เธอหลงรักการเดินทาง เหมือนฉันไหม ถึงแม้จะไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด แต่มันก็สนุก ที่ได้เรียนรู้ในการเดินทาง พบปะ กับใครต่อใคร ที่ไม่รู้จักมาก่อน
มองมุมต่าง ด่านพรมแดนคลองลึก
ธงชาติไทยและธงชาติกัมพูชาโบกสบัดไหว ๆ สลับสับหว่างกันไปบนยอดซุ้มประตู้กั้นเขตแดน นาฬิกาบอกเวลา 06.00 น. ประตูกั้นพรมแดนเปิดออก ความพลุ่กพล่าน เร่งรีบ แข่งกับเวลา ของเหล่าพ่อค้า แม่ค้า นักเรียน นักศึกษา และผู้ใช้แรงงาน ก็หลั่งไหลดั่งสายธารมนุษย์ การดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
เมื่อพูดถึงบริเวณ ‘ด่านพรมแดนคลองลึก’ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ‘โรงเกลือ’ เราก็มักจะนึกถึงตลาดขนาดใหญ่ที่ขายสินค้าหลากหลาย โดยเฉพาะของเลียนแบบแบรนด์ดังต่าง ๆ ที่นับได้ว่าเป็นต้นทางของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่เข้ามาซื้อเพื่อไปขายต่อ เป็นแหล่งท่องเที่ยวของทั้งคนไทยและต่างชาติ แต่จะมีสักกี่คนที่จะมองเห็นถึงบางสิ่งที่ขับเคลื่อนให้สถานที่แห่งนี้มีชีวิตนั่นก็คือภาพของความหลากหลายของการดำเนินชีวิตและการประกอบสัมมาอาชีพของชาวกัมพูชาบนฝั่งพรมแดนประเทศไทย มีหลายสิ่งที่แปลกตา มีหลายอาชีพที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ มีบางมุมที่สดใส และมีบางมุมที่มืดมน มีความเหลื่อมล้ำให้เห็นได้อย่างชัดเจน เป็นอีกมุมมองหนึ่งเมื่อมาถึงก็ไม่ควรพลาดไปชม ชิม และเก็บภาพเอาไว้
เวลา 05.55 น. ณ สถานีรถไฟหัวลำโพง ล้อรถไฟสายตะวันออกหมุนกระทบกับรางเหล็กเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด แรงกระชากระหว่างโบกี้ทำให้ผู้โดยสารกระตุกเล็กน้อย เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าการเดินทางได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เหล่าพ่อค้าแม่ค้าเดินสวนกันไปมาเพื่อขายอาหารและเครื่องดื่ม ลุงแก่ ๆ คนหนึ่งเดินขายผ้าปิดปากและจมูก แต่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจนัก อาหารและเครื่องดื่มที่พ่อค้าแม่ค้าถือตระกร้ามาขายบนรถไฟมีตั้งแต่ราคาที่พอรับได้ไปจนถึงราคาค่อนข้างแพงเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับคุณภาพ
ห่างไกลออกไปกว่า 255 กิโลเมตร‘สถานีอรัญประเทศ’ คือจุดหมายปลายทางที่รถไฟกำลังมุ่งหน้าไป การจัดระเบียบผู้โดยสารบนรถไฟค่อนข้างแปลกตา เนื่องจากสายนี้เป็นรถไฟฟรี ซึ่งใครจะนั่งตรงไหนก็ได้ แต่ก่อนออกเดินทางได้จัดให้ผู้โดยสารต่างชาติส่วนใหญ่ไปอยู่โบกี้ที่ 2 จากทั้งหมด 3 โบกี้ นอกจากผู้โดยสารคนไทยและต่างชาติแล้ว ยังมีผู้โดยสารที่เป็นชาวกัมพูชาปะปนมาหลายคนเลยทีเดียว และส่วนใหญ่จะอยู่โบกี้ท้ายสุด
การโดยสารทางรถไฟเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง เพราะเทียบกับรถยนต์หรือรถตู้แล้ว การโดยสารทางรถไฟจะช้ากว่ากันประมาณ 1 ชั่วโมง เนื่องจากเส้นทางรถไฟจะสั้นกว่าถนน บนรถไฟเราสามารถเปลี่ยนอริยาบถได้ตามต้องการ มีห้องน้ำ มีอาหารและเครื่องดื่ม แต่เมื่อมีข้อดีก็มีข้อเสีย คือรถไฟจะจอดเกือบทุกสถานีตามรายทาง และเนื่องจากเป็นรถไฟชั้น 3 จึงจะมีฝุ่นเข้ามาตลอดการเดินทาง ตอนนี้ก็นึกถึงคุณลุงขายผ้าปิดปากขึ้นมาทันที แต่คุณลุงก็อันตรธานหายไปแล้ว จึงต้องนั่งดมฝุ่นกันไปอีกหลายชั่วโมงเลยทีเดียว
