ช่วงนี้ตลาดเขียวปี๋นะครับ อย่าลืมรักษาวินัยในการลงทุน อย่าลืมว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ครับในตลาดหุ้น ^^
เท่าที่เคยเจอมา นักลงทุนส่วนมากจะ... “ซื้อง่าย ขายยาก” ครับ เราเรียกตัวเองว่านักลงทุนนะครับ 555
เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ “ซื้อง่าย” เป็นเพราะว่า ตอนที่เราจะซื้อนั้น เรามีเหตุผลมารองรับเต็มไปหมด โลกนี้เป็นสีชมพูเต็มไปด้วยความหวัง เราสามารถมโนได้ว่าหุ้นตัวนี้จะวิ่งไปกี่บาทได้อย่างมีความสุข คงไม่มีใครเข้าซื้อพร้อมกับหวังว่าหุ้นที่เราซื้อจะลงไป -10%หรือ-20%หรอกนะครับ ถ้าลงเองโดยไม่ได้ตั้งใจนี่ไม่นับนะจ๊ะ
ต่างกับตอนจะขาย เพราะกว่าจะขายได้นี่มีแต่ความกลัว ถ้าขายตอนหุ้นกำลังวิ่งก็กลัวขายหมูบ้าง ถ้าขายตอนหุ้นมันลงก็กลัวขาดทุนเยอะ หรือกลัวว่าขายปุ๊บ มันจะเด้งใส่หน้าเราปั๊บ ยังไม่นับรวมถึงการคิดเข้าข้างตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็จะวิ่งแล้วนะ เดี๋ยวรถจะออกละ ปรากฎว่านั่งคอยในรถนานเลย รถคันข้างๆวิ่งฉิวๆ เจ็บใจขน๊าด ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเหตุของการ “ขายยาก” ทั้งสิ้น
ทำอย่างไรดีหล่ะคราวนี้ ^^
อันที่จริงไม่ต้องกังวลหรือคิดมากนะครับ ผมเชื่อว่าเหตุการณ์แบบนี้เป็นกันทุกคน เคยเจอกันทุกคน อยู่แล้วครับ เพียงแต่...เราจะทำอย่างไรเมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เราจะรับมือมันอย่างไรดี ”วางแผนการเทรด” หรือมีวินัยในการเทรดจะช่วยเราได้นะครับ
...อย่าลืมว่า...
...Unrealizedคือมายา Realizedสิจ๊ะคือของจริง...
...เขียวๆในพอร์ตคือมายา พอคลิ๊กขายมาคือของจริง...
...ขายหมู ดีกว่าอยู่ดอย...
แล้วก็อย่าลืมนะครับ เรื่องสำคัญ2ข้อของเรา
1. รักษาเงินต้น
2. อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน
มาเข้าเรื่องกันเสียที เหะๆ มีแต่น้ำมานานละขอเข้าเนื้อหาหน่อย(อาจจะเป็นน้ำอีกก็ได้นะครับ อย่าตั้งความหวัง)
หลักๆวิธีที่ผมใช้ในการหาจุดออกของแต่ละการเทรดก็เหมือนตำราทั่วไปแหล่ะครับ มันอยู่ว่าตอนนั้นเราเองจะกล้าคลิ๊ก “ขาย” มั๊ย 555
- Profit Protection(PP)
- Trailing Stop Loss(TSL)
- หลุดแนวรับสำคัญ
- Stop loss @8%
- Big Down Bar
#Profit Protection(PP)#
เคสนี้เราใช้ในกรณีที่ได้กำไรมาในระดับนึงแล้วนะครับ เน้นว่าได้กำไรนะครับ ไม่ใช่ขาดทุนแล้วขาย...อันนั้นเรียกcut lossแล้วครับ ^^
กำไรในระดับนึงนี่ประมาณเท่าไหร่? ...อย่างน้อยผมคิดว่าต้องได้กำไรเกิน20%นะครับ เราถึงเริ่มพิจารณาที่จะใช้PP
แล้วจะPPที่เท่าไหร่? ...อันนี้แล้วแต่ความพึงพอใจส่วนบุคคลเลยครับ แต่ส่วนใหญ่ก็ใช้ 70%PP หรือ 80%PP ถึงจะเห็นน้ำเห็นเนื้อหน่อย
แล้วPPอย่างไรนิ? ...อันนี้ควรอยู่ก่อนคำถามข้างบนมั๊ย 555 ไม่เป็นไรครับ อยู่ไหนก็เหมือนกัน เพราะเรามีจุดหมายคือดอยเดียวกัน ^^
Profit Protection ง่ายๆ คือการรักษากำไรที่เราได้มา จะเกี่ยวกับกฎข้อที่2ด้านบนนะครับ “อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน”
เนื่องจากในตลาดหุ้นมันไม่มีอะไรแน่นอน และเราไม่รู้อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง เพราะฉนั้นหากเราได้กำไรมาถึงระดับหนึ่งแล้ว เราควรที่จะต้องรักษากำไรในการเทรดไม้นั้นไว้ให้ได้นะครับ
ยกตัวอย่างเลยละกัน
สมมติว่าเราซื้อหุ้นตัวนึงมาราคา 100 บาท ราคาตอนนี้คือ 120 บาท นั่นหมายความว่า ตอนนี้เราได้กำไรหุ้นตัวนี้มา 20% หรือ 20 บาทแล้วนะครับ
คราวนี้เราวาง 80%PP ไว้นะครับ นั่นคือ 80%ของ20(กำไร) = 16 บาท หมายความว่าเราจะตั้งจุดPPไว้ที่ 116 บาทครับ
แล้วถ้าเราวาง 70%PP ไว้หล่ะ นั่นคือ 70%ของ20(กำไร) = 14 บาท หมายความว่าเราจะตั้งจุดPPไว้ที่ 114 บาทครับ
ลอง30%บ้าง...สมมติว่าเราซื้อหุ้นตัวนึงมาราคา 100 บาท ราคาตอนนี้คือ 130 บาท นั่นหมายความว่า ตอนนี้เราได้กำไรหุ้นตัวนี้มา 30% หรือ 30 บาทแล้วนะครับ
คราวนี้เราวาง 80%PP ไว้นะครับ นั่นคือ 80%ของ30(กำไร) = 24 บาท หมายความว่าเราจะตั้งจุดPPไว้ที่ 124 บาทครับ
แล้วถ้าเราวาง 70%PP ไว้หล่ะ นั่นคือ 70%ของ30(กำไร) = 21 บาท หมายความว่าเราจะตั้งจุดPPไว้ที่ 121 บาทครับ
จะเห็นว่าการวางPPจะช่วยรักษากำไรของเราเอาไว้นะครับ แล้วพอราคาขยับขึ้นไป ได้กำไรมากขึ้น เราก็ขยับจุดPPตามขึ้นไปด้วย ชิวๆเน๊อะ คราวนี้จะเลือกใช้ 70%หรือ80% เราก็อาจดูเพิ่มเติมจากการพฤติกรรมการเหวี่ยงของหุ้นประกอบด้วยก็ได้ครับ หากเหวี่ยงเยอะ(เหวี่ยงลงแล้วต้องขึ้นคืนไปนะ) ก็อาจเผื่อไว้เป็น70%PP ไม่ค่อยเหวี่ยงก็อาจใช้ 80%PP ก็เป็นได้
ง่ายมั๊ยครับ? ง่ายเน๊อะ แต่ทำไมทำไม่ได้...ปัญหาคือมันยังไม่มีตัวไหนถึง20%เล้ยยยย อิอิ เอ๊า..สู้ๆกันต่อไป ^^
#Trailing Stop Loss(TSL)#
ในส่วนของTrailing Stop Lossนั้น โดยมากก็จะใช้ในกรณีที่หุ้นที่เราเข้าซื้อราคาวิ่งไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้แล้ว แต่ดูแนวโน้มว่ายังไปต่อได้อีก(บอกแล้วว่าเราต้องมโนกันบ้าง) แล้วเราจะทำอย่างไรดีเมื่อเจอแบบนี้
ติ๊กต๊อกๆ...เราก็จะปล่อยให้เค้าวิ่งไปเรื่อยๆครับ Let Profit Run แหม...ฟังดูดี มีชาติตระกูลมั่กๆ เริ่ดหรูอลังการ เอาแบบมีหลักการหน่อยมั๊ย โดยปกติหลักของการทำTrailing Stop Lossจะมีดังต่อไปนี้
- เมื่อมีการทำNew High ให้เราขยับจุดStop Lossไปไว้ที่ราคาต่ำสุดของวันก่อนหน้านี้
- เมื่อมีการทำNew High แต่ราคาต่ำสุดของวันก่อนหน้าสูงกว่าราคาต่ำสุดของวันนี้ ให้ใช้ราคาต่ำสุดของวันนี้เป็นจุดStop Loss
- เมื่อราคาหลุดจุดStop Lossที่วางไว้(ซึ่งจะขยับไปมา) ขายทิ้งเก็บกำไรจร้า
ข้อดีของTrailing Stop Lossคือ ถ้าในกรณีที่หุ้นเป็นแนวโน้มขาขึ้น เราจะสามารถทำกำไรได้เยอะขึ้น เนื่องจากจุดStop Lossของเราก็จะขยับขึ้นไปเรื่อยๆครับ เรียกว่ากินกันคำโตๆ กินกันอิ่มเอมเปรมปรีด์ กินกันตะบี้ตะบันกันเลยทีเดียว
