โฆษกพลังงาน โต้ รสนา ระบุ บอร์ดกองทุนอนุรักษ์พลังงานไม่มีมติเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันเพิ่มเป็น 50 สต./ลิตร ชี้เป็นเพียงการหารือในที่ประชุมเท่านั้น เตรียมทำกรอบแผนงาน 5 ปีเสนอ กพช. 11 มี.ค. 2559 เผยยอดเงินสุทธิเหลือ 36,168 ล้านบาท
นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) และโฆษกกระทรวงพลังงานเปิดเผยถึงกรณีที่น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ลงข้อความผ่านเฟซบุคส่วนตัวระบุว่า อย่าปล่อยให้กองทุนอนุรักษ์พลังงานล้วงกระเป๋าคนใช้น้ำมันอย่างมืดบอดอีกต่อไป....บอร์ดกองทุนอนุรักษ์พลังงานยังไม่ทันจะเคลียร์ยอดเงินที่ขาดหายไปจากรายงานแสดงฐานะการเงินของกองทุนฯในปี2558 อย่างครบถ้วน แต่กลับกล้าที่จะชงเรื่องล้วงกระเป๋าคนใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นลิตรละ50 สตางค์เท่ากับล้วงกระเป๋าคนใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นทีเดียว100%
ขอชี้แจงว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ไม่มีการบรรจุวาระการเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันเข้ากองทุนฯเพิ่มจาก 25 สตางค์ต่อลิตร เป็น 50 สตางค์ต่อลิตรแต่อย่างใด แต่ยอมรับว่ามีการหารือกันในที่ประชุมคณะกรรมการฯเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2559 ที่ผ่านมาจริง
เนื่องจากกรรมการบางคนเห็นว่าขณะนี้ราคาน้ำมันถูกมาก มีการใช้เพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะอาศัยจังหวะนี้เก็บเงินเข้ากองทุนฯเพิ่มได้ เพราะจะไม่กระทบต่อผู้ใช้น้ำมันมากนัก และควรเน้นการนำเงินมาส่งเสริมการการวิจัยนวัตกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะการสนับสนุนด้านภาคขนส่งที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของยานยนต์ไฟฟ้า และรถไฟฟ้า เป็นต้น สำหรับแนวคิดดังกล่าวยังไม่ได้ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการฯแต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่น.ส.รสนา ระบุ การเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมัน และนำไปสนับสนุนด้านภาคขนส่ง ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมนั้น ขอยืนยันว่า กองทุนฯทำตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานแบบภาพรวมทั้งประเทศ ทั้งภาคขนส่ง อาคาร โรงงาน ซึ่งใช้น้ำมัน ใช้ก๊าซหุงต้ม(LPG) และในภาคความร้อน เป็นต้น
สำหรับความคืบหน้ากองทุนฯ นั้น ขณะนี้คณะกรรมการฯ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแผนการใช้งบประมาณ 5 ปี (พ.ศ. 2560-2564) ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปในหลายประเด็น ได้แก่ 1.การกำหนดวงเงินสนับสนุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ซึ่งที่ผ่านมาสนับสนุนปีละ 7,000 ล้านบาท โดยที่ประชุมมีการเสนอให้ปรับเพิ่มเป็น 12,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเท่ากับ 60,000 ล้านบาทในแผน 5 ปี
2. การกำหนดสัดส่วนการใช้เงิน ซึ่ง สนพ.เสนอให้กำหนดสัดส่วนการใช้เงินด้านการอนุรักษ์พลังงาน 67% ด้านพลังงานทดแทน 30% ส่วนที่เหลือใช้ด้านกลยุทธ์ตามนโยบาย แต่ที่ประชุมยังมีความเห็นว่าควรปรับสัดส่วนให้ยืดหยุ่น โดยใช้สนับสนุนด้านการอนุรักษ์พลังงาน 57-77% และด้านพลังงานทดแทน 20-40% ทั้งนี้ที่ผ่านมายังไม่มีการกำหนดสัดส่วนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ชัดเจนมาก่อน
3. การกำหนดวัตถุประสงค์การใช้เงินว่าจะเน้นด้านใด ซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่เน้นไปที่นวัตกรรมสาธิตนำร่อง แต่ที่ประชุมมีการเสนอให้มุ่งเน้นเรื่องการค้นคว้าด้านวิจัย โดยเฉพาะนวัตกรรมเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า เพราะประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านด้านการขนส่งไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า รถไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งต้องมีการวิจัยด้านแบตเตอรี่ ด้านมอร์เตอร์ เป็นต้น