แม้การเดินทางครั้งนี้จะต้องคลุกฝุ่นบนรถไฟ แต่บรรยากาศในการนั่งรถไฟก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจเป็นอย่างมาก ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนอดีตไปในช่วงเวลาหนึ่งที่การเดินทางด้วยรถไฟค่อนข้างเป็นที่นิยม ภาพตรงหน้ารู้สึกได้ว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากภาพที่เห็นในอดีตเท่าไหร่ และยังได้เห็นวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปตามพื้นที่ที่รถไฟวิ่งผ่านในแต่ละท้องถิ่นเป็นภาพที่แปลกตาน่าชมไม่น้อยเลย
นอกจากความคลาสสิคของรถไฟแล้ว ยังสังเกตุได้ว่าผู้โดยสารคนไทยหลาย ๆ คนต่างก็ทักทายกันอย่างสนิทสนม ทั้งที่ต่างคนก็ไม่ได้มาด้วยกันแต่อย่างใด คาดว่าคงโดยสารรถไฟสายนี้เป็นประจำจนคุ้นเคยกันบ้างก็พูดคุยข้ามกันไปมาตลอดทาง บ้างก็แลกหนังสือพิมพ์กันอ่าน บ้างก็ตั้งวงส่องพระเครื่องพร้อมทั้งวิจารณ์กันอย่างครื้นเครง อีกทั้งยังหันมาทักทายและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนร่วมทางหน้าใหม่ ทำให้การเดินทางครั้งนี้ไม่น่าเบื่อและก่อให้เกิดความประทับใจมากขึ้นไปอีก
เวลาประมาณ12.00 น. รถไฟชลอความเร็วลง ค่อย ๆ วิ่งผ่านป้ายสถานี‘อรัญประทศ’ อย่างช้า ๆ จนจอดสนิทที่หน้าสถานี ทุกคนต่อคิวกันลงรถอย่างเป็นระเบียบ เรามาถึงที่หมายช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย สิ่งแรกที่ผู้โดยสารส่วนใหญ่ทำหลังลงจากรถไฟคือ เข้าไปล้างหน้าล้างหัวกันในห้องน้ำ เนื่องจากโดนฝุ่นเกาะตามเสื้อผ้า ร่างกาย และเส้นผม ใครใส่เสื้อผ้าสีอ่อนมาก็จะเห็นได้อย่างชัดเจน สภาพเส้นผมนั้นเหนียวและแข็งราวกับไม้กวาด บางคนโชคดีเตรียมผ้าหรือหมวกมาปิดระหว่างเดินทาง แต่กระนั้นสิ่งหนึ่งที่จะติดตัวทุกคนไปคือกลิ่นเขม่าเหล็กซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของการโดยสารรถไฟชั้น 3 ระยะทางไกล กลิ่นคล้าย ๆ สนิมจะติดตามร่างกายและเสื้อผ้าไปตลอด จนกว่าจะชำระล้างร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ หากมีน้ำหอมพกติดตัวมาด้วยก็จะช่วยได้มาก
จุดหมายต่อไปของเรานั่นก็คือ ‘ด่านพรมแดนคลองลึก’ จากสถานีรถไฟอรัญประเทศเราสามารถเดินทางไปได้ 2 วิธี คือ รถสองแถวโดยสาร กับ รถตุ๊กตุ๊ก สำหรับรถสองแถวนั้นจะเป็นรถบรรทุกดัดแปลงเป็นสองแถวโดยสาร ค่าโดยสาร 20 บาท ส่วนรถตุ๊กตุ๊กค่าโดยสารจะอยู่ที่ประมาณ 60-80 บาท ผู้โดยสารที่มาลงสถานีอรัญประเทศส่วนใหญ่จะเลือกโดยสารไปกับรถสองแถวเพราะราคาถูกกว่าตุ๊กตุ๊กมาก แม้ว่าผู้โดยสารรถสองแถวจะอัดกันเต็มจนล้นออกมา เนื่องจากมีรถสองแถวแค่รอบเดียว แต่ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่เมื่อได้ไปสักครั้งก็ไม่ควรพลาด อีกทั้งยังได้อรรถรสในการเดินทาง ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ด้วยความอัธยาศัยดีของคนไทยก็มักจะยิ้มทักทาย รถเลี้ยวทีก็หัวเราะขบกันกันใหญ่ เพราะแค่เบียดกันก็แทบจะขยับไม่ได้อยู่แล้ว เจอแรงเหวี่ยงของรถจนโยกกันไปมาก็มองว่าเป็นเรื่องสนุกสนานกันไป พอถึงที่หมายต่างคนก็โบกมือแยกย้ายกันไปแถมรอยยิ้มพิมพ์ใจฝากไปพร้อมกัน
