(ไม่มีสปอยล์)
อีกผลงานสุดสร้างสรรค์ของผู้กำกับ Spike Jonze ที่เคยฝากผลงานเรื่อง Where The Wild Things Are (2009) ซึ่งมีความแนวในตัวไม่เบาอยู่แล้ว แม้ตัวผู้เขียนจะไม่ได้ชอบมากมายนัก แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนหลงใหลนั่นคือเพลงประกอบและภาพ แสง สี ภายในเรื่องที่สวยงามดูอบอุ่น และแน่นอนเรื่อง Her ก็เฉียบไม่แพ้กัน ความต่างของเรื่อง Her คืออารมณ์ที่ไปในด้านความเหงา ความรักที่สมจริงและความรู้สึกของผู้ใหญ่มากกว่า Where The Wild Things Are อีกทั้งยังแอบจิกกัดมนุษย์เบาๆด้วย ทั้งนี้หากอยากหาภาพยนตร์รักอารมณ์เหงาๆมีความเจ๋งที่บทอันสร้างสรรค์ งานด้านภาพสุดเฉียบ เพลงประกอบแสนไพเราะ และความหมายของความ“รัก” ที่ต่างออกไป ถึงขั้นทำให้คุณมองความ”รัก” ได้กว้างขึ้น Her เป็น 1 เรื่องที่ผมขอนำเสนอในปีนี้
(มีสปอยล์)
Theodore Twombly (Joaquin Phoenix) ชายขี้เหงาที่ทำงานสร้างความสุข ความทรงจำ ความประทับใจให้คนอื่นด้วยการเขียนจดหมายอวยพรแสดงความรู้สึกให้ลูกค้า เขามีปัญหาที่ยังคงค้างคาอยู่นั่นคือการเลิกกับภรรยาที่รอวันเซ็นใบหย่าร้าง ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความเหงาที่ตกแต่ละคืนต้องหาเพื่อนคุยหรือนั่งเล่นเกมเพื่อคลายความเหงา ซึ่งสิ่งที่ส่งผลให้เขาเหงายิ่งขึ้นคือการที่เขาเข้าสังคมไม่เก่งอีกต่างหาก
และในวันนึงที่เขาเดินอย่างไร้ชีวิตชีวาไปพบกับ OS(Operation System: ระบบปฏิบัติการ) อัจฉริยะที่สามารถสร้าง AI(Artificial Intelligent: ปัญญาประดิษฐ์) เป็นเพื่อนคอยอยู่เคียงข้างได้ด้วยการสอบถามเรื่องราวของเขาเพียงเล็กน้อย AI ที่ว่าคือ Samantha (Scarlett Johansson) เป็นเพียงแค่เสียงจากคอมพิวเตอร์ที่คอยโต้ตอบด้วย ความมหัศจรรย์อย่างยิ่งคือ Samantha มีความนึกคิดราวกับมนุษย์ ทั้งยังสามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้เช่นกัน
Theodore เริ่มสนิทสนมกับ Samantha มากขึ้นจนทำให้เขารู้สึกหายเหงาไปได้มาก และเมื่อพบกับ Blind Date (Olivia Wilde) สาวที่ถูกแนะนำมาจากเพื่อนอีกที ทั้งคู่คุยกันอย่างสนุกสนานถูกอกถูกคอกัน แต่ก็ไม่สามารถคบกันอย่างจริงจังได้ เหตุผลน่าจะมาจากตัว Theodore ที่ยังไม่อาจจริงจังกับใครได้ในตอนนี้
Theodore กลับมาเป็นคนขี้เหงาอีกครั้งและบทสนทนาระหว่างเขากับ Samantha ยิ่งแนบแน่นสนิทสนมกันยิ่งขึ้นจนดูเหมือนเธอ (ขอเรียก AI: Samantha ว่า”เธอ”นะครับ) จะเข้าใจเขามากที่สุดแล้วในตอนนี้จนทำให้เขากล้าเรียกเธอว่าแฟน
ชีวิตของ Theodore มีความสุขกว่าที่เคยจนทำให้เขาเซ็นใบหย่าร้างโดยที่ไม่กังวลอีกต่อไป ทั้งนี้เพื่อนของเขา Amy (Amy Adams) หลังจากเลิกกับแฟนก็เป็นอีกคนที่สนิทสนมกับ AI แต่แล้ว เมื่อความหอมหวานผ่านไปและเนิ่นนานขึ้น Samantha ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆของมนุษย์ เธอมีความสุขแต่ท้ายที่สุดเธอกลับจากไปพร้อมเหล่า AI อื่นๆที่มีลักษณะเดียวกัน ทิ้งไว้แต่เพียงความเหงาที่จับขั้วหัวใจของมนุษย์ที่เคยผูกพัน...
(สิ่งที่จิกกัดมนุษย์)
Theodore มีหน้าที่สร้างความสุข ความทรงจำให้คนอื่น ซึ่งนั่นเป็นผลดี แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าเราเป็นคนที่เขียนสิ่งเหล่านั้นเอง แม้สิ่งที่เราเขียนไม่อาจสละสลวยสวยงามกินใจเท่า Theodore แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ออกมาจากความรู้สึกของเราจริงๆ ส่วนนี้เองทำให้มองว่าการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ลดน้อยลงไปมากแม้กระทั่งการเขียนอวยพรให้กันยังต้องให้คนที่ไม่รู้จักเขียนให้...
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้คนมีโลกส่วนตัวทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นท้องถนน สถานีรถไฟ สวนสาธารณะ ที่ทำงานหรือที่ไหนๆ ตัวอย่างเช่น Theodore ที่มี Samantha ทุกที่หรือแม้กระทั่งการเมลหากันแล้วให้คอมพิวเตอร์อ่านข้อความให้ฟัง กล่าวคือความสัมพันธ์ของมนุษย์ค่อยๆหายไป สิ่งที่สังเกตได้อีกคือผู้คนในเรื่องที่น้อยนักจะมีคู่ ส่วนมากต่างเดินคนเดียวแยกกันเดินและจดจ่ออยู่กับบางสิ่ง...
ความอันตรายของเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้าง เรามักเคยเห็นภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่นำเสนอหุ่นยนตร์หรือ AI ที่พยายามอยู่เหนือมนุษย์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีแง่มุมนั้นเช่นกันคือการกลืนกินผู้คนให้ขาดปฏิสัมพันธ์และจดจ่ออยู่กับเทคโนโลยี หาใช่ความรุนแรงถึงขั้นเกิดการต่อสู้ไม่ เป็นวิธีอันแน่นิ่งที่ลบความเป็นมนุษย์ลงไปทีละนิด...
คำพูดของแฟนเก่า Theodore ที่จิกกัดว่าเขามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับ AI จนลืมสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบตัว ก็เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนความเป็นสังคมมนุษย์ที่หายไปอีกเช่นกัน
(ความรักของ Theodore)
- รักในมุมมองของ Theodore คือการแบ่งปัน การร่วมใช้ชีวิต สังเกตได้จากภาพต่างๆสมัยที่เขายังคบอยู่กับแฟน ช่วงเวลาต่างๆที่เขาได้ร่วมใช้ชีวิตจะถูกแทรกเข้ามาเป็นระยะและจี้จุดที่ทำให้เขาหวนถึงช่วงเวลานั้น
- รักคือจินตนาการ Theodore มักจะจินตนาการถึงความสัมพันธ์ต่างๆ เช่น ตอนที่จินตนาการกับ Samantha ถึงการมีตัวตน การสัมผัส การร่วมรัก เป็นต้น
- รักคือการเป็นเจ้าของ เช่น ตอนที่ Theodore แสดงความหึงหวงอย่างแรงกล้าในฉากที่รู้ความจริงว่า Samantha คุยกับคนอื่นอีกหลายร้อยคน
- รักคือความผิดหวัง Theodore เคยกล่าวว่า “คนเรา มักจะทำให้คนอื่นผิดหวังเสมอ” เปรียบได้กับความรักในช่วงที่เรารู้สึกผิดหวังหรือท้อถอย
