มีงานวิจัยที่ศึกษาชนิดของกรดไขมันที่สะสมอยู่ใน plaque ของเส้นเลือดทั้งในหลอดเลือดหัวใจและที่ส่วนอื่นของร่างกาย รวมทั้งในไขมันในเลือดด้วย เป็นการศึกษาจากสถาบัน the Biophysics Division, Department of Medicine,Boston University School of Medicine, Massachusetts และมีการนำเสนอในที่ประชุมของสมาคมโรคหัวใจthe Annual Meeting of the American Heart Association17-20 Nov,1975. ก็พบว่าใน plaqueเป็นกรดใขมัน lioleic & linoleic acids มีอยู่ร่วมกันมากถึง 50-60% เลยทีเดียว รายละเอียดอ่านได้ตาม link
http://twcbgh2.blogspot.com/
จากข้อมูลที่นำเสนอมาทั้งหมด จะเห็นว่าชนิดของกรดไขมันที่เป็นส่วนประกอบของอาหารไขมันคือตัวการที่จะบ่งบอกถึงอันตรายที่จะเกิดกับผนังเส้นเลือด กรดไขมันที่เปลี่ยนเป็น Oxidized LDL ได้แก่ กลุ่มของกรดไขมันไม่อิ่มตัวนั้นเอง ที่จะเกิดปัญหาที่ผนังเส้นเลือดตามมา สะสมเป็นPlaqueเกิดพยาธิสภาพตามมาจนเส้นเลือดตีบตัน ทำให้เกิดข้อสงสัยในคำแนะนำการบริโภคอาหารไขมันในปัจจุบันที่ดูจะขัดแย้งกับข้อมูลข้างต้นอย่างสิ้นเชิง คงต้องรอการทำวิจัยพิสูจน์ความจริงที่ไม่อิงผลประโยชน์ใดๆแฝงอยู่ ในอนาคตเพื่อผู้บริโภคจะได้รับรู้ข้อมูลที่แท้จริงและกูกต้อง นำไปสู่การป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันอย่างมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง
อาหารไขมันกับโรคหลอดเลือด บนแนวคิดใหม่ที่แตกต่าง ตอนที่2
มีงานวิจัยที่ศึกษาชนิดของกรดไขมันที่สะสมอยู่ใน plaque ของเส้นเลือดทั้งในหลอดเลือดหัวใจและที่ส่วนอื่นของร่างกาย รวมทั้งในไขมันในเลือดด้วย เป็นการศึกษาจากสถาบัน the Biophysics Division, Department of Medicine,Boston University School of Medicine, Massachusetts และมีการนำเสนอในที่ประชุมของสมาคมโรคหัวใจthe Annual Meeting of the American Heart Association17-20 Nov,1975. ก็พบว่าใน plaqueเป็นกรดใขมัน lioleic & linoleic acids มีอยู่ร่วมกันมากถึง 50-60% เลยทีเดียว รายละเอียดอ่านได้ตาม link
http://twcbgh2.blogspot.com/
จากข้อมูลที่นำเสนอมาทั้งหมด จะเห็นว่าชนิดของกรดไขมันที่เป็นส่วนประกอบของอาหารไขมันคือตัวการที่จะบ่งบอกถึงอันตรายที่จะเกิดกับผนังเส้นเลือด กรดไขมันที่เปลี่ยนเป็น Oxidized LDL ได้แก่ กลุ่มของกรดไขมันไม่อิ่มตัวนั้นเอง ที่จะเกิดปัญหาที่ผนังเส้นเลือดตามมา สะสมเป็นPlaqueเกิดพยาธิสภาพตามมาจนเส้นเลือดตีบตัน ทำให้เกิดข้อสงสัยในคำแนะนำการบริโภคอาหารไขมันในปัจจุบันที่ดูจะขัดแย้งกับข้อมูลข้างต้นอย่างสิ้นเชิง คงต้องรอการทำวิจัยพิสูจน์ความจริงที่ไม่อิงผลประโยชน์ใดๆแฝงอยู่ ในอนาคตเพื่อผู้บริโภคจะได้รับรู้ข้อมูลที่แท้จริงและกูกต้อง นำไปสู่การป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันอย่างมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง