไปทุกขณะ และนี่คือจุดที่ยากของความสัมพันธ์ของคนสองคน เพราะเมื่อวันแรกที่เราเจอกัน รู้จักกัน และได้ตัดสินใจคบกัน เราก็เป็นคนแบบหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราทุกคนก็เปลี่ยนไปด้วยกันทั้งเราและเค้า การที่จะรักษาความสัมพันธ์ให้ตลอดรอดฝั่งไม่ใช่เรื่องง่าย และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่มันไปต่อไม่ได้แล้วจริงๆ เราก็ไม่ควรฝืน เพราะมันจะเจ็บปวดมากๆ การเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์น่าจะเป็นทางออกที่ดี เรายังสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ (เหมือน Theodore กับ Amy ที่เคยคบกัน แต่ไปไม่รอด ก็สามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากๆได้จนถึงทุกวันนี้)
การที่วันนี้มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่สองคนคาดหวังไว้ ไม่สามารถเดินจับมือกันได้อย่างเดิม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ทั้งสองคนไม่ได้รักกัน ความรักมันสวยงามตรงนี้แหละผมว่า
หากหนังเรื่องนี้ คือ การสื่อสารอะไรบางอย่างถึงใครบางคน ผมคิดว่ามันคือ "การสื่อสารที่จริงใจและมั่นคงที่สุด" เท่าที่ผมเคยพบเจอในหนังมา ผมรู้สึกว่า Spike Jonze ทำหนังเรื่องนี้ด้วยเหตุผลส่วนตัวสุดๆ เรารู้สึกว่าเค้าต้องการบอกว่า "ขอโทษ" "ขอบคุณ" และ "รัก" กับใครบางคน
ข้อความในจดหมายที่ Theodore ที่เขียนถึง Catherine ในตอนจบของเรื่องนั้น นอกจากมันจะเป็นข้อความแทนความรู้สึกของ Theodore ที่ต้องการบอก Catherine แล้ว ผมเชื่อว่า มันคือความรู้สึกที่ Spike Jonze ต้องการบอก Sofia Coppola ด้วยเช่นกัน และมันก็บังเอิญที่ข้อความนี้ เป็นสิ่งที่ผมอยากบอกกับเค้าคนนั้นด้วยเช่นกัน
Dear Catherine,
I've been sitting here thinking about all the things I wanted to apologize to you for. All the pain we caused each other. Everything I put on you. Everything I needed you to be or needed you to say. I'm sorry for that. I'll always love you 'cause we grew up together and you helped make me who I am. I just wanted you to know there will be a piece of you in me always, and I'm grateful for that. Whatever someone you become, and wherever you are in the world, I'm sending you love. You're my friend 'til the end.
Love,
Theodore.
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Her - จดหมายขอโทษ ขอบคุณและบอกรักที่จริงใจที่สุด (Spoil)
เราอยากเขียนถึงหนังเรื่องนี้มาตลอด เราเคยดู Her ในโรงภาพยนตร์ไป 2 รอบ และเราอินกับมันทุกรอบที่เราดู ครั้งนี้เป็นรอบที่ 3 ที่เราดู และในครั้งนี้ ความรู้สึกที่เรามีต่อหนังเรื่องนี้ ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด เราเห็นอีกหลายรายละเอียดที่เราไม่เห็นในสองรอบแรกที่ดู และเรายังบอกเหมือนเดิมว่า "นี่คือหนังที่เราชอบมากที่สุดในชีวิต"