นาทีแรกที่สองเท้าก้าวลงจากรถ เสมือนได้ก้าวมาสู่อีกโลกหนึ่ง เนื่องจากบริเวณที่ลงรถนั้นเป็นหน้าด่านพอดี ทุกสิ่งโดยรอบดูวุ่นวายและจอแจไปด้วยผู้คน ส่วนมากจะเป็นชาวกัมพูชาที่ข้ามมาประกอบอาชีพต่าง ๆ และเมื่อกวาดสายตาไปโดยรอบล้วนมีแต่สิ่งทีแปลกตา ไม่ว่าจะเป็น อาหารประจำท้องถิ่น การดำเนินชีวิต การใช้แรงงาน เสียงระงมของผู้คนต่างภาษา หากจุดหมายที่เราต้องการเป็นตลาดโรงเกลือหรือบ่อนคาสิโนอย่างที่ใครหลาย ๆ คนมักจะมุ่งหน้าไปเป็นอันดับแรกเมื่อมาถึงที่นี่ เราก็จะไม่ได้สังเกตุเห็นอีกหลายมุมที่น่าค้นหาอย่างนี้เป็นแน่
นอกเหนือจากอาชีพผู้ค้าในตลาดโรงเกลือ สำหรับที่นี่แล้วกรรมกรแบกหามถือเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ใช้แรงงานชายกัมพูชา รถเข็นไม้คันใหญ่หลายคันต่อคิวเข้าด่านเป็นแถวยาวเหยียด แต่ละคันก็ขนสินค้าต่าง ๆ จนล้น ใช้คนเข็นไม่ต่ำกว่า 3 คนขึ้นไปแล้วแต่น้ำหนักของสินค้า นี่เป็นสิ่งแรกที่ได้เห็นและเป็นเอกลักษณ์ที่น่าตื่นตาสำหรับผู้ที่มาเยี่ยมเยือน บ้างก็เก็บภาพเหล่านี้ไว้ด้วยความประทับใจหากแต่เมื่อมองให้ลึกลงไป ผู้ชายร่างกายกำยำผิวสีคล้ำกร้านแดดเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อไคล ช่วยกันออกแรงเข็นรถไม้ยักษ์ใหญ่ไปกลับวันละหลายรอบ สีหน้าแม้จะยิ้มแย้มแจ่มใสกระนั้นก็บ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยแต่ด้วยมีเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกันมากมายจึงหยอกล้อกันไปมาทำให้คลายความเครียดไปได้มาก ภายใต้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะทุกคนต่างมีจุดประสงค์เดียวกันคือสู้เพื่อปากท้องของตนเองและครอบครัว
อีกอาชีพหนึ่งที่จะเห็นได้ประปรายโดยรอบพื้นที่ นั่นก็คือเหล่าพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ ของที่นำมาขายส่วนใหญ่จะเป็นอาหารพื้นเมืองของกัมพูชา หลายอย่างก็ช่างแปลกตา บางอย่างก็คล้าย ๆ อาหารบ้านเรา บางอย่างดูน่าลิ้มลอง แต่บางอย่างก็ยากที่จะทำใจลองชิม แต่ที่ประทับใจก็เห็นจะเป็นอัธยาศัยของพ่อค้าและแม่ค้าหาบเร่เหล่านี้ แต่ละคนล้วนยิ้มแย้มแจ่มใจ พูดไปขำไปทุกทีที่เวลาเราถามอะไรเยอะๆ ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างก็พลอยทำให้เรายิ้มตามไปด้วย
แม่ค้าสูงวัยยิ้มหวานให้พร้อมกวักมือเรียกเมื่อเราเดินผ่านเบื้องหน้าเป็นบางสิ่งมีลักษณะเป็นเม็ดกลม ๆ ดำ ๆ วางกองอยู่บนรถเข็นที่ปูด้วยอลูมิเนียม แม่ค้าพูดภาษาไทยสำเนียงกัมพูชาตามมาว่า “หอยทรายจ้ะ”หอยทรายเมื่อพิจารณาดูใกล้ ๆ จะมีลักษณะคลาย ๆ หอยตลับ แต่สีเข้มและเล็กกว่ามาก บนรถเข็นจะมีหอยทรายสดแยกไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งจะเป็นหอยทรายที่ยำไว้แล้ว แม้ไม่ได้เห็นวีธีการยำแต่สังเกตุจะมีพริกตำผสมกับเครื่องปรุงต่าง ๆ คลุกเคล้าเข้ากันแล้วก็กองไว้บนรถเข็นโดยไม่มีภาชนะใด ๆ รองรับ ยำหอยทรายรสชาติอาจจะติดคาวนิด ๆ เพราะเป็นหอยสด แต่ด้วยการยำก็น่าจะช่วยเรื่องความคาวไปได้มาก
ถัดไปไม่กี่เมตรก็จะเห็นรถเข็นแบบเดียวกับของแม่ค้าหอยทราย มองไปใกล้ ๆ ก็ไม่พ้นเมนูหอยอีกเหมือนกัน แต่ก็แตกต่างกันมากไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือวิธีการปรุง‘จากโดว’ เป็นชื่อของหอยที่ว่านี้หอยจากโดวมีลักษณะคล้ายหอยสังข์แต่ไม่มีลวดลาย สีออกเขียวเข้ม เราเข้าไปทักทายสอบถามด้วยความอยากรู้ พ่อค้ายิ้มให้พร้อมบรรจงนำหอยจากโดวลงต้มในน้ำเดือดที่ใส่ข่าตะไคร้ ใบมะกรูด และเครื่องปรุงอื่น ๆ จากนั้นนำมาผึ่งบนตระแกรงที่วางเหนือหม้ออีกที ทำให้หอยจากโดวอุ่นอยู่ตลอดเวลา
