#กว่าจะมาเป็นพี่ลีโอในวันนี้
ย้อนรอยการเข้าชิงออสการ์ของลีโอนาร์โด ดิคาร์ปริโอ ที่กว่าจะได้รางวัลอคาเดมี อวอร์ด-หรือออสการ์ที่เห็นๆ กันจนเป็นมีมให้ล้อกันได้ทุกวันนี้นั้น พี่แกเข้าชิงออสการ์มาแล้วอย่างดุเดือดถึง 5 ครั้ง
และในครั้งที่ 5 นี่เองที่คว้ารางวัลอันทรงเกียรติมาจนได้ (/ล้องห้าย)
ครั้งที่ 1
การเข้าชิงออสการ์ครั้งแรกของลีโอนาร์โดนั้น เกิดขึ้นเมื่อปี 1994 ในออสการ์ครั้งที่ 67 -เขาอายุได้ 19 ปี รับบทเป็นอาร์นี่ เกรป-เด็กหนุ่มบกพร่องทางสมอง น้องชายคนเล็กของกิลเบิร์ต เกรป (จอห์นนี่ เด็ปป์) ซึ่งบทนี้ส่งให้เขาเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และเป็นการแจ้งเกิดเขาในบทบาทนักแสดงหนุ่มหน้าหล่อที่มีฝีไม้ลายมือทางการแสดงน่าจับตามองมากๆ
อย่างไรก็ดี ในปีนั้น คนที่คว้ารางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมไปคือทอมมี ลี โจนส์ จากบทตำรวจผู้ต้องแบกรับภาระแยกผิดชอบชั่วดีจากคดีฆาตกรรมภรรยาของด็อกเตอร์คนหนึ่งใน The Fugitive (1993)
ครั้งที่ 2
ออสการ์ครั้งที่ 77 ในปี 2005 ลีโอนาร์โดเข้าชิงรางวัลเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต ในรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จาก The Aviator (2004) ผลงานการกำกับของมาร์ติน สกอร์เซซี ว่าด้วยชีวประวัตินักบินและนักทำหนังที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและแรงเสียดทานในชีวิต
แต่คนที่คว้าออสการ์นำชายในปีนั้นไปคือเจมี่ ฟ็อกซ์จาก Ray (2004) รับบทเป็นเรย์ ชาร์ลส นักดนตรีตาบอดชาวอเมริกัน ที่หลายสำนักวิจารณ์ว่าฟ็อกซ์เล่นเนี้ยบกริบในทุกรายละเอียดอย่างปฏิเสธไม่ได้
อย่างไรก็ดี ปีนี้เป็นปีที่ลีโอเข้าชิงออสการ์สาขาเดียวกับจอห์นนี่ เด็ปป์ ซึ่งเข้าชิงนำชายจากเรื่อง Finding Neverland (2004)
ครั้งที่ 3
และในออสการ์ครั้งที่ 79 ปี 2007 Blood Diamond (2006) ก็ส่งลีโอนาร์โดเข้าชิงนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอีกครั้ง ในบททหารรับจ้างที่เดินทางเข้าสู่ซิมบับเว ออกตามหาเพชรสีชมพูลึกลับที่อาจเปลี่ยนสถานภาพและชีวิตของเขาได้ ลีโอนาร์โดค่อยๆ มอบความเปราะบางของตัวละครแดนนี่ให้คนดูรับรู้ จากทหารรับจ้างละโมบสู่ชายหนุ่มผู้มีเบื้องหลังอันเจ็บช้ำที่ค่อยๆ ทำให้เข้าใจถึงความโลภของผู้คนในยุคสมัยใหม่ ที่ซึ่งเพชรอาจมีค่ามากกว่าชีวิตคน
แต่แม้บทจะดี จะส่งแค่ไหน ออสการ์ก็ตกเป็นของฟอเรสต์ วิตเทกเกอร์ จาก The Last King of Scotland (2006) ในบทไอดี อามิน-ผู้นำจอมเผด็จการในประเทศอูกันดา ที่การขึ้นครองตำแหน่งของเขาระหว่างปี 1971-1979 นั้น มีชาวอูกันดาเสียชีวิตสูงถึง 300,000 ราย
ครั้งที่ 4
หลังจากหายหน้าหายตาไปอยู่เจ็ดปี ในที่สุด ปี 2014 ลีโอนาร์โดก็กลับมาท้าชิงออสการ์อีกครั้งใน The Wolf of Wall Street (2013) แต่เป็นสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งนักวิจารณ์หลายสำนักลงความเห็นว่าด้วยตัวบทจอร์แดน เบลฟอร์ต นักธุรกิจหนุ่มจอมฉวยโอกาสปั่นเงินจนรวยสุดขีดในเวลาไม่กี่ปี กลับต้องโดนกฎหมายเล่นงานจนพังเละไม่เป็นท่าทั้งบริษัท-ภายใต้การกำกับของมาร์ติน สกอร์เซซี น่าจะส่งให้เขาลอยลำคว้าออสการ์นำชายได้สบายๆ แต่พี่ลีโอก็ไม่ได้เข้าชิงนำชายในปีนี้แต่อย่างใด
โดยภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในออสการ์ครั้งที่ 86 นี้นั้น คือ 12 Years a Slave (2013) กำกับโดยสตีฟ แม็คควีน
ครั้งที่ 5
และการเข้าชิงออสการ์ครั้งที่ 5 หลังจากคว้าน้ำเหลวมานานของลีโอนาร์โด ดิคาร์ปริโอ คือออสการ์ครั้งที่ 88 ที่เขาเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายจาก The Revenant (2015) ในบทชายผู้รอดจากความตายและใช้ชีวิตที่เหลือมุ่งไปกับการแก้แค้นให้ลูกชายซึ่งถูกฆ่าตายอย่างโดดเดี่ยว
อันที่จริงปีนี้ถือว่าผู้เข้าชิงนักแสดงนำชายแข็งไม่แพ้ปีก่อนๆ นับตั้งแต่แมตต์ ดาม่อนใน The Martian (2015) หรือเอดดี เรดเมย์น จาก The Danish Girl (2015) แต่บทบาทชนพื้นเมืองผู้รอดตายกลับมาได้ของลีโอนั้นก็ไม่น้อยหน้าทีเดียว และการคว้ารางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกของเขานั้นก็ไม่ขัดสายตาคณะกรรมการและผู้ชมแต่อย่างใด
จากนี้ไปก็ยังเป็นกำลังใจให้พี่ลีโอรับเล่นบทดีๆ คว้ารางวัลมานอนกอดต่อไปเยอะๆ นะจ๊ะ
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันนะคะ
Page:
https://www.facebook.com/llkhimll
Blog:
http://llkhimll.wordpress.com/
ย้อนรอย #Oscar กว่าจะมาเป็นพี่ลีโอในวันนี้
ย้อนรอยการเข้าชิงออสการ์ของลีโอนาร์โด ดิคาร์ปริโอ ที่กว่าจะได้รางวัลอคาเดมี อวอร์ด-หรือออสการ์ที่เห็นๆ กันจนเป็นมีมให้ล้อกันได้ทุกวันนี้นั้น พี่แกเข้าชิงออสการ์มาแล้วอย่างดุเดือดถึง 5 ครั้ง
และในครั้งที่ 5 นี่เองที่คว้ารางวัลอันทรงเกียรติมาจนได้ (/ล้องห้าย)
ครั้งที่ 1
การเข้าชิงออสการ์ครั้งแรกของลีโอนาร์โดนั้น เกิดขึ้นเมื่อปี 1994 ในออสการ์ครั้งที่ 67 -เขาอายุได้ 19 ปี รับบทเป็นอาร์นี่ เกรป-เด็กหนุ่มบกพร่องทางสมอง น้องชายคนเล็กของกิลเบิร์ต เกรป (จอห์นนี่ เด็ปป์) ซึ่งบทนี้ส่งให้เขาเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และเป็นการแจ้งเกิดเขาในบทบาทนักแสดงหนุ่มหน้าหล่อที่มีฝีไม้ลายมือทางการแสดงน่าจับตามองมากๆ
อย่างไรก็ดี ในปีนั้น คนที่คว้ารางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมไปคือทอมมี ลี โจนส์ จากบทตำรวจผู้ต้องแบกรับภาระแยกผิดชอบชั่วดีจากคดีฆาตกรรมภรรยาของด็อกเตอร์คนหนึ่งใน The Fugitive (1993)
ครั้งที่ 2
ออสการ์ครั้งที่ 77 ในปี 2005 ลีโอนาร์โดเข้าชิงรางวัลเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต ในรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จาก The Aviator (2004) ผลงานการกำกับของมาร์ติน สกอร์เซซี ว่าด้วยชีวประวัตินักบินและนักทำหนังที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและแรงเสียดทานในชีวิต
แต่คนที่คว้าออสการ์นำชายในปีนั้นไปคือเจมี่ ฟ็อกซ์จาก Ray (2004) รับบทเป็นเรย์ ชาร์ลส นักดนตรีตาบอดชาวอเมริกัน ที่หลายสำนักวิจารณ์ว่าฟ็อกซ์เล่นเนี้ยบกริบในทุกรายละเอียดอย่างปฏิเสธไม่ได้
อย่างไรก็ดี ปีนี้เป็นปีที่ลีโอเข้าชิงออสการ์สาขาเดียวกับจอห์นนี่ เด็ปป์ ซึ่งเข้าชิงนำชายจากเรื่อง Finding Neverland (2004)
ครั้งที่ 3
และในออสการ์ครั้งที่ 79 ปี 2007 Blood Diamond (2006) ก็ส่งลีโอนาร์โดเข้าชิงนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอีกครั้ง ในบททหารรับจ้างที่เดินทางเข้าสู่ซิมบับเว ออกตามหาเพชรสีชมพูลึกลับที่อาจเปลี่ยนสถานภาพและชีวิตของเขาได้ ลีโอนาร์โดค่อยๆ มอบความเปราะบางของตัวละครแดนนี่ให้คนดูรับรู้ จากทหารรับจ้างละโมบสู่ชายหนุ่มผู้มีเบื้องหลังอันเจ็บช้ำที่ค่อยๆ ทำให้เข้าใจถึงความโลภของผู้คนในยุคสมัยใหม่ ที่ซึ่งเพชรอาจมีค่ามากกว่าชีวิตคน
แต่แม้บทจะดี จะส่งแค่ไหน ออสการ์ก็ตกเป็นของฟอเรสต์ วิตเทกเกอร์ จาก The Last King of Scotland (2006) ในบทไอดี อามิน-ผู้นำจอมเผด็จการในประเทศอูกันดา ที่การขึ้นครองตำแหน่งของเขาระหว่างปี 1971-1979 นั้น มีชาวอูกันดาเสียชีวิตสูงถึง 300,000 ราย
ครั้งที่ 4
หลังจากหายหน้าหายตาไปอยู่เจ็ดปี ในที่สุด ปี 2014 ลีโอนาร์โดก็กลับมาท้าชิงออสการ์อีกครั้งใน The Wolf of Wall Street (2013) แต่เป็นสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งนักวิจารณ์หลายสำนักลงความเห็นว่าด้วยตัวบทจอร์แดน เบลฟอร์ต นักธุรกิจหนุ่มจอมฉวยโอกาสปั่นเงินจนรวยสุดขีดในเวลาไม่กี่ปี กลับต้องโดนกฎหมายเล่นงานจนพังเละไม่เป็นท่าทั้งบริษัท-ภายใต้การกำกับของมาร์ติน สกอร์เซซี น่าจะส่งให้เขาลอยลำคว้าออสการ์นำชายได้สบายๆ แต่พี่ลีโอก็ไม่ได้เข้าชิงนำชายในปีนี้แต่อย่างใด
โดยภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในออสการ์ครั้งที่ 86 นี้นั้น คือ 12 Years a Slave (2013) กำกับโดยสตีฟ แม็คควีน
ครั้งที่ 5
และการเข้าชิงออสการ์ครั้งที่ 5 หลังจากคว้าน้ำเหลวมานานของลีโอนาร์โด ดิคาร์ปริโอ คือออสการ์ครั้งที่ 88 ที่เขาเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายจาก The Revenant (2015) ในบทชายผู้รอดจากความตายและใช้ชีวิตที่เหลือมุ่งไปกับการแก้แค้นให้ลูกชายซึ่งถูกฆ่าตายอย่างโดดเดี่ยว
อันที่จริงปีนี้ถือว่าผู้เข้าชิงนักแสดงนำชายแข็งไม่แพ้ปีก่อนๆ นับตั้งแต่แมตต์ ดาม่อนใน The Martian (2015) หรือเอดดี เรดเมย์น จาก The Danish Girl (2015) แต่บทบาทชนพื้นเมืองผู้รอดตายกลับมาได้ของลีโอนั้นก็ไม่น้อยหน้าทีเดียว และการคว้ารางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกของเขานั้นก็ไม่ขัดสายตาคณะกรรมการและผู้ชมแต่อย่างใด
จากนี้ไปก็ยังเป็นกำลังใจให้พี่ลีโอรับเล่นบทดีๆ คว้ารางวัลมานอนกอดต่อไปเยอะๆ นะจ๊ะ
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันนะคะ
Page: https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: http://llkhimll.wordpress.com/