ทั้งนี้ที่ประชุมฯยังไม่ได้ข้อสรุปในประเด็นดังกล่าว ซึ่งจะมีการหารืออีกครั้งก่อนเสนอสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ในวันที่ 11 มี.ค. 2559 นี้
นายทวารัฐ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ในการประชุมฯ ที่ผ่านมา ได้รับทราบสถานะกองทุนฯ ว่ามียอดเงินสุทธิ 36,168 ล้านบาท มีเงินไหลเข้าประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อปี แต่เฉพาะในเดือนธ.ค. 2558 และม.ค. 2559 ราคาน้ำมันถูกและประชาชนใช้น้ำมันปริมาณมาก ซึ่งทำให้คาดการณ์ว่าจะมีเงินไหลเข้าในปี 2559 นี้ถึง 9,000-10,000 ล้านบาทต่อปี
พร้อมกันนี้ยังรับทราบแนวทางโครงสร้างการบริหารกองทุนฯแบบถาวร โดย สนพ.เสนอว่าสามารถดำเนินการได้ใน 3 แนวทาง ได้แก่ 1.จัดทำเป็นโครงสร้างเชิงราชการโดยอยู่ใต้การดูแลของ สนพ. 2.ตั้งเป็นองค์กรอิสระ แบบเป็นมหาชน และ 3. รูปแบบผสมผสาน เป็นแบบองค์กรบริหารรูปแบบพิเศษ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการประสานการทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง
รวมทั้งยังรับทราบผลการดำเนินงานของกองทุนฯในรอบ 5 ปี(พ.ศ.2555- 2559) ว่ามีกรอบวงเงิน 34,000 ล้านบาท โดยสนับสนุนโครงการไปแล้ว 807 โครงการ สำเร็จไป 322 โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ 426 โครงการ และยุติไป 59 โครงการ
ทั้งนี้แบ่งเป็นแผนด้านการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งใช้เงินไป 11,016 ล้านบาท สามารถลดใช้พลังงานได้ 2,942 กิโลตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นมูลค่า 38,256 ล้านบาท และลดก๊าซเรือนกระจกได้ 17.7 ล้านตัน นอกจากนี้เป็นแผนด้านพลังงานทดแทน ใช้เงินไป 10,074 ล้านบาท ก่อให้เกิดการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย 159 กิโลตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือประหยัดได้ 2,076 ล้านบาทต่อปี ลดก๊าซเรือนกระจกได้ 0.95 ล้านตัน
ที่มา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/energynewscenter/photos/a.1669591106590723.1073741829.1662701520613015/1706847832865050/?type=3&theater
โฆษกพลังงาน โต้ รสนา ระบุ บอร์ดกองทุนอนุรักษ์พลังงานไม่มีมติเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันเพิ่ม
นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) และโฆษกกระทรวงพลังงานเปิดเผยถึงกรณีที่น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ลงข้อความผ่านเฟซบุคส่วนตัวระบุว่า อย่าปล่อยให้กองทุนอนุรักษ์พลังงานล้วงกระเป๋าคนใช้น้ำมันอย่างมืดบอดอีกต่อไป....บอร์ดกองทุนอนุรักษ์พลังงานยังไม่ทันจะเคลียร์ยอดเงินที่ขาดหายไปจากรายงานแสดงฐานะการเงินของกองทุนฯในปี2558 อย่างครบถ้วน แต่กลับกล้าที่จะชงเรื่องล้วงกระเป๋าคนใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นลิตรละ50 สตางค์เท่ากับล้วงกระเป๋าคนใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นทีเดียว100%
ขอชี้แจงว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ไม่มีการบรรจุวาระการเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันเข้ากองทุนฯเพิ่มจาก 25 สตางค์ต่อลิตร เป็น 50 สตางค์ต่อลิตรแต่อย่างใด แต่ยอมรับว่ามีการหารือกันในที่ประชุมคณะกรรมการฯเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2559 ที่ผ่านมาจริง
เนื่องจากกรรมการบางคนเห็นว่าขณะนี้ราคาน้ำมันถูกมาก มีการใช้เพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะอาศัยจังหวะนี้เก็บเงินเข้ากองทุนฯเพิ่มได้ เพราะจะไม่กระทบต่อผู้ใช้น้ำมันมากนัก และควรเน้นการนำเงินมาส่งเสริมการการวิจัยนวัตกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะการสนับสนุนด้านภาคขนส่งที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของยานยนต์ไฟฟ้า และรถไฟฟ้า เป็นต้น สำหรับแนวคิดดังกล่าวยังไม่ได้ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการฯแต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่น.ส.รสนา ระบุ การเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมัน และนำไปสนับสนุนด้านภาคขนส่ง ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมนั้น ขอยืนยันว่า กองทุนฯทำตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานแบบภาพรวมทั้งประเทศ ทั้งภาคขนส่ง อาคาร โรงงาน ซึ่งใช้น้ำมัน ใช้ก๊าซหุงต้ม(LPG) และในภาคความร้อน เป็นต้น