ห่างออกไปอีกฝั่งถนนก็จะมีแม่ค้าหิ้วแหนมเป็นพวง ๆ สะพายไหล่เดินขาย ลักษณะรูปร่างเหมือนแหนมตุ้มจิ๋ว แต่ที่แตกต่างคือมันทำมาจากปลา ถัดไปไม่ไกลนักก็จะเห็นรถเข็นที่มีตู้กระจกใส่วัตถุดิบบางอย่างเอาไว้ เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็เห็นว่าเป็นขนมปังคล้าย ๆ ขนมปังฝรั่งเศสขนาดเหมาะมือ มีเครื่องเคียงเป็นหมูยอ แตงกวา และซอสข้น ๆ สีน้ำตาลเข้มที่ทำจากหมูสับ วิธีกินก็ทำเหมือนเบอร์เกอร์ ผ่าขนมปังแล้วใส่ทุกอย่างที่ว่ามาลงไป ถามคุณป้าแม่ค้าที่ยืนขายก็ตอบอย่างเขินอายว่ามันคือ “ขนมปังปะแต” เป็นอีกเมนูที่น่าสนใจและมีขายทั่วไปโดยรอบ
นอกจากนี้ก็ยังมีอาหารอื่น ๆ อีกมากมายหลากหลายที่น่าลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็นยำมะม่วงกับมะกอกที่มีวิธียำแตกต่างจากที่เคยเห็น ยำตั๊กแตนกับแมงดาทอด ขนมจีนน้ำยาขมิ้นแกล้มกับผักพื้นบ้านแปลกตา และอื่นๆ อีกมากมาย นี่ก็เป็นอีกมุมที่เมื่อได้มาแล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะไปเยี่ยมชมและอุดหนุนพวกเขา
ในความวุ่นวายที่ไม่หยุดนิ่ง มีทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ยังมีบางมุมที่หม่นหมองและดูมืดมน มองลึกลงไปในตรอกเล็ก ๆ ที่เป็นทางเดินมุ่งหน้าไปสู่จุดตรวจคนเข้าเมือง เด็กน้อยชาวกัมพูชา 4 คน นอนกอดกันหลับไหลร่างกายมอมแมม มีแก้วพลาสติกเล็ก ๆ วางตรงหน้า บอกให้รู้ว่าเด็ก ๆ เหล่านี้เป็นขอทาน เกิดคำถามขึ้นในใจว่าเด็กเหล่านี้หมีผู้ปกครองหรือไม่ ถ้ามีทำไมถึงปล่อยมานั่งขอทานแบบนี้ หรือมีกลุ่มที่ใช้เด็กเป็นเครื่องมือหากิน หรืออาจจะมีเบื้องลึกมากกว่านี้ ก็ทำได้เพียงแค่ถามอยู่ในใจ พลางหยิบเงินใส่แก้วให้ไป เด็กน้อยได้แต่มองกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงออกถึงความดีใจหรือขอบคุณ แต่แววตาฉายออกมาซึ่งความเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัดเด็กน้อยเอื้อมมือหยิบเงินในแก้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกงแล้วนอนกอดกันหลับต่อไปแม้ผู้คนขวักไขว่ผ่านไปผ่านมามากมายแต่ก็ไร้ซึ่งผู้ให้ความสนใจ จะมีก็เพียงนักท่องเที่ยวขาจรที่เห็นก็อดสงสารไม่ได้
ตรอกเล็ก ๆ แห่งนี้ ยังเป็นทางเดินสะท้อนให้เห็นชีวิตที่หลากหลาย เนื่องจากเป็นจุดเดียวที่ทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติ และชาวกัมพูชา ใช้เป็นทางเดินเข้าออกระหว่างพรมแดน ช่วงเวลาบ่ายคล้อยเป็นเวลาที่เหล่านักเรียนนักศึกษาชาวกัมพูชาที่มาเรียนฝั่งประเทศไทยเดินทางกลับบ้าน เด็กกัมพูชาส่วนใหญ่จะถูกส่งเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ ถูกแพงก็แล้วแต่ฐานะของผู้ปกครอง ขอทานตัวน้อยแหงนมองเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันใส่ชุดนักเรียนเดินผ่าน ทำให้เห็นเสียงสะท้อนจากสีหน้าที่เรียบเฉยว่าขอทานตัวน้อยเหล่านั้นต่างก็มีความฝันและความปรารถนาอยู่ในใจอีกมุมหนึ่งเด็กนักเรียนชายหญิงคู่หนึ่งแต่งชุดนักเรียนค่อนข้างมอมแมม มาหยุดนั่งพักแล้วเล่นเป่าหนังยางกัน หนังยางที่ใช้ก็ดูแปลก เพราะเป็นหนังยางที่มีสีมีลายสวยงาม คนแพ้ก็ต้องเสียหนังยางให้อีกฝ่าย ดูแล้วก็เผลอยิ้มในความไร้เดียงสา
ทุกคนล้วนแต่มีหน้าที่ของตัวเอง ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ด้วยจุดประสงค์ใด ๆ ก็ตาม การมาเยือนที่ด่านพรมแดนคลองลึกครั้งนี้ทำให้เห็นว่าพวกเขาล้วนแต่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่แม้จะมีทั้งทุกข์และสุขปะปนกันไป