- รักคือการยอมรับ ช่วงท้ายๆของเรื่อง Theodore ยอมรับ Samantha แม้ว่าเธอจะเป็นแค่ AI หรือสิ่งไม่มีชีวิตในสายตามนุษย์นั่นเอง (จุดนี้เองที่ทำให้มองความรักของมนุษย์ได้ลึกขึ้น บ่อยครั้งที่เราไม่กล้ายอมรับว่าเรารัก ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเรากลัวว่ารักของเรา”ไม่เป็นที่ยอมรับ”)
- รักคือการเปิดใจ พูดคุย ฉากที่ Theodore ยอมรับในตัว Samantha และพร้อมที่จะพูดทุกสิ่งทุกอย่างแบบเปิดเผย ไม่ยอมทำพลาดเหมือนครั้งที่เลิกกับแฟนเก่า
- รักคือความเข้าใจ แม้ว่าในฉากสุดท้ายที่ Theodore จะสูญเสีย Samantha แต่เขาก็ได้เรียนรู้อีกครั้งว่าความรักไม่จำเป็นต้อง”สมหวัง” แต่คือ”ความทรงจำ” นั่นเอง
- รักคือการไม่รู้จัก Theodore เคยพูดว่าเขาพบเจอมาหมดแล้วทุกช่วงอารมณ์ แค่จะมีอารมณ์ย่อยๆของมันมาอีกเท่านั้น ซึ่งเขาพูดในฉากท้ายๆว่า “ผมไม่เคยรักใครในแบบคุณ” นี่เป็นความรักแบบใหม่ที่ Theodore ไม่เคยพบหรือความรักที่เขา”ไม่รู้จัก”
(ความรักของ Amy)
- Amy เริ่มเข้าใจความรักจากความทุกข์ เธอเรียนรู้ว่าสิ่งต่างๆที่ทำไปมันช่างดูโง่เง่า แต่เธอก็รู้จักปล่อยวางและจดจำความสุขที่เคยมีและ”ชั่งแมร่ง”
- รักคือความบ้า “ความรักเป็นเรื่องที่บ้ามาก แต่เป็นความบ้าที่สังคมยอมรับ” คำพูดนี้ออกมาจากปากเธอเอง
(ความรักของ Samantha)
- รักของเธอคือการเรียนรู้ Samantha เริ่มรู้จักความรักจากการเรียนรู้อารมณ์ เรียนรู้มนุษย์ เรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว
- รักคือการไม่ยึดติด การที่เธอเคยบอก Theodore ว่า”อดีตคือเรื่องราวที่เราคอยบอกตัวเอง” เป็นการให้ Theodore เลิกยึดติดและกล้าสร้างความสัมพันธ์ใหม่ รวมถึงการเสียสละหายไป...
- รักคือความไม่เป็นตัวเอง เช่น ตอนที่ Samantha ไม่เชื่อมั่นในตัวเองเพราะไม่มีร่าง เธอจึงยืมร่างของคนอื่นที่เต็มใจ ซึ่งในมุมมองของคนที่เต็มใจคือ“รักไม่มีเส้นกั้น”
(ความรักของผู้เขียน)
รักคือสี สีที่หลากหลายแทนมนุษย์แต่ละคนที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกัน สีที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น แหวน ของขวัญ ความห่วงใย การเอาอกเอาใจ เป็นต้น ซึ่งแต่ละคนก็มีสีที่ชอบแตกต่างกันไป หากแต่เมื่อสีทั้ง 2 ผสมกันแล้วทำให้ได้สีใหม่ อาจเพิ่มความสวยงามขึ้นหรือแย่ลงก็อยู่ที่มุมมองของแต่ละบุคคลแต่ละคู่อีกเช่นกัน แต่หากว่าการแต่งแต้มสีด้วยของขวัญ ด้วยปัจจัยอื่น นั่นก็อาจจะทำให้สีนั้นสวยงามขึ้น เป็นความรักที่งดงามยิ่ง แต่อย่าลืมว่าเมื่อผสมสีมากจนเกินไป มันก็จะกลายเป็นสีดำได้เช่นกัน...
