สวัสดีชาวห้องบลูทุกคน เราเองก็เป็นคนนึงที่สิงสถิตอยู่ในห้องนี้ คอยส่องกระทู้รีวิวของชาวบ้านแล้วก็อยากจะไปตามรอยบ้าง จริงๆเราเคยอยากตั้งกระทู้เป็นของตัวเองมาหลายครั้งแล้ว แต่ด้วยความขี้เกียจทั้งปวง ทำให้เรายังไม่ได้เริ่มซักที กระทู้นี้เลยเป็นกระทู้แรกที่เราจะรีวิว(จริงๆจะเรียกรีวิวก็ไม่ถูก) เพราะเราจัดอยู่ในพวกนักท่องเที่ยวขั้นห่วย ไม่เคยทำจดบันทึกค่าใช้จ่าย (ตั้งงบไว้กลมๆ ไม่ใช้เกิน ไม่ล้มละลายเป็นพอ) ไดอารี่ก็จดแค่วันสองวันแรก(ที่กำลังมีไฟ) แถมแผนการเดินทางก็ไม่มีอีกต่างหาก รู้วันที่ไป แต่พร้อมจะเปลี่ยนวันกลับได้เสมอ(ถ้าเธอต้องการ) อ่านมาถึงตรงนี้ อย่าเพิ่งปิดหน้านี้ไปก่อนล่ะ อ่านต่อเถอะนะ อย่าปิดเลย...อยากเล่า
ที่นี่...ประเทศจีน
ถ้าพูดถึงเรื่องหนาวๆในเมืองเหนือของจีน หลายๆคนคงจะคิดถึงฮาร์บิ้น เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องเทศกาลหิมะน้ำแข็งนานาชาติ ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
แต่เดี๋ยวก่อน!!! ฮาร์บิ้นยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
ยังมีที่หนาวกว่า และเหนือกว่านี้อีกกกกก
และที่นั่นคือ...ม่อเหอ(ตามจุดในแผนที่นั่นละจ่ะ) เหนือกว่านี้ก็รัสซียล้ะยูวววววว
ม่อเหอ..ชื่อไม่คุ้นเลยเนอะ
จุดเริ่มต้นของทริปนี้มาจากการที่เราเป็นยามห้องบลูมานาน นั่งส่องกระทู้ดูชาวบ้านเค้าไปล่าแสงเหนือ แล้วเลยเกิดความคิดว่า อยากไปล่าแสงเหนือมั่งว่ะ แต่ด้วยภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของเราชาวมนุษย์เงินเดือน จะให้เดินไปบอกเจ้านายว่าขอลางานไปล่าแสงเหนือ เจ้านายคงอนุญาตให้ลา(ออก)ทันที เราเลยลองคิดเล่นๆว่า แสงเหนือมีแค่แถบขั้วโลกเท่านั้นหรอ แล้วใกล้ๆเรามันจะมีมั้ย เราเลยลองถามทั้งคุณอากู๋และคุณไป่ตู้ของพี่จีน ก็ได้คำตอบว่า ที่จีนก็มีแสงเหนือนะ ห้ะ อะไรนะ?? จีนมีแสงเหนือด้วย ??แล้วอยู่ส่วนไหนของจีนล่ะ ประจวบกับเรามีโอกาสได้มาเรียนต่อที่จีนพอดี เราเลยคิดว่า คราวนี้แหละ เราจะได้เจอกันแล้วนะคุณออโรร่า(แสงเหนือ) เราหาข้อมูลต่อทันที แล้วคุณไป่ตู้ก็บอกเราเป็นคำตอบสุดท้ายว่า สถานที่ๆจะมองเห็นแสงเหนือได้ในเมืองจีนนั้น มีแค่ที่เดียว คือ หมู่บ้านชั้วโลกเหนือหรือหมู่บ้านอาร์กติก เมืองม่อเหอในมณฑลเฮยหลงเจียง ซึ่งมีอาณาเขตติดกับรัสเซีย ม่อเหอ...เรารู้จักเธอแล้วนะ