ล้อหมุน....ต่างแดน ในสระแก้ว
มองมุมต่าง ด่านพรมแดนคลองลึก
ธงชาติไทยและธงชาติกัมพูชาโบกสบัดไหว ๆ สลับสับหว่างกันไปบนยอดซุ้มประตู้กั้นเขตแดน นาฬิกาบอกเวลา 06.00 น. ประตูกั้นพรมแดนเปิดออก ความพลุ่กพล่าน เร่งรีบ แข่งกับเวลา ของเหล่าพ่อค้า แม่ค้า นักเรียน นักศึกษา และผู้ใช้แรงงาน ก็หลั่งไหลดั่งสายธารมนุษย์ การดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
เมื่อพูดถึงบริเวณ ‘ด่านพรมแดนคลองลึก’ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ‘โรงเกลือ’ เราก็มักจะนึกถึงตลาดขนาดใหญ่ที่ขายสินค้าหลากหลาย โดยเฉพาะของเลียนแบบแบรนด์ดังต่าง ๆ ที่นับได้ว่าเป็นต้นทางของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่เข้ามาซื้อเพื่อไปขายต่อ เป็นแหล่งท่องเที่ยวของทั้งคนไทยและต่างชาติ แต่จะมีสักกี่คนที่จะมองเห็นถึงบางสิ่งที่ขับเคลื่อนให้สถานที่แห่งนี้มีชีวิตนั่นก็คือภาพของความหลากหลายของการดำเนินชีวิตและการประกอบสัมมาอาชีพของชาวกัมพูชาบนฝั่งพรมแดนประเทศไทย มีหลายสิ่งที่แปลกตา มีหลายอาชีพที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ มีบางมุมที่สดใส และมีบางมุมที่มืดมน มีความเหลื่อมล้ำให้เห็นได้อย่างชัดเจน เป็นอีกมุมมองหนึ่งเมื่อมาถึงก็ไม่ควรพลาดไปชม ชิม และเก็บภาพเอาไว้
เวลา 05.55 น. ณ สถานีรถไฟหัวลำโพง ล้อรถไฟสายตะวันออกหมุนกระทบกับรางเหล็กเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด แรงกระชากระหว่างโบกี้ทำให้ผู้โดยสารกระตุกเล็กน้อย เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าการเดินทางได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เหล่าพ่อค้าแม่ค้าเดินสวนกันไปมาเพื่อขายอาหารและเครื่องดื่ม ลุงแก่ ๆ คนหนึ่งเดินขายผ้าปิดปากและจมูก แต่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจนัก อาหารและเครื่องดื่มที่พ่อค้าแม่ค้าถือตระกร้ามาขายบนรถไฟมีตั้งแต่ราคาที่พอรับได้ไปจนถึงราคาค่อนข้างแพงเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับคุณภาพ
ห่างไกลออกไปกว่า 255 กิโลเมตร‘สถานีอรัญประเทศ’ คือจุดหมายปลายทางที่รถไฟกำลังมุ่งหน้าไป การจัดระเบียบผู้โดยสารบนรถไฟค่อนข้างแปลกตา เนื่องจากสายนี้เป็นรถไฟฟรี ซึ่งใครจะนั่งตรงไหนก็ได้ แต่ก่อนออกเดินทางได้จัดให้ผู้โดยสารต่างชาติส่วนใหญ่ไปอยู่โบกี้ที่ 2 จากทั้งหมด 3 โบกี้ นอกจากผู้โดยสารคนไทยและต่างชาติแล้ว ยังมีผู้โดยสารที่เป็นชาวกัมพูชาปะปนมาหลายคนเลยทีเดียว และส่วนใหญ่จะอยู่โบกี้ท้ายสุด
การโดยสารทางรถไฟเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง เพราะเทียบกับรถยนต์หรือรถตู้แล้ว การโดยสารทางรถไฟจะช้ากว่ากันประมาณ 1 ชั่วโมง เนื่องจากเส้นทางรถไฟจะสั้นกว่าถนน บนรถไฟเราสามารถเปลี่ยนอริยาบถได้ตามต้องการ มีห้องน้ำ มีอาหารและเครื่องดื่ม แต่เมื่อมีข้อดีก็มีข้อเสีย คือรถไฟจะจอดเกือบทุกสถานีตามรายทาง และเนื่องจากเป็นรถไฟชั้น 3 จึงจะมีฝุ่นเข้ามาตลอดการเดินทาง ตอนนี้ก็นึกถึงคุณลุงขายผ้าปิดปากขึ้นมาทันที แต่คุณลุงก็อันตรธานหายไปแล้ว จึงต้องนั่งดมฝุ่นกันไปอีกหลายชั่วโมงเลยทีเดียว