(มีต่อ)
[CR] Her (2013) เธอ... ที่รัก
(ไม่มีสปอยล์)
อีกผลงานสุดสร้างสรรค์ของผู้กำกับ Spike Jonze ที่เคยฝากผลงานเรื่อง Where The Wild Things Are (2009) ซึ่งมีความแนวในตัวไม่เบาอยู่แล้ว แม้ตัวผู้เขียนจะไม่ได้ชอบมากมายนัก แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนหลงใหลนั่นคือเพลงประกอบและภาพ แสง สี ภายในเรื่องที่สวยงามดูอบอุ่น และแน่นอนเรื่อง Her ก็เฉียบไม่แพ้กัน ความต่างของเรื่อง Her คืออารมณ์ที่ไปในด้านความเหงา ความรักที่สมจริงและความรู้สึกของผู้ใหญ่มากกว่า Where The Wild Things Are อีกทั้งยังแอบจิกกัดมนุษย์เบาๆด้วย ทั้งนี้หากอยากหาภาพยนตร์รักอารมณ์เหงาๆมีความเจ๋งที่บทอันสร้างสรรค์ งานด้านภาพสุดเฉียบ เพลงประกอบแสนไพเราะ และความหมายของความ“รัก” ที่ต่างออกไป ถึงขั้นทำให้คุณมองความ”รัก” ได้กว้างขึ้น Her เป็น 1 เรื่องที่ผมขอนำเสนอในปีนี้
(มีสปอยล์)
Theodore Twombly (Joaquin Phoenix) ชายขี้เหงาที่ทำงานสร้างความสุข ความทรงจำ ความประทับใจให้คนอื่นด้วยการเขียนจดหมายอวยพรแสดงความรู้สึกให้ลูกค้า เขามีปัญหาที่ยังคงค้างคาอยู่นั่นคือการเลิกกับภรรยาที่รอวันเซ็นใบหย่าร้าง ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความเหงาที่ตกแต่ละคืนต้องหาเพื่อนคุยหรือนั่งเล่นเกมเพื่อคลายความเหงา ซึ่งสิ่งที่ส่งผลให้เขาเหงายิ่งขึ้นคือการที่เขาเข้าสังคมไม่เก่งอีกต่างหาก
และในวันนึงที่เขาเดินอย่างไร้ชีวิตชีวาไปพบกับ OS(Operation System: ระบบปฏิบัติการ) อัจฉริยะที่สามารถสร้าง AI(Artificial Intelligent: ปัญญาประดิษฐ์) เป็นเพื่อนคอยอยู่เคียงข้างได้ด้วยการสอบถามเรื่องราวของเขาเพียงเล็กน้อย AI ที่ว่าคือ Samantha (Scarlett Johansson) เป็นเพียงแค่เสียงจากคอมพิวเตอร์ที่คอยโต้ตอบด้วย ความมหัศจรรย์อย่างยิ่งคือ Samantha มีความนึกคิดราวกับมนุษย์ ทั้งยังสามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้เช่นกัน
Theodore เริ่มสนิทสนมกับ Samantha มากขึ้นจนทำให้เขารู้สึกหายเหงาไปได้มาก และเมื่อพบกับ Blind Date (Olivia Wilde) สาวที่ถูกแนะนำมาจากเพื่อนอีกที ทั้งคู่คุยกันอย่างสนุกสนานถูกอกถูกคอกัน แต่ก็ไม่สามารถคบกันอย่างจริงจังได้ เหตุผลน่าจะมาจากตัว Theodore ที่ยังไม่อาจจริงจังกับใครได้ในตอนนี้
Theodore กลับมาเป็นคนขี้เหงาอีกครั้งและบทสนทนาระหว่างเขากับ Samantha ยิ่งแนบแน่นสนิทสนมกันยิ่งขึ้นจนดูเหมือนเธอ (ขอเรียก AI: Samantha ว่า”เธอ”นะครับ) จะเข้าใจเขามากที่สุดแล้วในตอนนี้จนทำให้เขากล้าเรียกเธอว่าแฟน
ชีวิตของ Theodore มีความสุขกว่าที่เคยจนทำให้เขาเซ็นใบหย่าร้างโดยที่ไม่กังวลอีกต่อไป ทั้งนี้เพื่อนของเขา Amy (Amy Adams) หลังจากเลิกกับแฟนก็เป็นอีกคนที่สนิทสนมกับ AI แต่แล้ว เมื่อความหอมหวานผ่านไปและเนิ่นนานขึ้น Samantha ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆของมนุษย์ เธอมีความสุขแต่ท้ายที่สุดเธอกลับจากไปพร้อมเหล่า AI อื่นๆที่มีลักษณะเดียวกัน ทิ้งไว้แต่เพียงความเหงาที่จับขั้วหัวใจของมนุษย์ที่เคยผูกพัน...