และคุณไป่ตู้กับคุณอากู๋ก็ช่วยให้เราค่อยๆทำความรู้จักกับม่อเหอมากขึ้น คุณอากู๋บอกเราว่า ม่อเหอตั้งอยู่บนเส้นรุ้งเหนือ 53.5 องศา เป็นเมืองเล็กๆแถบชายแดนเหนือสุดของประเทศจีน ที่นั่นมีอากาศหนาวเหน็บเกือบทั้งปี อุณหภูมิในฤดูหนาวเคยลดต่ำสุดถึงลบ52.3องศา บรรยากาศโดยรอบเสมือนทะเลหิมะเวิ้งว้างสุดสายตา เหนือสุดของม่อเหอ คือหมู่บ้านขั้วโลกเหนือ หรือเป่ยจี๋ชุน(北极村)ณ ที่แห่งนี้ ช่วงก่อนและหลังฤดูร้อนมักปรากฏแสงขั้วโลกเหนือที่งดงามตระการตา.....ห้ะ??อะไรนะ??แสงเหนือมาช่วงหน้าร้อน ม่ายยยยยย
เหมือนความฝันพังลงตรงหน้า(จอมือถือ) แต่เรายังไม่ยอมแพ้ แม้จะแอบเผื่อใจเบาๆ คำถามต่อไปให้คุณไป่ตู้เป็นคนตอบล้ะกัน คำตอบของคุณไป่ตู้ทำให้เราเริ่มมีความหวัง(อันน้อยนิด)อีกครั้ง เค้าบอกว่า ที่ม่อเหอก็มีโอกาสเห็นแสงเหนือในหน้าหนาว แต่โอกาสน้อยมาก ต้องโชคดีจริงๆถึงจะได้เห็น(เราหวังว่าเราจจะโชคดีจริงๆ) แต่เราก็คิดแผนสำรองไว้ล่ะ ว่าถึงจะไม่ได้เห็นคุณแสงเหนือตัวเป็นๆ เราก็ขอไปสัมผัสความหนาวนรก ขนาดที่ต้องสลับขั้วโลกบ้านเราถึงจะมี(มั้ง)ซักครั้งก็ยังดี ม่อเหอ..แล้วเจอกัน
พอบอกว่า ปิดเทอมนี้จะไปม่อเหอ สิ่งที่ผู้ร่วมสนทนาด้วยบอกเราคือ“มันหนาวมากนะ เตรียมเสื้อผ้าเยอะๆ”“แข็งตาย”“มันหนาวขนาดนั้น ทนไม่ไหวหรอก”และอื่นๆอีกมากมาย แต่ก็ไม่สามารถหยุดเราได้ ก็ไปให้รู้ไงว่ามันจะหนาวขนาดไหน เราคิดว่าถ้าเตรียมอุปกรณ์กันหนาวดีๆ ยังไงมันก็รอดวะ ว่าแล้ว...รอไรล่ะคับ จองตั๋วโลดดดด (คำเตือน:การเดินทางในช่วงปิดเทอมหรือใกล้วันเทศกาล วันหยุดยาวของจีนควรจองตั๋วล่วงหน้าสองสามอาทิตย์ เผื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่ต้องเสียค่าตั๋วเท่าตั๋วนั่ง แต่ต้องยืนไปตลอดทาง เรายังไม่สายแข็งขนาดนั้น ก่อนจะเป็นสายแข็ง ขาคงแข็งก่อน)
ทริปนี้เราไปกับรุ่นน้องอีกคนนึง เดินทางแบบนักท่องเที่ยวงบน้อย ไปแบบ backpack และเราก็ค้นพบคำนิยามว่ามันคือการ แบกและแพ็ค ใช้แล้วจ่ะ...แบกมันทุกอย่าง ตั้งแต่มาม่า ชาซอง ขนมปัง เนยถั่ว ทูน่า น้ำสลัด ขนมถุง เม็ดแตงและแก้วกระดาษ ราวกับจะไปปิกนิก ทั้งหมดนี้กลายมาเป็นมื้อเช้าของเราเกือบทั้งทริป(เพื่อป้องกันงบบานปลายจนเกิดภาวะล้มละลายก่อนจะไปสร้างแลนด์มาร์คที่จุดหมายปลายทาง)