แม้การเดินทางครั้งนี้จะต้องคลุกฝุ่นบนรถไฟ แต่บรรยากาศในการนั่งรถไฟก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจเป็นอย่างมาก ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนอดีตไปในช่วงเวลาหนึ่งที่การเดินทางด้วยรถไฟค่อนข้างเป็นที่นิยม ภาพตรงหน้ารู้สึกได้ว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากภาพที่เห็นในอดีตเท่าไหร่ และยังได้เห็นวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปตามพื้นที่ที่รถไฟวิ่งผ่านในแต่ละท้องถิ่นเป็นภาพที่แปลกตาน่าชมไม่น้อยเลย
นอกจากความคลาสสิคของรถไฟแล้ว ยังสังเกตุได้ว่าผู้โดยสารคนไทยหลาย ๆ คนต่างก็ทักทายกันอย่างสนิทสนม ทั้งที่ต่างคนก็ไม่ได้มาด้วยกันแต่อย่างใด คาดว่าคงโดยสารรถไฟสายนี้เป็นประจำจนคุ้นเคยกันบ้างก็พูดคุยข้ามกันไปมาตลอดทาง บ้างก็แลกหนังสือพิมพ์กันอ่าน บ้างก็ตั้งวงส่องพระเครื่องพร้อมทั้งวิจารณ์กันอย่างครื้นเครง อีกทั้งยังหันมาทักทายและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนร่วมทางหน้าใหม่ ทำให้การเดินทางครั้งนี้ไม่น่าเบื่อและก่อให้เกิดความประทับใจมากขึ้นไปอีก
เวลาประมาณ12.00 น. รถไฟชลอความเร็วลง ค่อย ๆ วิ่งผ่านป้ายสถานี‘อรัญประทศ’ อย่างช้า ๆ จนจอดสนิทที่หน้าสถานี ทุกคนต่อคิวกันลงรถอย่างเป็นระเบียบ เรามาถึงที่หมายช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย สิ่งแรกที่ผู้โดยสารส่วนใหญ่ทำหลังลงจากรถไฟคือ เข้าไปล้างหน้าล้างหัวกันในห้องน้ำ เนื่องจากโดนฝุ่นเกาะตามเสื้อผ้า ร่างกาย และเส้นผม ใครใส่เสื้อผ้าสีอ่อนมาก็จะเห็นได้อย่างชัดเจน สภาพเส้นผมนั้นเหนียวและแข็งราวกับไม้กวาด บางคนโชคดีเตรียมผ้าหรือหมวกมาปิดระหว่างเดินทาง แต่กระนั้นสิ่งหนึ่งที่จะติดตัวทุกคนไปคือกลิ่นเขม่าเหล็กซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของการโดยสารรถไฟชั้น 3 ระยะทางไกล กลิ่นคล้าย ๆ สนิมจะติดตามร่างกายและเสื้อผ้าไปตลอด จนกว่าจะชำระล้างร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ หากมีน้ำหอมพกติดตัวมาด้วยก็จะช่วยได้มาก
จุดหมายต่อไปของเรานั่นก็คือ ‘ด่านพรมแดนคลองลึก’ จากสถานีรถไฟอรัญประเทศเราสามารถเดินทางไปได้ 2 วิธี คือ รถสองแถวโดยสาร กับ รถตุ๊กตุ๊ก สำหรับรถสองแถวนั้นจะเป็นรถบรรทุกดัดแปลงเป็นสองแถวโดยสาร ค่าโดยสาร 20 บาท ส่วนรถตุ๊กตุ๊กค่าโดยสารจะอยู่ที่ประมาณ 60-80 บาท ผู้โดยสารที่มาลงสถานีอรัญประเทศส่วนใหญ่จะเลือกโดยสารไปกับรถสองแถวเพราะราคาถูกกว่าตุ๊กตุ๊กมาก แม้ว่าผู้โดยสารรถสองแถวจะอัดกันเต็มจนล้นออกมา เนื่องจากมีรถสองแถวแค่รอบเดียว แต่ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่เมื่อได้ไปสักครั้งก็ไม่ควรพลาด อีกทั้งยังได้อรรถรสในการเดินทาง ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ด้วยความอัธยาศัยดีของคนไทยก็มักจะยิ้มทักทาย รถเลี้ยวทีก็หัวเราะขบกันกันใหญ่ เพราะแค่เบียดกันก็แทบจะขยับไม่ได้อยู่แล้ว เจอแรงเหวี่ยงของรถจนโยกกันไปมาก็มองว่าเป็นเรื่องสนุกสนานกันไป พอถึงที่หมายต่างคนก็โบกมือแยกย้ายกันไปแถมรอยยิ้มพิมพ์ใจฝากไปพร้อมกัน
นาทีแรกที่สองเท้าก้าวลงจากรถ เสมือนได้ก้าวมาสู่อีกโลกหนึ่ง เนื่องจากบริเวณที่ลงรถนั้นเป็นหน้าด่านพอดี ทุกสิ่งโดยรอบดูวุ่นวายและจอแจไปด้วยผู้คน ส่วนมากจะเป็นชาวกัมพูชาที่ข้ามมาประกอบอาชีพต่าง ๆ และเมื่อกวาดสายตาไปโดยรอบล้วนมีแต่สิ่งทีแปลกตา ไม่ว่าจะเป็น อาหารประจำท้องถิ่น การดำเนินชีวิต การใช้แรงงาน เสียงระงมของผู้คนต่างภาษา หากจุดหมายที่เราต้องการเป็นตลาดโรงเกลือหรือบ่อนคาสิโนอย่างที่ใครหลาย ๆ คนมักจะมุ่งหน้าไปเป็นอันดับแรกเมื่อมาถึงที่นี่ เราก็จะไม่ได้สังเกตุเห็นอีกหลายมุมที่น่าค้นหาอย่างนี้เป็นแน่