(สิ่งที่จิกกัดมนุษย์)
Theodore มีหน้าที่สร้างความสุข ความทรงจำให้คนอื่น ซึ่งนั่นเป็นผลดี แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าเราเป็นคนที่เขียนสิ่งเหล่านั้นเอง แม้สิ่งที่เราเขียนไม่อาจสละสลวยสวยงามกินใจเท่า Theodore แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ออกมาจากความรู้สึกของเราจริงๆ ส่วนนี้เองทำให้มองว่าการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ลดน้อยลงไปมากแม้กระทั่งการเขียนอวยพรให้กันยังต้องให้คนที่ไม่รู้จักเขียนให้...
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้คนมีโลกส่วนตัวทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นท้องถนน สถานีรถไฟ สวนสาธารณะ ที่ทำงานหรือที่ไหนๆ ตัวอย่างเช่น Theodore ที่มี Samantha ทุกที่หรือแม้กระทั่งการเมลหากันแล้วให้คอมพิวเตอร์อ่านข้อความให้ฟัง กล่าวคือความสัมพันธ์ของมนุษย์ค่อยๆหายไป สิ่งที่สังเกตได้อีกคือผู้คนในเรื่องที่น้อยนักจะมีคู่ ส่วนมากต่างเดินคนเดียวแยกกันเดินและจดจ่ออยู่กับบางสิ่ง...
ความอันตรายของเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้าง เรามักเคยเห็นภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่นำเสนอหุ่นยนตร์หรือ AI ที่พยายามอยู่เหนือมนุษย์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีแง่มุมนั้นเช่นกันคือการกลืนกินผู้คนให้ขาดปฏิสัมพันธ์และจดจ่ออยู่กับเทคโนโลยี หาใช่ความรุนแรงถึงขั้นเกิดการต่อสู้ไม่ เป็นวิธีอันแน่นิ่งที่ลบความเป็นมนุษย์ลงไปทีละนิด...
คำพูดของแฟนเก่า Theodore ที่จิกกัดว่าเขามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับ AI จนลืมสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบตัว ก็เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนความเป็นสังคมมนุษย์ที่หายไปอีกเช่นกัน
(ความรักของ Theodore)
- รักในมุมมองของ Theodore คือการแบ่งปัน การร่วมใช้ชีวิต สังเกตได้จากภาพต่างๆสมัยที่เขายังคบอยู่กับแฟน ช่วงเวลาต่างๆที่เขาได้ร่วมใช้ชีวิตจะถูกแทรกเข้ามาเป็นระยะและจี้จุดที่ทำให้เขาหวนถึงช่วงเวลานั้น
- รักคือจินตนาการ Theodore มักจะจินตนาการถึงความสัมพันธ์ต่างๆ เช่น ตอนที่จินตนาการกับ Samantha ถึงการมีตัวตน การสัมผัส การร่วมรัก เป็นต้น
- รักคือการเป็นเจ้าของ เช่น ตอนที่ Theodore แสดงความหึงหวงอย่างแรงกล้าในฉากที่รู้ความจริงว่า Samantha คุยกับคนอื่นอีกหลายร้อยคน
- รักคือความผิดหวัง Theodore เคยกล่าวว่า “คนเรา มักจะทำให้คนอื่นผิดหวังเสมอ” เปรียบได้กับความรักในช่วงที่เรารู้สึกผิดหวังหรือท้อถอย