และแล้ววันเดินทางก็มาถึงวันเดินทางจริง ทริปนี้เราเดินทางทั้งหมด 11วัน เริ่มจากวันที่ 24มกราถึงวันที่ 3กุมภา มีจุดหมายปลายทางคือ ฮาร์บิ้น-ม่อเหอ-มู่ตันเจียง(เมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหิมะของจีน พี่ไป่ตู้เค้าว่างั้น)และสุดท้ายกลับมาที่ปักกิ่ง วางแผนไว้แบบหลวมๆ เพราะเราต้องช่วงชิงตั๋วกับชาวจีนจำนวนมาก พลาดไปอาจจะได้ยืนจนขาแข็งจนกลายเป็นสายแข็งได้(สตรองไปอีกกก เราเคยเห็นคนจีนยืนตั้งแต่ต้นทางจนปลายทาง เกือบสามสิบชั่วโมง ได้นั่งบ้างถ้าเจ้าของที่ลุกไปที่อื่น พี่ยืนได้โหดมากจ่ะ) ส่วนรายละเอียดว่าจะเที่ยวที่ไหนบ้าง ไม่มี ไว้ไปถึงค่อยคิดค่อยถามคนท้องที่ว่าที่นั่นมีอะไรเจ๋งๆ แต่สุดท้ายมู่ตันเจียงก็ถูกพับไป เพราะความใจง่ายของเราเอง
ที่นี่สถานีปักกิ่ง..โชคดีมากที่เราไปถึงก่อนเวลา เพราะการจะเข้าถึงตัวขบวนรถไฟนั้นยากกว่าการเข้าถึงตัวโอปป้าที่สุวรรณภูมิอีก ทั้งระบบการรักษาความปลอดภัยที่ตรวจแล้วตรวจอีก การต้องไปเดินหาห้องพักผู้โดยสาร และมหาชนที่อลังการพอกับขนาดประเทศ เล่นเอามึนอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อไปถึงห้องพักผู้โดยสาร อย่าว่าแต่ที่นั่งเลย บางครั้งที่ยืนยังไม่มีเลย แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ถ้าคุณเผื่อเวลาไว้มากๆ คุณจะได้ที่นั่งในห้องพักผู้โดยสารไปครอบครองและนั่งเล่นเนตฟรีได้อย่างสบายใจ(คำเตือน:ช่วงใกล้วันเทศกาลของจีนจะมีคนจีนจำนวนมากเดินทางท่องเที่ยวหรือกลับบ้าน ระวังทรัพย์สินและของมีค่า กระเป๋าเงินนี่ต้องสะพายไว้ข้างหน้าเลย แม่เคยบอกว่าอยู่ข้างหน้าคือกระเป๋าเรา อยู่ข้างหลังคือกระเป๋าของคนอื่นนะ)
ผ่านด่านตรวจตั๋วด่านสุดท้าย เราก็ได้ขึ้นรถไฟสมการรอคอยแล้ว รถไฟที่จีนออกตรงเวลามาก และถึงตรงเวลามากเช่นกัน การเดินทางครั้งนี้ เราใช้เวลานั่งๆๆๆๆๆๆ นอนๆ(บ้าง ถ้านอนหลับ) ยืนๆ(บ้าง ถ้านั่งจนเมื่อย) ทั้งหมดประมาณ17ชั่วโมง ซึ่งเราไม่รู้เลยว่า ต่อจากนี้เราจะเจออะไรบ้าง