ส่วนถ้าถามว่าแล้วต่างอะไรกับPPหล่ะ ก็จะต่างกันตรงแนวทางที่เอามารักษากำไรไว้หน่ะครับ แนวทางPPคิดเป็น%ที่แน่นอนว่าต้องจะต้องรักษากำไรที่ทำได้ไว้เท่าไหร่ แนวทางTSLคือขยับจุดStop Lossไปมาตามราคาต่ำสุด แต่ทั้งสองวิธีก็เป้าหมายเดียวกันคือรักษากำไรของเราไว้ หลุดอันไหนก่อนก็ขายเอากำไรออกมาก่อนได้เลยครับ
#หลุดแนวรับสำคัญ#
สำคัญแบบไหน แบบไหนเรียกสำคัญ ย่อมา8ครั้ง ถึง9เสียที่ไหน เย้ยยย ไม่ใช่เพลงพี่ปู
แนวรับสำคัญคือแแนวรับที่ราคาย่อลงไปทดสอบหลายครั้งแล้วไม่หลุด รับแล้วเด้งๆ อย่างนี้พอเรียกได้ว่าเป็นแนวรับที่สำคัญได้(มีความแข็งแกร่ง)อย่างที่ทราบว่าโดยปกติแล้ว ราคาหุ้นก็มีความผันผวน ในขึ้นมีลง ในลงมีขึ้น มึนๆงงๆ หากในการย่อลงมาแต่ละครั้งไม่หลุดแนวรับหลัก เราก็ยังอาจถือหุ้นต่อไปได้นะครับ เพราะหุ้นบางตัวก่อนจะวิ่งก็อาจมีเขย่าเม่าได้บ้างเหมือนกัน แต่ให้มั่นใจว่าเป็นการย่อนะครับ ไม่ใช่ทิ้งน๊า ซึ่งถ้าแนวรับสำคัญเอาอยู่ มีความเป็นไปได้ครับ ที่หุ้นตัวนั้นจะได้ไปต่อ
แต่ๆๆ...ถ้ามันหลุดแนวรับที่แข็งแกร่งนี้ไปได้ ก็น่ากลัวว่ามันจะลงไปต่อได้อีก หรือแนวรับที่สำคัญนี้ก็กลายเป็นแนวต้านที่แข็งแกร่งได้เช่นกันนะเธอว์ ดูกันให้ดีครับ ไม่งั้นอาจจะต้องร้องเพลง “ไสว่าสิบ่ถิ่มกั๋น” เด้ออ้าย ^^
แนวรับสำคัญเราอาจดูพฤติกรรมหุ้นประกอบก็ได้นะครับ เช่น หุ้นเป็นแนวโน้มขาขึ้น แล้วเราลากเส้นUptrend lineปรากฎว่าเวลามันย่อตัวลงมาถึงเส้นUptrend lineที่เราตีไว้ ราคาเด้งคืนตลอด อย่างนี้เราก็ถือว่าเส้นUptrend lineเส้นนั้นมีความสำคัญทางแนวรับได้เหมือนกันครับ
หรืออาจจะใช้เส้นEMAก็ได้ครับ เช่น ดูพฤติกรรมของหุ้นตัวนี้แล้วว่าถ้าย่อมาชนEMA10เมื่อไหร่ จะเด้งคืนตลอด แสดงว่าเส้นEMA10เส้นนี้ “เอาอยู่” ครับ จะลองBack Testดูก่อนก็ได้นะครับ เพราะหุ้นแต่ละตัวเส้นEMAที่เป็นแนวรับสำคัญอาจไม่ใช่เส้นเดียวกันครับ เช่น บางตัวEMA10เอาอยู่ บางตัวย่อลึกหน่อยแต่ก็ไม่เคยหลุดEMA25เลย เลือกเส้นที่ใช่กับหุ้นที่ชอบเลยคร้าบ ฮิ้วววววว ^^
#Big Down Bar#
Big Down Barหรืออีกชื่อคือ"แท่งกลืนกิน" ลักษณะคือเป็นแท่งแดงยาว มิดแท่งเทียนก่อนหน้า พอเห็นแท่งนี้มา เราควรเตรียมตัววิ่งได้แล้วนะครับ ยิ่งถ้ามีvolumeขายเยอะๆมาเป็นแพ็คคู่ด้วยแล้ว ท่าทางจะโดนทิ้งจริงๆ อันนี้ดูง่ายเพราะจะเห็นชัดเจนมาก
แต่ว่า...เราจะเห็นแท่งกลืนกินนี้หลังตลาดปิดหน่ะสิ ทำไงดีๆ
ส่วนตัวผมจะใช้วิธีทำการบ้านก่อนครับ หุ้นในมือเราแต่ละวันต้องวางแผนให้รู้ว่า ราคาไหนเป็นราคาที่เราต้องออก(จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม) ใส่ใจเค้าสักนิดนึงนะ เค้าจะได้ไม่งอลแล้วทิ้งเราลงฟลอร์ หากเห็นราคาทิ้งดิ่งลงมาแต่ไม่มีvolumeเลย ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะมีการดันราคากลับขึ้นไปใหม่ แต่ถ้าเกิดราคาทิ้งดิ่งพร้อมกับvolumeขายกระจายแล้วละก็ ใส่รองเท้ารอเลยครับ เตรียมวิ่งหนีให้ทันเลย ^^