นี่คือผลงานกำกับของ Spike Jonze ผู้กำกับสุดเพี้ยน ที่เราประทับใจสุดๆจากผลงานของเค้าทั้ง Being John Malkovich และ Adaptation (เรายังไม่ได้ดู Where the Wild Things Are แต่มีแผ่นนอนรออยู่ที่บ้านแล้ว) นี่คือผู้กำกับคนแรกๆ ที่เปิดโลกภาพยนตร์ให้กับเรา และ Being John Malkovich คือหนังเรื่องนั้น เรารู้จัก John Malkovich จาก Con Air เราชอบดูหนังแบบนั้นในตอนนั้น เราไม่รู้จักหนังแบบอื่นเลยตอนนั้น แต่พอเรามีโอกาสได้ดู Being John Malkovich โลกแห่งการดูหนังของเราก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงทันที
สิ่งหนึ่งที่กังวลก่อนจะได้ดูหนังเรื่อง Her คือเรื่องนี้ เค้าไม่มีมือเขียนบทคู่บุญอย่าง Charlie Koufman มาเขียนบทให้แล้ว และนี่ก็คือบทพิสูจน์ครั้งสำคัญอีกบทหนึ่งของ Spike Jonze เพราะผมเองถึงขนาดตั้งคำถามว่า ที่หนังของ Spike Jonze ทำออกมาได้ดีขนาดนี้ เป็นเพราะ Charlie เป็นเหตุผลหลักเลยหรือเปล่า แต่พอดูจบ เราก็ทำลายข้อสงสัยนี้ไปอย่างสิ้นเชิง ฝีมือของ Spike Jonze คือของจริง
ภาพยนตร์ที่เราชื่นชม คือภาพยนตร์ที่สื่อสารอะไรสักอย่าง อย่างจริงใจและมั่นคง ซึ่งเรารู้สึกถึงสิ่งนี้ในหนังเรื่อง Her เรารู้สึกว่าภาพยนตร์ซักเรื่องที่ทำออกมาต้องมีสิ่งที่ตั้งใจสื่อสารอย่างหนักแน่น ซึ่งสิ่งที่สื่อสารนั้น ไม่สำคัญว่าจะเป็นการสื่อสารถึงกลุ่มคนส่วนใหญ่ เฉพาะกลุ่ม หรือ แม้กระทั่งทำภาพยนตร์เพื่อสื่อสารถึงคนเพียงคนเดียวก็ตาม สิ่งที่เราชื่นชม คือ การทำหนังที่สื่อสารเรื่องส่วนตัวมากๆ ซึ่งอาจจะส่งไปไม่ถึงคนส่วนมาก แต่กระนั้นเอง การสื่อสารที่ส่วนตัวมากๆ แต่ทำด้วยความจริงใจในการสื่อสาร มันก็อาจทำให้ใครหลายๆคนอินมากๆได้เช่นกัน เพราะเค้ารับรู้ได้ถึงความจริงใจนั้น
งานด้านภาพของหนังเรื่องนี้ ผมชอบมากๆ ทั้งมุมกล้อง ทั้งแสงสี ทำได้ดีมากๆทั้งฉากกลางวันและกลางคืน ทั้งฉาก outdoor และ indoor รวมไปถึงเลือกโลเคชั่นได้ดีมากๆ ทุกอย่างลงตัวสุดๆ การถ่ายย้อนแสงในหลายๆฉาก ทำได้ดีมากๆ ภาพสวยสุดๆเรื่องนี้
เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยอดเยี่ยมมากๆ ซึ่งเป็นผลงานของวง Arcade Fire วงอินดี้ร็อคจาก Canada เราชอบเพลงบรรเลง Song on the Beach, Photograph และ Dimensions มากๆ โดยเฉพาะเพลง Photograph ที่ Samantha แต่งขึ้นมา เพื่อแทนภาพถ่ายระหว่างเค้ากับ Theodore มันเป็นเพลงบรรเลงเปียโนที่เจ๋งสุดๆ