“ระหว่างทางสำคัญกว่าจุดหมายปลายทาง”ประโยคฮิปๆที่เหล่านักท่องเที่ยวนักเดินทางฮิปสะเต้อทั้งหลายใช้ประกอบการเล่าเรื่อง เราขออนุญาตยืมมาใช้บ้างนะ จริงๆเราเห็นด้วยกับประโยคนี้นะ แต่จุดหมายปลายทางมันก็สำคัญ ถ้าไม่มีปลายทาง แล้วจะมีระหว่างทางได้ยังไง ระหว่างทางเป็นเหมือนสีสันเป็นรสชาติของการเดินทาง และมันเป็นสิ่งที่เราจะนึกถึงเป็นอันดับแรกๆเมื่อนึกถึงการเดินทางครั้งนั้นๆ การเดินทางครั้งนี้ นอกจากจะมีรุ่นน้องที่มาเป็นผู้ร่วมชะตากรรมกับเราแล้ว เรายังมีเพื่อนร่วมทางอีกเต็มโบกี้เลย มีทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กแอ๊ะยันอากงอาม่า และเราก็เป็นคนที่โชคดีอย่างที่เราหวังไว้จริงๆ เบาะด้านหลังติดกับเราเป็นที่ของเด็กแอ๊ะจอมร้อง(ร้องทุกทีที่พี่เคลิ้มหลับ) กับที่นั่งระดับวีไอพีใกล้ห้องน้ำ สะดวกต่อการเดินทาง(ของกลิ่น) ยังไม่หมด ยังมีตู้น้ำร้อนที่พังทุกครึ่งชั่วโมงอีก พอน้ำร้อนมาคนก็แห่กันมาต่อแถวกรอกน้ำ ซึ่งจะมีแค่สี่ห้าคนเท่านั้นที่จะได้น้ำร้อนไป ที่เหลือก็ต้องกลับไปพร้อมกระติกเปล่า แล้วอีกค่อยมาใหม่ เป็นแบบนี้ทุกๆครึ่งชั่วโมง จะว่าฮาก็ฮา จะว่าสงสารก็สงสาร แต่เอาเถอะลุง ลุกเดินบ้าง นั่งนานมันเมื่อย นี่ต้อนรับกันตั้งแต่ขึ้นรถไฟเลยนะ..สวัสดีความโชคดี เราเริ่มมองเห็นอนาคตแล้วแหละ ที่โชคดีจริงๆคงจะเป็นการที่ที่นั่งตรงหน้าเราเป็นครอบครัวพ่อแม่และลูกสาวอายุประมาณสิบขวบ ที่เรากับน้องเค้าต้องนั่งจ้องหน้ากันถึง17ชั่วโมง (ลงรถไปพี่คงคิดถึงน้องแน่ๆ) ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าที่ตรงหน้าเราเป็นเด็กแอ๊ะ จะสนุกสุดหลอนขนาดไหน
[CR] จะหนาวต้องหนาวให้สุด<<ทริปโชว์เหนือกับความหนาวอุณหภูมิตู้เย็น>>
สวัสดีชาวห้องบลูทุกคน เราเองก็เป็นคนนึงที่สิงสถิตอยู่ในห้องนี้ คอยส่องกระทู้รีวิวของชาวบ้านแล้วก็อยากจะไปตามรอยบ้าง จริงๆเราเคยอยากตั้งกระทู้เป็นของตัวเองมาหลายครั้งแล้ว แต่ด้วยความขี้เกียจทั้งปวง ทำให้เรายังไม่ได้เริ่มซักที กระทู้นี้เลยเป็นกระทู้แรกที่เราจะรีวิว(จริงๆจะเรียกรีวิวก็ไม่ถูก) เพราะเราจัดอยู่ในพวกนักท่องเที่ยวขั้นห่วย ไม่เคยทำจดบันทึกค่าใช้จ่าย (ตั้งงบไว้กลมๆ ไม่ใช้เกิน ไม่ล้มละลายเป็นพอ) ไดอารี่ก็จดแค่วันสองวันแรก(ที่กำลังมีไฟ) แถมแผนการเดินทางก็ไม่มีอีกต่างหาก รู้วันที่ไป แต่พร้อมจะเปลี่ยนวันกลับได้เสมอ(ถ้าเธอต้องการ) อ่านมาถึงตรงนี้ อย่าเพิ่งปิดหน้านี้ไปก่อนล่ะ อ่านต่อเถอะนะ อย่าปิดเลย...อยากเล่า