บางคนชอบซื้อตอนราคาหุ้นลง(เหะๆ ผมก็เป็นครับ) เพ่ราะคิดว่ามันถูก ถ้าซื้อแล้วราคาเด้งคืนทันทีก็ดีไป แต่ถ้าราคาไม่เด้งคืนแถมลงต่อเรื่อยๆหล่ะครับ ทำไงหล่ะคราวนี้ ยิ่งถัวยิ่งลง ยิ่งแข่งยิ่งแพ้ของพี่เบิร์ดนี่ลอยมาเข้าหูเลยนะครับ
#Stop Loss@8%#
อันนี้คือเสียตังค์ละครับ จุดออกด้านบนที่กล่าวมาถ้าเรามีจุดเข้าซื้อที่ดี อาจมีช่วงที่เราได้กำไรก่อนที่จะออกนะครับ แต่stop lossหรือcut lossนี่คือเสียตังค์ละ
คราวนี้มันสำคัญอย่างไร เรื่องนี้เกี่ยวกับกฎข้อแรกละครับว่าเราต้อง "รักษาเงินต้น" เงินต้นคือต้นทุนของเรานะครับ เราต้องให้ความสำคัญที่จะต้องรักษา, หวงแหวน มันไว้ให้ดีที่สุด
เอาง่ายๆว่าเราไม่มีเงินซื้อละ แล้วเจอหุ้นดีๆราคาถูก เราจะทำอะไรได้ครับ เหมือนเจอไม้งามเมื่อขวานบิ่น เจอพริตตี้งามเมื่อแฟนตามมาด้วย(ใส่ให้คล้องจองเฉยๆนะครับ) นั่งมองตาปริบๆกันเลยทีเดียว
มันจะไม่ใช่แค่เสียตังค์ละครับ ถ้าเราLet Loss Runเนี่ย มันจะมีค่าเสียโอกาสรวมอยู่ในนั้นด้วยนะครับ
คราวนี้8%เยอะไปมั๊ย...ความเห็นผมคิดว่าขึ้นกับลักษณะนิสัย,พฤติกรรมของหุ้นแต่ละตัว(อยากเรียกสั้นๆแต่กลัวโพสต์ไม่ได้ 555) และการยอมรับความเสี่ยงของเราแล้วครับว่ารับได้แค่ไหน บางทีตั้งไว้ที่5-7%ก็พอไหวครับ
อีกอย่างที่ควรระวังและทำให้เราเห็นว่าการstop lossนั้นมีความสำคัญก็คือ...รู้หมือไร่ เอ๊ย รู้หรือไม่ ว่า%ที่เราเสียไปเนี่ย เวลาจะทำคืนมาให้เท่าเดิม %มันไม่เท่ากันนะครับ เหมือนเสียไป20% เวลาจะทำคืนมาเท่าเดิม เราต้องทำ25% เลยนะครับ
สมมติว่ามี100บาท ไม่กล้าstop loss ปล่อยจนถึงขาดทุน20% เราจะเหลือทุน80บาท ซึ่งถ้าเราจะทำให้ได้คืนทุนที่100บาท เราต้องทำ25%กันเลยทีเดียวเชียว
แนวทางTechnicalไม่มีอะไร100%นะครับ อันที่จริงทุกแนวก็ไม่มีอะไรแน่นอน100% เพราะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน เขียนไปเขียนมาเริ่มจะง่วงนอน 555
เอาเป็นว่าเลือกทางที่ตนเองถนัดที่สุด แนวทางไหนทำกำไรให้เรา ก็เอาแนวทางนั้นไป และวางแผนการเทรด+รักษาวินัยทุกครั้งนะครับ
ในระยะยาว...ผมเชื่อว่าถ้าเรามีวินัย ฝึกฝนตัวเองเพียงพอ เราจะชนะตลาดได้แน่นอนครับ ลุยยยย ^^
##ลป. เอ๊ย ปล.##
1. ที่เขียนมาทั้งหมดเป็นแนวTechnicalที่ผมใช้นะครับ ไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด แค่อยากแชร์ประสบการณ์เม่าตัวน้อยๆ ที่เคยได้รับความรู้จากในห้องสินธรนี้ครับ ^^
2. ผมยังเป็นเม่าตัวน้อย น่ารักๆ ใสๆ นะครับ หากพี่ๆเพื่อนๆน้องๆ ท่านใดมีแนวทางดีๆก็เอามาแชร์และแบ่งปันกันได้เลยครับ