การแสดงของ Joaquin Phoenix คือสิ่งที่น่ายกย่องสุดๆ เค้าถ่ายทอดตัวละคร Theodore Twombly ได้สมบูรณ์แบบสุดๆ คาแรคเตอร์นี้แสดงออกได้ยากมากๆ เล่นผ่านทางสีหน้า แววตา ท่าทางเป็นหลัก แต่เค้าสื่อสารได้ครบถ้วน สมบูรณ์แบบสุดๆ ผมนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าตัวละครนี้ไม่ใช่ Joaquin แสดง จะเป็นใครได้อีก เค้าเล่นได้เหงาสุดๆ ทุกซีนที่เล่นกับเสียงของ Samantha เค้าทำได้ไร้ที่ติ เพราะมันเล่นได้ยากมากๆ เพราะไม่ได้เข้าซีนกันคนจริงๆ และทุกซีนที่เล่นกับ Rooney Mara คือที่สุดของหนังเรื่องนี้ เค้าทั้งสองรับส่งกันได้สุดยอดมากๆ แม้จะมีซีนที่เล่นด้วยกันไม่กี่ซีนก็ตาม รวมไปถึงการแสดงของ Scarlett Johansson ที่ทำได้ดีมากๆ แม้จะมาแค่เสียง แต่เรารู้สึกได้ถึงตัวตนของ Samantha การเล่นแค่เสียง แต่ต้องสื่อสารอารมณ์ ผมว่ามันยากมากๆ แต่ Scarlett ก็ส่งมาได้ดีมากๆในทุกซีน
Theodore Twombly ชายผู้มีอาชีพเขียนจดหมายแทนคนอื่นๆ เค้าเป็นคนที่มีบุคลิกเก็บตัว หรือที่เรียกว่า Introvert ไม่ชอบการเข้าสังคม ชอบใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง มีเพื่อนน้อย ใช้ชีวิตอย่างหดหู่และเหงาอ้างว้าง หลังการแยกทางกับภรรยาของเค้า เค้าชอบสังเกตพฤติกรรมของคนอื่นๆ และ Theodore เป็นคนละเอียดอ่อนมากๆ ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของคนอื่นเสมอ ขนาดรูปถ่ายของลูกค้าที่เค้าเขียนจดหมายให้ มีฟันเหยเก เค้ายังช่างสังเกตและนำไปเขียนในจดหมายได้ เหมือนที่เพื่อนร่วมงานเค้าแซวว่า Theodore มีบุคลิกเหมือนครึ่งหญิงครึ่งชาย เค้าเป็นคนที่มีความละเอียดอ่อนมากๆ
แม้ Theodore จะแยกทางกับ Catherine ภรรยาของเค้ามาซักพักใหญ่ๆแล้ว แต่เค้ายังไม่สามารถลืม Catherine ได้เลย เค้าไม่สามารถจะเริ่มชีวิตใหม่กับใครได้อีก การได้มาเจอระบบปฏิบัติการ OS1 อย่าง Samantha ที่เหมือนจะเป็นคนที่พูดคุยกันได้ถูกคอ เหมือนจะเป็นคนที่เข้าใจ Theodore นั้น ผมคิดว่า มันคือการพยายามหนีของ Theodore เค้าไม่สามารถอยู่กับโลกความจริงได้ ไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับมนุษย์จริงๆได้ เลยพยายามหนีไปมีความสัมพันธ์ในโลกเสมือน
การใช้ชีวิตประจำวันของ Theodore แทบจะยังมี Catherine อยู่ทุกที่ ทุกภาพความทรงจำระหว่างเค้ากับ Catherine ยังเด่นชัดในใจเสมอ แต่เค้ากลับกำลังที่จะต้องทำการเซ็นหย่ากับ Catherine ซึ่ง Theodore ไม่สามารถทำใจรับกับสิ่งนี้ได้ เค้ายังไม่พร้อม เค้ายังคิดถึง Catharine อยู่เสมอ แม้รู้ว่าเรื่องของเค้าทั้งสอง จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้วก็ตาม แต่เค้ายังทำใจไม่ได้จริงๆ
Samantha ที่เห็น Theodore ดูเหมือนไม่สบายใจ จึงถามว่าเป็นอะไร
เค้าตอบว่า "ผมฝันถึงเมียเก่าบ่อยๆ ว่าเราเป็นเพื่อนเหมือนก่อน เราไม่ได้คบหรืออยู่ด้วยกัน แต่ดีต่อกันและเธอไม่โกรธ"
"เค้าโกรธคุณเหรอ ทำไมล่ะ" Samantha ถาม
"ใช่ คงเพราะผมไม่เปิดอกคุยกับเธอ ปล่อยเธอเคว้งอยู่ข้างเดียว" Theodore ตอบ
"ทำไมไม่เซ็นหย่า" Samantha ถาม
"ผมไม่รู้ สำหรับเธอ มันแค่เรื่องเอกสารไร้ความหมาย" Theodore ตอบ
"แล้วสำหรับคุณล่ะ" Samantha ถามต่อ
"ผมไม่พร้อม ผมชอบชีวิตคู่"
"แต่คุณแยกกันอยู่มาเกือบปี" Samantha พูด
"คุณไม่รู้ เสียคนที่แคร์มันเป็นยังไง" Theodore ตอบและนิ่งเงียบไปสักครู่ แล้วก็พูดขึ้นมาว่า "คุณพูดถูก ผมรอวันที่จะเลิกแคร์เธอ"
มันชัดเจนมาก ว่า Theodore ยังแคร์ Catherine อยู่มากๆ
และกับคำถามของ Samantha ที่ว่า "ชีวิตแต่งงานเป็นยังไงบ้าง"
เค้าตอบว่า "ก็ยากแหละ..แต่รู้สึกดีที่ได้ร่วมชีวิตกับใครซักคน"
"ร่วมชีวิตยังไง" Samantha ถามต่อ
"เราเติบโตด้วยกัน ผมอ่านงานเธอ ทั้งป.โท ป.เอก เธออ่านทุกอย่างที่ผมเขียน เราผลักดันกันและกัน ครอบครัวเธอคาดหวังสูงลิ่ว เธอเลยกดดันหนัก แต่ระหว่างเรา..แค่พยายามก็พอ ได้ลองผิดลองถูก ตื่นเต้นกับอะไรๆ เธอเลยผ่อนคลาย ตื่นเต้นนะที่เห็นเธอเติบโต เราเติบใหญ่ไปด้วยกัน แต่มันยากตรงนั้น ก้าวไปด้วยกัน หรือไปคนละทาง เปลี่ยนไปโดยไม่ทำร้ายอีกฝ่าย ทุกวันนี้ผมยังคุยกับเธอในความคิด ทวนถ้อยถกเถียง โต้แย้งเรื่องที่เธอว่ากล่าว" Theodore ตอบยืดยาว
ส่วนตัว ผมไม่อินอะไรเลยกับพาร์ทความสัมพันธ์ของ Theodore กับ Samantha แต่กลับรู้สึกกับพาร์ทความสัมพันธ์ของ Theodore กับ Catherine มากๆ มันกระทบใจผมแบบดำดิ่งสุดๆ
เราชอบฉากที่เซ็นใบหย่ามากๆ มันเล่าเรื่องความรู้สึกที่ Theodore ยังมีต่อ Catherine ได้ดีมาก เมื่อเค้ามอง Catherine ภาพความหลังระหว่างเค้าทั้ง 2 ยังสวยงามอยู่ตรงนั้น แต่ซีนนี้ก็เล่าเรื่องราวถึงความเข้ากันไม่ได้ของทั้ง 2 ได้ดีมากเช่นกัน แม้เราอาจจะยังไม่ลืมเค้า ยังอยากจะอยู่กับเค้า แต่นั่นอาจไม่เพียงพอ หากวันนี้เราคุยกันด้วยดีไม่ได้แล้ว การแยกกันอยู่ น่าจะเป็นทางออกที่ดีต่อทุกฝ่าย
Theodore พูดถึง "การเติบโตมาด้วยกัน" บ่อยมากๆ ทั้งในการตอบคำถามของ Samantha และการเขียนจดหมายถึง Catherine ในตอนจบ เราคิดว่าสิ่งนี้ คือความรู้สึกที่เรียกว่า "ความผูกพัน" เราผ่านช่วงเวลาหลายอย่างมาด้วยกัน ทั้งช่วงเวลาที่มีความสุข และช่วงเวลาที่ยากลำบาก มันกลายเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของเราไปแล้ว หลายครั้งที่ถึงจุดที่ความสัมพันธ์มันไปต่อไม่ได้ แต่เรายังไม่อาจจะลืมหรือแยกกันได้ ส่วนหนึ่งมาจากสิ่งที่เรียกว่า "ความผูกพัน" เราเคยมีเค้าอยู่ข้างๆมาตลอด เราเคยทำอะไรหลายๆอย่างร่วมกัน เรามีกันและกันมาตลอด ที่เราเป็นเราได้ทุกวันนี้ ก็เพราะเค้า และที่เค้าเป็นเค้าได้ทุกวันนี้ ก็เพราะเรา ผมเข้าใจสุดๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Theodore และเห็นใจเค้าสุดๆเช่นกัน