จุดเริ่มต้นของทริปนี้มาจากการที่เราเป็นยามห้องบลูมานาน นั่งส่องกระทู้ดูชาวบ้านเค้าไปล่าแสงเหนือ แล้วเลยเกิดความคิดว่า อยากไปล่าแสงเหนือมั่งว่ะ แต่ด้วยภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของเราชาวมนุษย์เงินเดือน จะให้เดินไปบอกเจ้านายว่าขอลางานไปล่าแสงเหนือ เจ้านายคงอนุญาตให้ลา(ออก)ทันที เราเลยลองคิดเล่นๆว่า แสงเหนือมีแค่แถบขั้วโลกเท่านั้นหรอ แล้วใกล้ๆเรามันจะมีมั้ย เราเลยลองถามทั้งคุณอากู๋และคุณไป่ตู้ของพี่จีน ก็ได้คำตอบว่า ที่จีนก็มีแสงเหนือนะ ห้ะ อะไรนะ?? จีนมีแสงเหนือด้วย ??แล้วอยู่ส่วนไหนของจีนล่ะ ประจวบกับเรามีโอกาสได้มาเรียนต่อที่จีนพอดี เราเลยคิดว่า คราวนี้แหละ เราจะได้เจอกันแล้วนะคุณออโรร่า(แสงเหนือ) เราหาข้อมูลต่อทันที แล้วคุณไป่ตู้ก็บอกเราเป็นคำตอบสุดท้ายว่า สถานที่ๆจะมองเห็นแสงเหนือได้ในเมืองจีนนั้น มีแค่ที่เดียว คือ หมู่บ้านชั้วโลกเหนือหรือหมู่บ้านอาร์กติก เมืองม่อเหอในมณฑลเฮยหลงเจียง ซึ่งมีอาณาเขตติดกับรัสเซีย ม่อเหอ...เรารู้จักเธอแล้วนะ
และคุณไป่ตู้กับคุณอากู๋ก็ช่วยให้เราค่อยๆทำความรู้จักกับม่อเหอมากขึ้น คุณอากู๋บอกเราว่า ม่อเหอตั้งอยู่บนเส้นรุ้งเหนือ 53.5 องศา เป็นเมืองเล็กๆแถบชายแดนเหนือสุดของประเทศจีน ที่นั่นมีอากาศหนาวเหน็บเกือบทั้งปี อุณหภูมิในฤดูหนาวเคยลดต่ำสุดถึงลบ52.3องศา บรรยากาศโดยรอบเสมือนทะเลหิมะเวิ้งว้างสุดสายตา เหนือสุดของม่อเหอ คือหมู่บ้านขั้วโลกเหนือ หรือเป่ยจี๋ชุน(北极村)ณ ที่แห่งนี้ ช่วงก่อนและหลังฤดูร้อนมักปรากฏแสงขั้วโลกเหนือที่งดงามตระการตา.....ห้ะ??อะไรนะ??แสงเหนือมาช่วงหน้าร้อน ม่ายยยยยย
เหมือนความฝันพังลงตรงหน้า(จอมือถือ) แต่เรายังไม่ยอมแพ้ แม้จะแอบเผื่อใจเบาๆ คำถามต่อไปให้คุณไป่ตู้เป็นคนตอบล้ะกัน คำตอบของคุณไป่ตู้ทำให้เราเริ่มมีความหวัง(อันน้อยนิด)อีกครั้ง เค้าบอกว่า ที่ม่อเหอก็มีโอกาสเห็นแสงเหนือในหน้าหนาว แต่โอกาสน้อยมาก ต้องโชคดีจริงๆถึงจะได้เห็น(เราหวังว่าเราจจะโชคดีจริงๆ) แต่เราก็คิดแผนสำรองไว้ล่ะ ว่าถึงจะไม่ได้เห็นคุณแสงเหนือตัวเป็นๆ เราก็ขอไปสัมผัสความหนาวนรก ขนาดที่ต้องสลับขั้วโลกบ้านเราถึงจะมี(มั้ง)ซักครั้งก็ยังดี ม่อเหอ..แล้วเจอกัน