เป็นกำลังใจให้ทุกการลงทุนนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แวะเวียนเข้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้ที่ www.facebook.com/stocktraveller นะครับ
มุมมองกราฟ PP, TSL, etc. มาหาจุดออกกันนะ
เท่าที่เคยเจอมา นักลงทุนส่วนมากจะ... “ซื้อง่าย ขายยาก” ครับ เราเรียกตัวเองว่านักลงทุนนะครับ 555
เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ “ซื้อง่าย” เป็นเพราะว่า ตอนที่เราจะซื้อนั้น เรามีเหตุผลมารองรับเต็มไปหมด โลกนี้เป็นสีชมพูเต็มไปด้วยความหวัง เราสามารถมโนได้ว่าหุ้นตัวนี้จะวิ่งไปกี่บาทได้อย่างมีความสุข คงไม่มีใครเข้าซื้อพร้อมกับหวังว่าหุ้นที่เราซื้อจะลงไป -10%หรือ-20%หรอกนะครับ ถ้าลงเองโดยไม่ได้ตั้งใจนี่ไม่นับนะจ๊ะ
ต่างกับตอนจะขาย เพราะกว่าจะขายได้นี่มีแต่ความกลัว ถ้าขายตอนหุ้นกำลังวิ่งก็กลัวขายหมูบ้าง ถ้าขายตอนหุ้นมันลงก็กลัวขาดทุนเยอะ หรือกลัวว่าขายปุ๊บ มันจะเด้งใส่หน้าเราปั๊บ ยังไม่นับรวมถึงการคิดเข้าข้างตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็จะวิ่งแล้วนะ เดี๋ยวรถจะออกละ ปรากฎว่านั่งคอยในรถนานเลย รถคันข้างๆวิ่งฉิวๆ เจ็บใจขน๊าด ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเหตุของการ “ขายยาก” ทั้งสิ้น
ทำอย่างไรดีหล่ะคราวนี้ ^^
อันที่จริงไม่ต้องกังวลหรือคิดมากนะครับ ผมเชื่อว่าเหตุการณ์แบบนี้เป็นกันทุกคน เคยเจอกันทุกคน อยู่แล้วครับ เพียงแต่...เราจะทำอย่างไรเมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เราจะรับมือมันอย่างไรดี ”วางแผนการเทรด” หรือมีวินัยในการเทรดจะช่วยเราได้นะครับ
...อย่าลืมว่า...
...Unrealizedคือมายา Realizedสิจ๊ะคือของจริง...
...เขียวๆในพอร์ตคือมายา พอคลิ๊กขายมาคือของจริง...
...ขายหมู ดีกว่าอยู่ดอย...
แล้วก็อย่าลืมนะครับ เรื่องสำคัญ2ข้อของเรา
1. รักษาเงินต้น
2. อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน
มาเข้าเรื่องกันเสียที เหะๆ มีแต่น้ำมานานละขอเข้าเนื้อหาหน่อย(อาจจะเป็นน้ำอีกก็ได้นะครับ อย่าตั้งความหวัง)
หลักๆวิธีที่ผมใช้ในการหาจุดออกของแต่ละการเทรดก็เหมือนตำราทั่วไปแหล่ะครับ มันอยู่ว่าตอนนั้นเราเองจะกล้าคลิ๊ก “ขาย” มั๊ย 555
- Profit Protection(PP)
- Trailing Stop Loss(TSL)
- หลุดแนวรับสำคัญ
- Stop loss @8%
- Big Down Bar
#Profit Protection(PP)#
เคสนี้เราใช้ในกรณีที่ได้กำไรมาในระดับนึงแล้วนะครับ เน้นว่าได้กำไรนะครับ ไม่ใช่ขาดทุนแล้วขาย...อันนั้นเรียกcut lossแล้วครับ ^^
กำไรในระดับนึงนี่ประมาณเท่าไหร่? ...อย่างน้อยผมคิดว่าต้องได้กำไรเกิน20%นะครับ เราถึงเริ่มพิจารณาที่จะใช้PP
แล้วจะPPที่เท่าไหร่? ...อันนี้แล้วแต่ความพึงพอใจส่วนบุคคลเลยครับ แต่ส่วนใหญ่ก็ใช้ 70%PP หรือ 80%PP ถึงจะเห็นน้ำเห็นเนื้อหน่อย
แล้วPPอย่างไรนิ? ...อันนี้ควรอยู่ก่อนคำถามข้างบนมั๊ย 555 ไม่เป็นไรครับ อยู่ไหนก็เหมือนกัน เพราะเรามีจุดหมายคือดอยเดียวกัน ^^