ในทุกๆฉาก Flashback ทำเอาผมน้ำตาซึม แม้จะมีแค่ไม่กี่ซีน แต่มันอิมแพคต่อความรู้สึกมากๆ เราเห็นความสัมพันธ์ของพวกเค้าในทุกช่วงเวลา ทั้งสุขและทุกข์ที่พวกเค้ามีร่วมกัน ในทุกๆคำพูดที่ Theodore กล่าวถึง Catherine มันจริงใจมาก มันมาจากความรู้สึกส่วนตัวสุดๆ
ผมชอบประโยคที่ Samantha พูดกับ Theodore ว่า "เราล้วนเปลี่ยนไปทุกขณะ จึงไม่ควรฝืน มันเจ็บปวดเกิน" จริงอย่างที่ Samantha บอก คนเราเปลี่ยนไปทุกขณะ และนี่คือจุดที่ยากของความสัมพันธ์ของคนสองคน เพราะเมื่อวันแรกที่เราเจอกัน รู้จักกัน และได้ตัดสินใจคบกัน เราก็เป็นคนแบบหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราทุกคนก็เปลี่ยนไปด้วยกันทั้งเราและเค้า การที่จะรักษาความสัมพันธ์ให้ตลอดรอดฝั่งไม่ใช่เรื่องง่าย และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่มันไปต่อไม่ได้แล้วจริงๆ เราก็ไม่ควรฝืน เพราะมันจะเจ็บปวดมากๆ การเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์น่าจะเป็นทางออกที่ดี เรายังสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ (เหมือน Theodore กับ Amy ที่เคยคบกัน แต่ไปไม่รอด ก็สามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากๆได้จนถึงทุกวันนี้)
การที่วันนี้มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่สองคนคาดหวังไว้ ไม่สามารถเดินจับมือกันได้อย่างเดิม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ทั้งสองคนไม่ได้รักกัน ความรักมันสวยงามตรงนี้แหละผมว่า
หากหนังเรื่องนี้ คือ การสื่อสารอะไรบางอย่างถึงใครบางคน ผมคิดว่ามันคือ "การสื่อสารที่จริงใจและมั่นคงที่สุด" เท่าที่ผมเคยพบเจอในหนังมา ผมรู้สึกว่า Spike Jonze ทำหนังเรื่องนี้ด้วยเหตุผลส่วนตัวสุดๆ เรารู้สึกว่าเค้าต้องการบอกว่า "ขอโทษ" "ขอบคุณ" และ "รัก" กับใครบางคน
ข้อความในจดหมายที่ Theodore ที่เขียนถึง Catherine ในตอนจบของเรื่องนั้น นอกจากมันจะเป็นข้อความแทนความรู้สึกของ Theodore ที่ต้องการบอก Catherine แล้ว ผมเชื่อว่า มันคือความรู้สึกที่ Spike Jonze ต้องการบอก Sofia Coppola ด้วยเช่นกัน และมันก็บังเอิญที่ข้อความนี้ เป็นสิ่งที่ผมอยากบอกกับเค้าคนนั้นด้วยเช่นกัน
Dear Catherine,
I've been sitting here thinking about all the things I wanted to apologize to you for. All the pain we caused each other. Everything I put on you. Everything I needed you to be or needed you to say. I'm sorry for that. I'll always love you 'cause we grew up together and you helped make me who I am. I just wanted you to know there will be a piece of you in me always, and I'm grateful for that. Whatever someone you become, and wherever you are in the world, I'm sending you love. You're my friend 'til the end.
Love,
Theodore.
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/