สำหรับความคืบหน้ากองทุนฯ นั้น ขณะนี้คณะกรรมการฯ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแผนการใช้งบประมาณ 5 ปี (พ.ศ. 2560-2564) ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปในหลายประเด็น ได้แก่ 1.การกำหนดวงเงินสนับสนุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ซึ่งที่ผ่านมาสนับสนุนปีละ 7,000 ล้านบาท โดยที่ประชุมมีการเสนอให้ปรับเพิ่มเป็น 12,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเท่ากับ 60,000 ล้านบาทในแผน 5 ปี
2. การกำหนดสัดส่วนการใช้เงิน ซึ่ง สนพ.เสนอให้กำหนดสัดส่วนการใช้เงินด้านการอนุรักษ์พลังงาน 67% ด้านพลังงานทดแทน 30% ส่วนที่เหลือใช้ด้านกลยุทธ์ตามนโยบาย แต่ที่ประชุมยังมีความเห็นว่าควรปรับสัดส่วนให้ยืดหยุ่น โดยใช้สนับสนุนด้านการอนุรักษ์พลังงาน 57-77% และด้านพลังงานทดแทน 20-40% ทั้งนี้ที่ผ่านมายังไม่มีการกำหนดสัดส่วนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ชัดเจนมาก่อน
3. การกำหนดวัตถุประสงค์การใช้เงินว่าจะเน้นด้านใด ซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่เน้นไปที่นวัตกรรมสาธิตนำร่อง แต่ที่ประชุมมีการเสนอให้มุ่งเน้นเรื่องการค้นคว้าด้านวิจัย โดยเฉพาะนวัตกรรมเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า เพราะประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านด้านการขนส่งไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า รถไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งต้องมีการวิจัยด้านแบตเตอรี่ ด้านมอร์เตอร์ เป็นต้น
ทั้งนี้ที่ประชุมฯยังไม่ได้ข้อสรุปในประเด็นดังกล่าว ซึ่งจะมีการหารืออีกครั้งก่อนเสนอสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ในวันที่ 11 มี.ค. 2559 นี้
นายทวารัฐ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ในการประชุมฯ ที่ผ่านมา ได้รับทราบสถานะกองทุนฯ ว่ามียอดเงินสุทธิ 36,168 ล้านบาท มีเงินไหลเข้าประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อปี แต่เฉพาะในเดือนธ.ค. 2558 และม.ค. 2559 ราคาน้ำมันถูกและประชาชนใช้น้ำมันปริมาณมาก ซึ่งทำให้คาดการณ์ว่าจะมีเงินไหลเข้าในปี 2559 นี้ถึง 9,000-10,000 ล้านบาทต่อปี
พร้อมกันนี้ยังรับทราบแนวทางโครงสร้างการบริหารกองทุนฯแบบถาวร โดย สนพ.เสนอว่าสามารถดำเนินการได้ใน 3 แนวทาง ได้แก่ 1.จัดทำเป็นโครงสร้างเชิงราชการโดยอยู่ใต้การดูแลของ สนพ. 2.ตั้งเป็นองค์กรอิสระ แบบเป็นมหาชน และ 3. รูปแบบผสมผสาน เป็นแบบองค์กรบริหารรูปแบบพิเศษ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการประสานการทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง
รวมทั้งยังรับทราบผลการดำเนินงานของกองทุนฯในรอบ 5 ปี(พ.ศ.2555- 2559) ว่ามีกรอบวงเงิน 34,000 ล้านบาท โดยสนับสนุนโครงการไปแล้ว 807 โครงการ สำเร็จไป 322 โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ 426 โครงการ และยุติไป 59 โครงการ
ทั้งนี้แบ่งเป็นแผนด้านการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งใช้เงินไป 11,016 ล้านบาท สามารถลดใช้พลังงานได้ 2,942 กิโลตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นมูลค่า 38,256 ล้านบาท และลดก๊าซเรือนกระจกได้ 17.7 ล้านตัน นอกจากนี้เป็นแผนด้านพลังงานทดแทน ใช้เงินไป 10,074 ล้านบาท ก่อให้เกิดการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย 159 กิโลตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือประหยัดได้ 2,076 ล้านบาทต่อปี ลดก๊าซเรือนกระจกได้ 0.95 ล้านตัน
ที่มา [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้