Profit Protection ง่ายๆ คือการรักษากำไรที่เราได้มา จะเกี่ยวกับกฎข้อที่2ด้านบนนะครับ “อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน”
เนื่องจากในตลาดหุ้นมันไม่มีอะไรแน่นอน และเราไม่รู้อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง เพราะฉนั้นหากเราได้กำไรมาถึงระดับหนึ่งแล้ว เราควรที่จะต้องรักษากำไรในการเทรดไม้นั้นไว้ให้ได้นะครับ
ยกตัวอย่างเลยละกัน
สมมติว่าเราซื้อหุ้นตัวนึงมาราคา 100 บาท ราคาตอนนี้คือ 120 บาท นั่นหมายความว่า ตอนนี้เราได้กำไรหุ้นตัวนี้มา 20% หรือ 20 บาทแล้วนะครับ
คราวนี้เราวาง 80%PP ไว้นะครับ นั่นคือ 80%ของ20(กำไร) = 16 บาท หมายความว่าเราจะตั้งจุดPPไว้ที่ 116 บาทครับ
แล้วถ้าเราวาง 70%PP ไว้หล่ะ นั่นคือ 70%ของ20(กำไร) = 14 บาท หมายความว่าเราจะตั้งจุดPPไว้ที่ 114 บาทครับ
ลอง30%บ้าง...สมมติว่าเราซื้อหุ้นตัวนึงมาราคา 100 บาท ราคาตอนนี้คือ 130 บาท นั่นหมายความว่า ตอนนี้เราได้กำไรหุ้นตัวนี้มา 30% หรือ 30 บาทแล้วนะครับ
คราวนี้เราวาง 80%PP ไว้นะครับ นั่นคือ 80%ของ30(กำไร) = 24 บาท หมายความว่าเราจะตั้งจุดPPไว้ที่ 124 บาทครับ
แล้วถ้าเราวาง 70%PP ไว้หล่ะ นั่นคือ 70%ของ30(กำไร) = 21 บาท หมายความว่าเราจะตั้งจุดPPไว้ที่ 121 บาทครับ
จะเห็นว่าการวางPPจะช่วยรักษากำไรของเราเอาไว้นะครับ แล้วพอราคาขยับขึ้นไป ได้กำไรมากขึ้น เราก็ขยับจุดPPตามขึ้นไปด้วย ชิวๆเน๊อะ คราวนี้จะเลือกใช้ 70%หรือ80% เราก็อาจดูเพิ่มเติมจากการพฤติกรรมการเหวี่ยงของหุ้นประกอบด้วยก็ได้ครับ หากเหวี่ยงเยอะ(เหวี่ยงลงแล้วต้องขึ้นคืนไปนะ) ก็อาจเผื่อไว้เป็น70%PP ไม่ค่อยเหวี่ยงก็อาจใช้ 80%PP ก็เป็นได้
ง่ายมั๊ยครับ? ง่ายเน๊อะ แต่ทำไมทำไม่ได้...ปัญหาคือมันยังไม่มีตัวไหนถึง20%เล้ยยยย อิอิ เอ๊า..สู้ๆกันต่อไป ^^
#Trailing Stop Loss(TSL)#
ในส่วนของTrailing Stop Lossนั้น โดยมากก็จะใช้ในกรณีที่หุ้นที่เราเข้าซื้อราคาวิ่งไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้แล้ว แต่ดูแนวโน้มว่ายังไปต่อได้อีก(บอกแล้วว่าเราต้องมโนกันบ้าง) แล้วเราจะทำอย่างไรดีเมื่อเจอแบบนี้
ติ๊กต๊อกๆ...เราก็จะปล่อยให้เค้าวิ่งไปเรื่อยๆครับ Let Profit Run แหม...ฟังดูดี มีชาติตระกูลมั่กๆ เริ่ดหรูอลังการ เอาแบบมีหลักการหน่อยมั๊ย โดยปกติหลักของการทำTrailing Stop Lossจะมีดังต่อไปนี้
- เมื่อมีการทำNew High ให้เราขยับจุดStop Lossไปไว้ที่ราคาต่ำสุดของวันก่อนหน้านี้
- เมื่อมีการทำNew High แต่ราคาต่ำสุดของวันก่อนหน้าสูงกว่าราคาต่ำสุดของวันนี้ ให้ใช้ราคาต่ำสุดของวันนี้เป็นจุดStop Loss
- เมื่อราคาหลุดจุดStop Lossที่วางไว้(ซึ่งจะขยับไปมา) ขายทิ้งเก็บกำไรจร้า
ข้อดีของTrailing Stop Lossคือ ถ้าในกรณีที่หุ้นเป็นแนวโน้มขาขึ้น เราจะสามารถทำกำไรได้เยอะขึ้น เนื่องจากจุดStop Lossของเราก็จะขยับขึ้นไปเรื่อยๆครับ เรียกว่ากินกันคำโตๆ กินกันอิ่มเอมเปรมปรีด์ กินกันตะบี้ตะบันกันเลยทีเดียว
ส่วนถ้าถามว่าแล้วต่างอะไรกับPPหล่ะ ก็จะต่างกันตรงแนวทางที่เอามารักษากำไรไว้หน่ะครับ แนวทางPPคิดเป็น%ที่แน่นอนว่าต้องจะต้องรักษากำไรที่ทำได้ไว้เท่าไหร่ แนวทางTSLคือขยับจุดStop Lossไปมาตามราคาต่ำสุด แต่ทั้งสองวิธีก็เป้าหมายเดียวกันคือรักษากำไรของเราไว้ หลุดอันไหนก่อนก็ขายเอากำไรออกมาก่อนได้เลยครับ
#หลุดแนวรับสำคัญ#
สำคัญแบบไหน แบบไหนเรียกสำคัญ ย่อมา8ครั้ง ถึง9เสียที่ไหน เย้ยยย ไม่ใช่เพลงพี่ปู
แนวรับสำคัญคือแแนวรับที่ราคาย่อลงไปทดสอบหลายครั้งแล้วไม่หลุด รับแล้วเด้งๆ อย่างนี้พอเรียกได้ว่าเป็นแนวรับที่สำคัญได้(มีความแข็งแกร่ง)อย่างที่ทราบว่าโดยปกติแล้ว ราคาหุ้นก็มีความผันผวน ในขึ้นมีลง ในลงมีขึ้น มึนๆงงๆ หากในการย่อลงมาแต่ละครั้งไม่หลุดแนวรับหลัก เราก็ยังอาจถือหุ้นต่อไปได้นะครับ เพราะหุ้นบางตัวก่อนจะวิ่งก็อาจมีเขย่าเม่าได้บ้างเหมือนกัน แต่ให้มั่นใจว่าเป็นการย่อนะครับ ไม่ใช่ทิ้งน๊า ซึ่งถ้าแนวรับสำคัญเอาอยู่ มีความเป็นไปได้ครับ ที่หุ้นตัวนั้นจะได้ไปต่อ
แต่ๆๆ...ถ้ามันหลุดแนวรับที่แข็งแกร่งนี้ไปได้ ก็น่ากลัวว่ามันจะลงไปต่อได้อีก หรือแนวรับที่สำคัญนี้ก็กลายเป็นแนวต้านที่แข็งแกร่งได้เช่นกันนะเธอว์ ดูกันให้ดีครับ ไม่งั้นอาจจะต้องร้องเพลง “ไสว่าสิบ่ถิ่มกั๋น” เด้ออ้าย ^^
แนวรับสำคัญเราอาจดูพฤติกรรมหุ้นประกอบก็ได้นะครับ เช่น หุ้นเป็นแนวโน้มขาขึ้น แล้วเราลากเส้นUptrend lineปรากฎว่าเวลามันย่อตัวลงมาถึงเส้นUptrend lineที่เราตีไว้ ราคาเด้งคืนตลอด อย่างนี้เราก็ถือว่าเส้นUptrend lineเส้นนั้นมีความสำคัญทางแนวรับได้เหมือนกันครับ
หรืออาจจะใช้เส้นEMAก็ได้ครับ เช่น ดูพฤติกรรมของหุ้นตัวนี้แล้วว่าถ้าย่อมาชนEMA10เมื่อไหร่ จะเด้งคืนตลอด แสดงว่าเส้นEMA10เส้นนี้ “เอาอยู่” ครับ จะลองBack Testดูก่อนก็ได้นะครับ เพราะหุ้นแต่ละตัวเส้นEMAที่เป็นแนวรับสำคัญอาจไม่ใช่เส้นเดียวกันครับ เช่น บางตัวEMA10เอาอยู่ บางตัวย่อลึกหน่อยแต่ก็ไม่เคยหลุดEMA25เลย เลือกเส้นที่ใช่กับหุ้นที่ชอบเลยคร้าบ ฮิ้วววววว ^^
#Big Down Bar#
Big Down Barหรืออีกชื่อคือ"แท่งกลืนกิน" ลักษณะคือเป็นแท่งแดงยาว มิดแท่งเทียนก่อนหน้า พอเห็นแท่งนี้มา เราควรเตรียมตัววิ่งได้แล้วนะครับ ยิ่งถ้ามีvolumeขายเยอะๆมาเป็นแพ็คคู่ด้วยแล้ว ท่าทางจะโดนทิ้งจริงๆ อันนี้ดูง่ายเพราะจะเห็นชัดเจนมาก
แต่ว่า...เราจะเห็นแท่งกลืนกินนี้หลังตลาดปิดหน่ะสิ ทำไงดีๆ
ส่วนตัวผมจะใช้วิธีทำการบ้านก่อนครับ หุ้นในมือเราแต่ละวันต้องวางแผนให้รู้ว่า ราคาไหนเป็นราคาที่เราต้องออก(จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม) ใส่ใจเค้าสักนิดนึงนะ เค้าจะได้ไม่งอลแล้วทิ้งเราลงฟลอร์ หากเห็นราคาทิ้งดิ่งลงมาแต่ไม่มีvolumeเลย ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะมีการดันราคากลับขึ้นไปใหม่ แต่ถ้าเกิดราคาทิ้งดิ่งพร้อมกับvolumeขายกระจายแล้วละก็ ใส่รองเท้ารอเลยครับ เตรียมวิ่งหนีให้ทันเลย ^^