พอบอกว่า ปิดเทอมนี้จะไปม่อเหอ สิ่งที่ผู้ร่วมสนทนาด้วยบอกเราคือ“มันหนาวมากนะ เตรียมเสื้อผ้าเยอะๆ”“แข็งตาย”“มันหนาวขนาดนั้น ทนไม่ไหวหรอก”และอื่นๆอีกมากมาย แต่ก็ไม่สามารถหยุดเราได้ ก็ไปให้รู้ไงว่ามันจะหนาวขนาดไหน เราคิดว่าถ้าเตรียมอุปกรณ์กันหนาวดีๆ ยังไงมันก็รอดวะ ว่าแล้ว...รอไรล่ะคับ จองตั๋วโลดดดด (คำเตือน:การเดินทางในช่วงปิดเทอมหรือใกล้วันเทศกาล วันหยุดยาวของจีนควรจองตั๋วล่วงหน้าสองสามอาทิตย์ เผื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่ต้องเสียค่าตั๋วเท่าตั๋วนั่ง แต่ต้องยืนไปตลอดทาง เรายังไม่สายแข็งขนาดนั้น ก่อนจะเป็นสายแข็ง ขาคงแข็งก่อน)
ทริปนี้เราไปกับรุ่นน้องอีกคนนึง เดินทางแบบนักท่องเที่ยวงบน้อย ไปแบบ backpack และเราก็ค้นพบคำนิยามว่ามันคือการ แบกและแพ็ค ใช้แล้วจ่ะ...แบกมันทุกอย่าง ตั้งแต่มาม่า ชาซอง ขนมปัง เนยถั่ว ทูน่า น้ำสลัด ขนมถุง เม็ดแตงและแก้วกระดาษ ราวกับจะไปปิกนิก ทั้งหมดนี้กลายมาเป็นมื้อเช้าของเราเกือบทั้งทริป(เพื่อป้องกันงบบานปลายจนเกิดภาวะล้มละลายก่อนจะไปสร้างแลนด์มาร์คที่จุดหมายปลายทาง)
และแล้ววันเดินทางก็มาถึงวันเดินทางจริง ทริปนี้เราเดินทางทั้งหมด 11วัน เริ่มจากวันที่ 24มกราถึงวันที่ 3กุมภา มีจุดหมายปลายทางคือ ฮาร์บิ้น-ม่อเหอ-มู่ตันเจียง(เมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหิมะของจีน พี่ไป่ตู้เค้าว่างั้น)และสุดท้ายกลับมาที่ปักกิ่ง วางแผนไว้แบบหลวมๆ เพราะเราต้องช่วงชิงตั๋วกับชาวจีนจำนวนมาก พลาดไปอาจจะได้ยืนจนขาแข็งจนกลายเป็นสายแข็งได้(สตรองไปอีกกก เราเคยเห็นคนจีนยืนตั้งแต่ต้นทางจนปลายทาง เกือบสามสิบชั่วโมง ได้นั่งบ้างถ้าเจ้าของที่ลุกไปที่อื่น พี่ยืนได้โหดมากจ่ะ) ส่วนรายละเอียดว่าจะเที่ยวที่ไหนบ้าง ไม่มี ไว้ไปถึงค่อยคิดค่อยถามคนท้องที่ว่าที่นั่นมีอะไรเจ๋งๆ แต่สุดท้ายมู่ตันเจียงก็ถูกพับไป เพราะความใจง่ายของเราเอง
ที่นี่สถานีปักกิ่ง..โชคดีมากที่เราไปถึงก่อนเวลา เพราะการจะเข้าถึงตัวขบวนรถไฟนั้นยากกว่าการเข้าถึงตัวโอปป้าที่สุวรรณภูมิอีก ทั้งระบบการรักษาความปลอดภัยที่ตรวจแล้วตรวจอีก การต้องไปเดินหาห้องพักผู้โดยสาร และมหาชนที่อลังการพอกับขนาดประเทศ เล่นเอามึนอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อไปถึงห้องพักผู้โดยสาร อย่าว่าแต่ที่นั่งเลย บางครั้งที่ยืนยังไม่มีเลย แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ถ้าคุณเผื่อเวลาไว้มากๆ คุณจะได้ที่นั่งในห้องพักผู้โดยสารไปครอบครองและนั่งเล่นเนตฟรีได้อย่างสบายใจ(คำเตือน:ช่วงใกล้วันเทศกาลของจีนจะมีคนจีนจำนวนมากเดินทางท่องเที่ยวหรือกลับบ้าน ระวังทรัพย์สินและของมีค่า กระเป๋าเงินนี่ต้องสะพายไว้ข้างหน้าเลย แม่เคยบอกว่าอยู่ข้างหน้าคือกระเป๋าเรา อยู่ข้างหลังคือกระเป๋าของคนอื่นนะ)