นอกเหนือจากอาชีพผู้ค้าในตลาดโรงเกลือ สำหรับที่นี่แล้วกรรมกรแบกหามถือเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ใช้แรงงานชายกัมพูชา รถเข็นไม้คันใหญ่หลายคันต่อคิวเข้าด่านเป็นแถวยาวเหยียด แต่ละคันก็ขนสินค้าต่าง ๆ จนล้น ใช้คนเข็นไม่ต่ำกว่า 3 คนขึ้นไปแล้วแต่น้ำหนักของสินค้า นี่เป็นสิ่งแรกที่ได้เห็นและเป็นเอกลักษณ์ที่น่าตื่นตาสำหรับผู้ที่มาเยี่ยมเยือน บ้างก็เก็บภาพเหล่านี้ไว้ด้วยความประทับใจหากแต่เมื่อมองให้ลึกลงไป ผู้ชายร่างกายกำยำผิวสีคล้ำกร้านแดดเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อไคล ช่วยกันออกแรงเข็นรถไม้ยักษ์ใหญ่ไปกลับวันละหลายรอบ สีหน้าแม้จะยิ้มแย้มแจ่มใสกระนั้นก็บ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยแต่ด้วยมีเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกันมากมายจึงหยอกล้อกันไปมาทำให้คลายความเครียดไปได้มาก ภายใต้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะทุกคนต่างมีจุดประสงค์เดียวกันคือสู้เพื่อปากท้องของตนเองและครอบครัว
อีกอาชีพหนึ่งที่จะเห็นได้ประปรายโดยรอบพื้นที่ นั่นก็คือเหล่าพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ ของที่นำมาขายส่วนใหญ่จะเป็นอาหารพื้นเมืองของกัมพูชา หลายอย่างก็ช่างแปลกตา บางอย่างก็คล้าย ๆ อาหารบ้านเรา บางอย่างดูน่าลิ้มลอง แต่บางอย่างก็ยากที่จะทำใจลองชิม แต่ที่ประทับใจก็เห็นจะเป็นอัธยาศัยของพ่อค้าและแม่ค้าหาบเร่เหล่านี้ แต่ละคนล้วนยิ้มแย้มแจ่มใจ พูดไปขำไปทุกทีที่เวลาเราถามอะไรเยอะๆ ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างก็พลอยทำให้เรายิ้มตามไปด้วย
แม่ค้าสูงวัยยิ้มหวานให้พร้อมกวักมือเรียกเมื่อเราเดินผ่านเบื้องหน้าเป็นบางสิ่งมีลักษณะเป็นเม็ดกลม ๆ ดำ ๆ วางกองอยู่บนรถเข็นที่ปูด้วยอลูมิเนียม แม่ค้าพูดภาษาไทยสำเนียงกัมพูชาตามมาว่า “หอยทรายจ้ะ”หอยทรายเมื่อพิจารณาดูใกล้ ๆ จะมีลักษณะคลาย ๆ หอยตลับ แต่สีเข้มและเล็กกว่ามาก บนรถเข็นจะมีหอยทรายสดแยกไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งจะเป็นหอยทรายที่ยำไว้แล้ว แม้ไม่ได้เห็นวีธีการยำแต่สังเกตุจะมีพริกตำผสมกับเครื่องปรุงต่าง ๆ คลุกเคล้าเข้ากันแล้วก็กองไว้บนรถเข็นโดยไม่มีภาชนะใด ๆ รองรับ ยำหอยทรายรสชาติอาจจะติดคาวนิด ๆ เพราะเป็นหอยสด แต่ด้วยการยำก็น่าจะช่วยเรื่องความคาวไปได้มาก
ถัดไปไม่กี่เมตรก็จะเห็นรถเข็นแบบเดียวกับของแม่ค้าหอยทราย มองไปใกล้ ๆ ก็ไม่พ้นเมนูหอยอีกเหมือนกัน แต่ก็แตกต่างกันมากไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือวิธีการปรุง‘จากโดว’ เป็นชื่อของหอยที่ว่านี้หอยจากโดวมีลักษณะคล้ายหอยสังข์แต่ไม่มีลวดลาย สีออกเขียวเข้ม เราเข้าไปทักทายสอบถามด้วยความอยากรู้ พ่อค้ายิ้มให้พร้อมบรรจงนำหอยจากโดวลงต้มในน้ำเดือดที่ใส่ข่าตะไคร้ ใบมะกรูด และเครื่องปรุงอื่น ๆ จากนั้นนำมาผึ่งบนตระแกรงที่วางเหนือหม้ออีกที ทำให้หอยจากโดวอุ่นอยู่ตลอดเวลา
ห่างออกไปอีกฝั่งถนนก็จะมีแม่ค้าหิ้วแหนมเป็นพวง ๆ สะพายไหล่เดินขาย ลักษณะรูปร่างเหมือนแหนมตุ้มจิ๋ว แต่ที่แตกต่างคือมันทำมาจากปลา ถัดไปไม่ไกลนักก็จะเห็นรถเข็นที่มีตู้กระจกใส่วัตถุดิบบางอย่างเอาไว้ เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็เห็นว่าเป็นขนมปังคล้าย ๆ ขนมปังฝรั่งเศสขนาดเหมาะมือ มีเครื่องเคียงเป็นหมูยอ แตงกวา และซอสข้น ๆ สีน้ำตาลเข้มที่ทำจากหมูสับ วิธีกินก็ทำเหมือนเบอร์เกอร์ ผ่าขนมปังแล้วใส่ทุกอย่างที่ว่ามาลงไป ถามคุณป้าแม่ค้าที่ยืนขายก็ตอบอย่างเขินอายว่ามันคือ “ขนมปังปะแต” เป็นอีกเมนูที่น่าสนใจและมีขายทั่วไปโดยรอบ
นอกจากนี้ก็ยังมีอาหารอื่น ๆ อีกมากมายหลากหลายที่น่าลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็นยำมะม่วงกับมะกอกที่มีวิธียำแตกต่างจากที่เคยเห็น ยำตั๊กแตนกับแมงดาทอด ขนมจีนน้ำยาขมิ้นแกล้มกับผักพื้นบ้านแปลกตา และอื่นๆ อีกมากมาย นี่ก็เป็นอีกมุมที่เมื่อได้มาแล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะไปเยี่ยมชมและอุดหนุนพวกเขา
ในความวุ่นวายที่ไม่หยุดนิ่ง มีทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ยังมีบางมุมที่หม่นหมองและดูมืดมน มองลึกลงไปในตรอกเล็ก ๆ ที่เป็นทางเดินมุ่งหน้าไปสู่จุดตรวจคนเข้าเมือง เด็กน้อยชาวกัมพูชา 4 คน นอนกอดกันหลับไหลร่างกายมอมแมม มีแก้วพลาสติกเล็ก ๆ วางตรงหน้า บอกให้รู้ว่าเด็ก ๆ เหล่านี้เป็นขอทาน เกิดคำถามขึ้นในใจว่าเด็กเหล่านี้หมีผู้ปกครองหรือไม่ ถ้ามีทำไมถึงปล่อยมานั่งขอทานแบบนี้ หรือมีกลุ่มที่ใช้เด็กเป็นเครื่องมือหากิน หรืออาจจะมีเบื้องลึกมากกว่านี้ ก็ทำได้เพียงแค่ถามอยู่ในใจ พลางหยิบเงินใส่แก้วให้ไป เด็กน้อยได้แต่มองกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงออกถึงความดีใจหรือขอบคุณ แต่แววตาฉายออกมาซึ่งความเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัดเด็กน้อยเอื้อมมือหยิบเงินในแก้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกงแล้วนอนกอดกันหลับต่อไปแม้ผู้คนขวักไขว่ผ่านไปผ่านมามากมายแต่ก็ไร้ซึ่งผู้ให้ความสนใจ จะมีก็เพียงนักท่องเที่ยวขาจรที่เห็นก็อดสงสารไม่ได้
ตรอกเล็ก ๆ แห่งนี้ ยังเป็นทางเดินสะท้อนให้เห็นชีวิตที่หลากหลาย เนื่องจากเป็นจุดเดียวที่ทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติ และชาวกัมพูชา ใช้เป็นทางเดินเข้าออกระหว่างพรมแดน ช่วงเวลาบ่ายคล้อยเป็นเวลาที่เหล่านักเรียนนักศึกษาชาวกัมพูชาที่มาเรียนฝั่งประเทศไทยเดินทางกลับบ้าน เด็กกัมพูชาส่วนใหญ่จะถูกส่งเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ ถูกแพงก็แล้วแต่ฐานะของผู้ปกครอง ขอทานตัวน้อยแหงนมองเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันใส่ชุดนักเรียนเดินผ่าน ทำให้เห็นเสียงสะท้อนจากสีหน้าที่เรียบเฉยว่าขอทานตัวน้อยเหล่านั้นต่างก็มีความฝันและความปรารถนาอยู่ในใจอีกมุมหนึ่งเด็กนักเรียนชายหญิงคู่หนึ่งแต่งชุดนักเรียนค่อนข้างมอมแมม มาหยุดนั่งพักแล้วเล่นเป่าหนังยางกัน หนังยางที่ใช้ก็ดูแปลก เพราะเป็นหนังยางที่มีสีมีลายสวยงาม คนแพ้ก็ต้องเสียหนังยางให้อีกฝ่าย ดูแล้วก็เผลอยิ้มในความไร้เดียงสา
ทุกคนล้วนแต่มีหน้าที่ของตัวเอง ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ด้วยจุดประสงค์ใด ๆ ก็ตาม การมาเยือนที่ด่านพรมแดนคลองลึกครั้งนี้ทำให้เห็นว่าพวกเขาล้วนแต่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่แม้จะมีทั้งทุกข์และสุขปะปนกันไป