- รักคือการยอมรับ ช่วงท้ายๆของเรื่อง Theodore ยอมรับ Samantha แม้ว่าเธอจะเป็นแค่ AI หรือสิ่งไม่มีชีวิตในสายตามนุษย์นั่นเอง (จุดนี้เองที่ทำให้มองความรักของมนุษย์ได้ลึกขึ้น บ่อยครั้งที่เราไม่กล้ายอมรับว่าเรารัก ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเรากลัวว่ารักของเรา”ไม่เป็นที่ยอมรับ”)
- รักคือการเปิดใจ พูดคุย ฉากที่ Theodore ยอมรับในตัว Samantha และพร้อมที่จะพูดทุกสิ่งทุกอย่างแบบเปิดเผย ไม่ยอมทำพลาดเหมือนครั้งที่เลิกกับแฟนเก่า
- รักคือความเข้าใจ แม้ว่าในฉากสุดท้ายที่ Theodore จะสูญเสีย Samantha แต่เขาก็ได้เรียนรู้อีกครั้งว่าความรักไม่จำเป็นต้อง”สมหวัง” แต่คือ”ความทรงจำ” นั่นเอง
- รักคือการไม่รู้จัก Theodore เคยพูดว่าเขาพบเจอมาหมดแล้วทุกช่วงอารมณ์ แค่จะมีอารมณ์ย่อยๆของมันมาอีกเท่านั้น ซึ่งเขาพูดในฉากท้ายๆว่า “ผมไม่เคยรักใครในแบบคุณ” นี่เป็นความรักแบบใหม่ที่ Theodore ไม่เคยพบหรือความรักที่เขา”ไม่รู้จัก”
(ความรักของ Amy)
- Amy เริ่มเข้าใจความรักจากความทุกข์ เธอเรียนรู้ว่าสิ่งต่างๆที่ทำไปมันช่างดูโง่เง่า แต่เธอก็รู้จักปล่อยวางและจดจำความสุขที่เคยมีและ”ชั่งแมร่ง”
- รักคือความบ้า “ความรักเป็นเรื่องที่บ้ามาก แต่เป็นความบ้าที่สังคมยอมรับ” คำพูดนี้ออกมาจากปากเธอเอง
(ความรักของ Samantha)
- รักของเธอคือการเรียนรู้ Samantha เริ่มรู้จักความรักจากการเรียนรู้อารมณ์ เรียนรู้มนุษย์ เรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว
- รักคือการไม่ยึดติด การที่เธอเคยบอก Theodore ว่า”อดีตคือเรื่องราวที่เราคอยบอกตัวเอง” เป็นการให้ Theodore เลิกยึดติดและกล้าสร้างความสัมพันธ์ใหม่ รวมถึงการเสียสละหายไป...
- รักคือความไม่เป็นตัวเอง เช่น ตอนที่ Samantha ไม่เชื่อมั่นในตัวเองเพราะไม่มีร่าง เธอจึงยืมร่างของคนอื่นที่เต็มใจ ซึ่งในมุมมองของคนที่เต็มใจคือ“รักไม่มีเส้นกั้น”
(ความรักของผู้เขียน)
รักคือสี สีที่หลากหลายแทนมนุษย์แต่ละคนที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกัน สีที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น แหวน ของขวัญ ความห่วงใย การเอาอกเอาใจ เป็นต้น ซึ่งแต่ละคนก็มีสีที่ชอบแตกต่างกันไป หากแต่เมื่อสีทั้ง 2 ผสมกันแล้วทำให้ได้สีใหม่ อาจเพิ่มความสวยงามขึ้นหรือแย่ลงก็อยู่ที่มุมมองของแต่ละบุคคลแต่ละคู่อีกเช่นกัน แต่หากว่าการแต่งแต้มสีด้วยของขวัญ ด้วยปัจจัยอื่น นั่นก็อาจจะทำให้สีนั้นสวยงามขึ้น เป็นความรักที่งดงามยิ่ง แต่อย่าลืมว่าเมื่อผสมสีมากจนเกินไป มันก็จะกลายเป็นสีดำได้เช่นกัน...
(มีต่อ)