ผ่านด่านตรวจตั๋วด่านสุดท้าย เราก็ได้ขึ้นรถไฟสมการรอคอยแล้ว รถไฟที่จีนออกตรงเวลามาก และถึงตรงเวลามากเช่นกัน การเดินทางครั้งนี้ เราใช้เวลานั่งๆๆๆๆๆๆ นอนๆ(บ้าง ถ้านอนหลับ) ยืนๆ(บ้าง ถ้านั่งจนเมื่อย) ทั้งหมดประมาณ17ชั่วโมง ซึ่งเราไม่รู้เลยว่า ต่อจากนี้เราจะเจออะไรบ้าง
“ระหว่างทางสำคัญกว่าจุดหมายปลายทาง”ประโยคฮิปๆที่เหล่านักท่องเที่ยวนักเดินทางฮิปสะเต้อทั้งหลายใช้ประกอบการเล่าเรื่อง เราขออนุญาตยืมมาใช้บ้างนะ จริงๆเราเห็นด้วยกับประโยคนี้นะ แต่จุดหมายปลายทางมันก็สำคัญ ถ้าไม่มีปลายทาง แล้วจะมีระหว่างทางได้ยังไง ระหว่างทางเป็นเหมือนสีสันเป็นรสชาติของการเดินทาง และมันเป็นสิ่งที่เราจะนึกถึงเป็นอันดับแรกๆเมื่อนึกถึงการเดินทางครั้งนั้นๆ การเดินทางครั้งนี้ นอกจากจะมีรุ่นน้องที่มาเป็นผู้ร่วมชะตากรรมกับเราแล้ว เรายังมีเพื่อนร่วมทางอีกเต็มโบกี้เลย มีทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กแอ๊ะยันอากงอาม่า และเราก็เป็นคนที่โชคดีอย่างที่เราหวังไว้จริงๆ เบาะด้านหลังติดกับเราเป็นที่ของเด็กแอ๊ะจอมร้อง(ร้องทุกทีที่พี่เคลิ้มหลับ) กับที่นั่งระดับวีไอพีใกล้ห้องน้ำ สะดวกต่อการเดินทาง(ของกลิ่น) ยังไม่หมด ยังมีตู้น้ำร้อนที่พังทุกครึ่งชั่วโมงอีก พอน้ำร้อนมาคนก็แห่กันมาต่อแถวกรอกน้ำ ซึ่งจะมีแค่สี่ห้าคนเท่านั้นที่จะได้น้ำร้อนไป ที่เหลือก็ต้องกลับไปพร้อมกระติกเปล่า แล้วอีกค่อยมาใหม่ เป็นแบบนี้ทุกๆครึ่งชั่วโมง จะว่าฮาก็ฮา จะว่าสงสารก็สงสาร แต่เอาเถอะลุง ลุกเดินบ้าง นั่งนานมันเมื่อย นี่ต้อนรับกันตั้งแต่ขึ้นรถไฟเลยนะ..สวัสดีความโชคดี เราเริ่มมองเห็นอนาคตแล้วแหละ ที่โชคดีจริงๆคงจะเป็นการที่ที่นั่งตรงหน้าเราเป็นครอบครัวพ่อแม่และลูกสาวอายุประมาณสิบขวบ ที่เรากับน้องเค้าต้องนั่งจ้องหน้ากันถึง17ชั่วโมง (ลงรถไปพี่คงคิดถึงน้องแน่ๆ) ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าที่ตรงหน้าเราเป็นเด็กแอ๊ะ จะสนุกสุดหลอนขนาดไหน