บางคนชอบซื้อตอนราคาหุ้นลง(เหะๆ ผมก็เป็นครับ) เพ่ราะคิดว่ามันถูก ถ้าซื้อแล้วราคาเด้งคืนทันทีก็ดีไป แต่ถ้าราคาไม่เด้งคืนแถมลงต่อเรื่อยๆหล่ะครับ ทำไงหล่ะคราวนี้ ยิ่งถัวยิ่งลง ยิ่งแข่งยิ่งแพ้ของพี่เบิร์ดนี่ลอยมาเข้าหูเลยนะครับ
#Stop Loss@8%#
อันนี้คือเสียตังค์ละครับ จุดออกด้านบนที่กล่าวมาถ้าเรามีจุดเข้าซื้อที่ดี อาจมีช่วงที่เราได้กำไรก่อนที่จะออกนะครับ แต่stop lossหรือcut lossนี่คือเสียตังค์ละ
คราวนี้มันสำคัญอย่างไร เรื่องนี้เกี่ยวกับกฎข้อแรกละครับว่าเราต้อง "รักษาเงินต้น" เงินต้นคือต้นทุนของเรานะครับ เราต้องให้ความสำคัญที่จะต้องรักษา, หวงแหวน มันไว้ให้ดีที่สุด
เอาง่ายๆว่าเราไม่มีเงินซื้อละ แล้วเจอหุ้นดีๆราคาถูก เราจะทำอะไรได้ครับ เหมือนเจอไม้งามเมื่อขวานบิ่น เจอพริตตี้งามเมื่อแฟนตามมาด้วย(ใส่ให้คล้องจองเฉยๆนะครับ) นั่งมองตาปริบๆกันเลยทีเดียว
มันจะไม่ใช่แค่เสียตังค์ละครับ ถ้าเราLet Loss Runเนี่ย มันจะมีค่าเสียโอกาสรวมอยู่ในนั้นด้วยนะครับ
คราวนี้8%เยอะไปมั๊ย...ความเห็นผมคิดว่าขึ้นกับลักษณะนิสัย,พฤติกรรมของหุ้นแต่ละตัว(อยากเรียกสั้นๆแต่กลัวโพสต์ไม่ได้ 555) และการยอมรับความเสี่ยงของเราแล้วครับว่ารับได้แค่ไหน บางทีตั้งไว้ที่5-7%ก็พอไหวครับ
อีกอย่างที่ควรระวังและทำให้เราเห็นว่าการstop lossนั้นมีความสำคัญก็คือ...รู้หมือไร่ เอ๊ย รู้หรือไม่ ว่า%ที่เราเสียไปเนี่ย เวลาจะทำคืนมาให้เท่าเดิม %มันไม่เท่ากันนะครับ เหมือนเสียไป20% เวลาจะทำคืนมาเท่าเดิม เราต้องทำ25% เลยนะครับ
สมมติว่ามี100บาท ไม่กล้าstop loss ปล่อยจนถึงขาดทุน20% เราจะเหลือทุน80บาท ซึ่งถ้าเราจะทำให้ได้คืนทุนที่100บาท เราต้องทำ25%กันเลยทีเดียวเชียว
แนวทางTechnicalไม่มีอะไร100%นะครับ อันที่จริงทุกแนวก็ไม่มีอะไรแน่นอน100% เพราะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน เขียนไปเขียนมาเริ่มจะง่วงนอน 555
เอาเป็นว่าเลือกทางที่ตนเองถนัดที่สุด แนวทางไหนทำกำไรให้เรา ก็เอาแนวทางนั้นไป และวางแผนการเทรด+รักษาวินัยทุกครั้งนะครับ
ในระยะยาว...ผมเชื่อว่าถ้าเรามีวินัย ฝึกฝนตัวเองเพียงพอ เราจะชนะตลาดได้แน่นอนครับ ลุยยยย ^^
##ลป. เอ๊ย ปล.##
1. ที่เขียนมาทั้งหมดเป็นแนวTechnicalที่ผมใช้นะครับ ไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด แค่อยากแชร์ประสบการณ์เม่าตัวน้อยๆ ที่เคยได้รับความรู้จากในห้องสินธรนี้ครับ ^^
2. ผมยังเป็นเม่าตัวน้อย น่ารักๆ ใสๆ นะครับ หากพี่ๆเพื่อนๆน้องๆ ท่านใดมีแนวทางดีๆก็เอามาแชร์และแบ่งปันกันได้เลยครับ
เป็นกำลังใจให้ทุกการลงทุนนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้