"ตกเขียว" ตราบาปของสังคมไทย ?!?

"ตกเขียว" ตราบาปสังคมไทย?!?
อรรถาธิบายที่มาของบทความนี้
"บ่เหลือไผซ้ากคน ตายเป๋นเบือ ตายโม้ดแล้วลูก...น้องจำได้ก่อ
ปี้จั๋นคนงาม ๆ นั่นน่ะ รายแรกเลยหนาตี้ล่องใต้มาหาเงิน นั่นก็ต๋ายไปเป๋นสิบปีล่ะ ตายย้อนเอดส์นั่นก่ะ...
ปี้บัวตองลูกลุงจายก็ต๋าย แต่คนนี้แขวนคอตาย
หาเงินได้เต๊าใดป้อแม่ก็ผลาญหมดบ่เหลือ อ่ออ๊อย...เป๋นดีเอ็นดูขนาด" อี่แม่ของปี้มิ้วยืนยันและเล่าอีกยาววววววว....

ก่อนอื่นต้องขออนุญาตบอกที่มาที่ไปของบทความนี้อีกสักหน่อย
เรื่องของเรื่องคือมีน้องนักศึกษากลุ่มหนึ่งได้รับมอบหมายให้ทำบทความเกี่ยวกับ "ตกเขียว"
เพื่อไปตีพิมพ์ในวารสารของสถาบันการศึกษาและแจกจ่ายแก่ผู้สนใจทั่วไป

เมื่อน้องลงพื้นที่ ปรากฎว่าส่วนใหญ่คนในพื้นที่ไม่เต็มใจจะพูดถึงเรื่องนี้เท่าใดนัก
น้อง ๆ จึงมีข้อมูลน้อยเต็มที ก็เลยติดต่อมาที่อิฉัน ซึ่งน้องก็ไม่หวังหรอกว่าอี่ปี้มิ้ว จะรู้เรื่องราวเยอะแยะมากมาย
ซึ่งอี่ปี้ก็คงฮู้เต๊าตี้ฮู้น่ะเจ้า อาจจะดูเหมือนรู้เยอะ
แต่ที่จริงอิฉันก็แค่เป็นพยานร่วมเหตุการณ์ที่ยังมีชีวิตอยู่
ก็นับเป็นโชคดีที่เป็นคนช่างจดจำ
และโชคดีมาก ๆ ที่คุณนายแม่คือต้นแบบการให้ความสนใจเรื่องราวรอบตัว
ก็เพื่อปรับใช้กับชีวิตซึ่งอาจต้องเจอเรื่องไม่คาดฝัน ความเปลี่ยนแปลงอาจพาเราเข้าสู่จุดพลิกผันทั้งชีวิต
ดังนั้นจำเป็นอยู่มากที่เราจะคิดพิจารณาเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต โดยมีสติเป็นที่ตั้งมั่นสำคัญ

ที่น้อง ๆ ไม่ได้ข้อมูลจากคนในพื้นที่ อิฉันสันนิษฐานว่า
1. คนที่เคยมีบทบาทในวงจรอุบาศว์ หากยังมีชีวิตอยู่ก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น
...ตกเขียวเด็กหญิง...มันคือตราบาป การรื้อฟื้นเท่ากับย้ำคิดบาปผิด พวกเขาคงไม่อยากทำ

2. ส่วนใหญ่คนที่เคยอยู่ในเส้นทางบาปเหล่านั้น "ตายเกลี้ยง" ไอ้ที่ยังอยู่และได้ดีมีสุขทุกวันนี้เห็นจะไม่มี คุณนายแม่ว่าไว้เช่นนี้

3. คนเห็นเหตุการณ์หรือร่วมในเหตุการณ์บางช่วงบางตอน ไม่ว่าจะได้ยิน ได้ฟัง รับรู้ เห็นมากับตา รู้มากับตัว ได้ยินกับหู ฯลฯ
ไม่มีใครเก็บมาใส่ใจ ไม่มีใครจดจำ เพราะมันก็แค่ชะตากรรมน่ากังขาของคนอื่น! ไม่มีใครสนใจอยากจะพูดถึงค่ะ

4. ผู้หลักผู้ใหญ่ที่รู้และเข้าใจเรื่องนี้ก็โรยราเต็มที จะให้บอกกล่าวเล่าความก็อาจจะไม่สะดวกทั้งสังขารและความจำ

5. คนเต็มใจพูดอาจสื่อสารได้ไม่ดี มีข้อมูลน้อย หรือขาดความเข้าใจในบางส่วน
...............................ฯลฯ...........................

อิฉันพูดเพราะมีคนถาม และค่อนข้างมั่นใจว่า...ฉันคือเด็กหญิงรุ่นสุดท้ายที่ร่วมสมัย "ตกเขียว"
ในยุคที่ศัพท์ "การค้ามนุษย์" ยังไม่แพร่หลาย ชาวบ้านยังไม่รู้จัก!
"ตกเขียว" ทำเป็นล่ำเป็นสัน เป็นที่เปิดเผย เป็นเรื่องธรรมดาในสังคมไทย...
การบังคับเด็กหญิงเป็นสินค้ากามารมณ์ โดยผู้ให้กำเนิดยินดีและเป็นส่วนสำคัญในการณ์นั้น น่าสะพรึง ชวนขวัญหาย
เพราะคำว่ากตัญญู กดหัวไว้ เด็กหญิงเกือบทุกราย เช็ดน้ำตาป้อย ๆ บอกลาน้องจาย ยิ้มให้อ้ายบ่าว

"น้องจะหาเงินหื้ออี่ป้ออี่แม่นัก ๆ แล้วน้องจะปิ้กมาอยู่บ้านเฮาเจ้าาาา..."
พวกเธอได้ปิ้กบ้านสมใจ ในสภาพไร้ชีวิต ปราศจากวิญญาณ อยู่เหมือนตายทั้งเป็น
และ...กลายเป็นเถ้าถ่านเกือบหมดแล้ว

*** ฉันใช้ชีวิตอยู่ เพื่ออย่างน้อยก็เป็นการให้เกียรติแด่คนไม่มีโอกาสใช้มัน!

บทความนี้กล่าวถึงการค้าประเวณีที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์นะคะ
โปรดงดเปรียบเทียบกับการเป็นโสเภณีโดยสมัครใจ
ด่าสังคม ด่ารัฐบาล ด่าความจน ด่าคนซื้อ ด่าพ่อแม่เด็ก ด่าเอเย่น พ่อเล้า แม่เลี้ยง ฯลฯ ด่าใครอะไรยังไงก็ตามใจ
กรุณาอย่าด่าเด็กหญิงที่ถูกขายเป็นสินค้ากามเลยค่ะ

ปล.เดิมทีตั้งใจเล่าในเพจเท่านั้น
แต่คิด ๆ ดูแล้ว เราเขียนบทความก็เพื่อให้ข้อมูลกับน้องนักศึกษา
ดังนั้นเผื่อมีคนอื่นกำลังสนใจเรื่องราวเหล่านี้ ก็หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์นะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่