เรื่องนี้อยากจะเล่ามาตั้งนานละ วันนี้ได้เล่าสักที...
เรื่องมีอยู่ว่าเราเนี้ยรู้ตัวว่าตัวเองเป็นตุ๊ดตั้งแต่เด็กๆ แต่แบบใจนึงมันต่อต้านอะ ว่าชั้นไม่ใช่แน่ๆ ชั้นไม่อยากเป็น ด้วยความเป็นเด็กมันทำให้เราคิดแบบงี้ประกอบกับที่คนรอบข้างเราส่วนมากเป็นผู้ชาย เราจะโดนล้อว่าเป็นตุ๊ดๆๆๆๆ ตุ๊ดๆๆๆ ตั้งแต่เด็กๆ ญาติเราเป็นผู้ชายเยอะ พ่อก็ชอบพาไปปล่อยไว้กับญาติผู้ชายมั้งแหละ นี้ก็ต้องฝืนทนเล่นบอล เล่นดินเล่นทราย ทั้งที่ใจจริงอยากเล่นหมากเก็บ อยากโดดยางจะตาย พ่อแม่ก็เหมือนจะรู้แหละว่าเราไม่น่าใช่ผู้ชายแน่ๆ แต่ทั้งคู่ก็ไม่อยากด่วนตัดสินใจว่าเราเป็นอะไรกันแน่ ซึ้งพ่อแม่อาจจะคิดว่าการที่เราอยู่กับเด็กผู้ชายเยอะๆอาจจะซึมซับให้เราหายได้ ( ซึ้งเรามาคิดดูมันก็ตลกดีที่พ่อแม่คิดแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้โกรธไรนะ เพราะพ่อแม่ก็ไม่เคยมีลูกเป็นตุ๊ด ญาติเราไม่มีใครเป็นตุ๊ดเป็นทอมเลย มีเราผ่าเหล่าอยู่คนเดียว )
ซึ้งพอเวลาผ่านไปเราก็ซึมซับนะ ซึมซับจริงๆ ตอนเด็กๆขี้น้อยใจไงเลยไม่อยากให้ใครมาพูดมาล้อเรา เราเลยซึมซับท่าทางของเด็กผู้ชาย การเดิน การพูด การแสดงออก บริบทต่างๆ ดูว่าพวกมันทำอะไรกัน เริ่มพยายามปรับเสียงของตัวเอง ไม่พยายามพูดด้วยเสียงแหลม เพราะโดนลุงด่าว่าเสียงแหลมเหมือนตุ๊ด ( เจ็บนะ แต่ทำไรไม่ได้ ) ปรับทุกอย่างไปเรื่อยๆ ซึ้งตอนนั้นอยู่แค่ ป.4 ป.5 เอง ซึ้งเราก็คิดว่าเรานี้ฉลาดมากๆคิดได้แบบนั้น
จนเวลาผ่านไป ม.ต้น พูดเลยว่าแทบจะไม่มีเพื่อนผู้หญิงเลย มีแต่เพื่อนผู้ชาย เล่นการ์ดยูกิกับเพื่อนในกลุ่ม เล่นตะกร้อเป็นกว่าเล่นบอล เล่นดอท เล่นเกมส์กับเพื่อน เริ่มรู้สึกว่าซึมซับไปได้เกือบโอเคละ ซึ้งตอนนั้นก็เป็นช่วงที่อยู่คนเดียว พ่อแม่ไม่ค่อยได้อยู่ด้วย แม่ก็ถามนะว่าไม่มีเพื่อนผู้หญิงบ้างเลยหรอ เค้าอาจจะสงสัยเพราะตอนประถมเค้าเห็นเรามีเพื่อนผู้หญิงเยอะ เราตุ้งติ้งๆ เราก็บอกว่าไม่ค่อยมี มีแต่เพื่อนผู้ชายนะ พวกญาติๆผู้ชายเวลาเจอกันก็ยังเรียกตุ๊ดๆๆๆๆอยู่ แต่หลังๆด้วยความที่เราโตขึ้นและไม่แสดงออกเลยต่อหน้าพวกเค้า ก็หยุดล้อไป เราก็สบายใจไปได้ระดับหนึ่ง รู้สึกเหมือนมีเกราะป้องกันนิดๆ
จนเวลาผ่านไปจนขึ้น ม.4 เราเลือกสายภาษาคราวนี้ห้องก็จะคละๆกันทั้งเด็กใหม่เด็กเก่า เพื่อนเราก็กระจัดกระจายไปอยู่ตามสายต่างๆ เราเลยต้องหาเพื่อนใหม่ใน ซึ้งในขณะนั้น ห้องที่เราได้อยู่ไม่มีใครที่เรารู้จักเลยเว้ย เราเลยพยายามหาเพื่อนใหม่ โดยเริ่มต้นจากการหาเพื่อนผู้ชายก่อน ตอนแรกก็มีอยู่4-5คน หลังๆกลุ่มมันใหญ่ขึ้น ซึ้งเราก็รู้สึกโอเค แต่สไตล์การพูดคุยมันไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด มันไม่ได้รู้สึกเหมือนเพื่อนผู้ชายห้องเก่าเลย ทั้งที่เพื่อนผู้ชายห้องเก่ากลุ่มใหญ่กว่าอีก เราเลยเฝดตัวออกมา แต่ก็ไม่ได้ออกมาเลย ก็ยังอยู่ในกลุ่มนั้นแหละ
เรานั่งริมๆของกลุ่ม เข้าใจอารมณ์เด็กมัธยมจับกลุ่มนั้งกันหลังห้อง มันก็จะกองๆอยู่ตรงนั้นแหละไม่ไปไหน เราก็นั่งริมๆ ซึ้งคราวนี้ริมเรานั่งติดกับผู้หญิง นางเป็นผู้หญิงแรงๆจับกลุ่มนั่งกัน6-7คนหลังห้องติดกันกับแก๊งผู้ชาย แรกๆก็ไม่ได้คุยกันไม่รู้จะคุยไร แต่เพื่อนคนนี้ก็เริ่มชวนคุย เราเลยรู้สึกว่าการคุยกับเพื่อนผู้หญิงโอเคกว่าการคุยกับเพื่อนผู้ชาย มันเหมือนมีอะไรที่คลิกกัน มีจริตที่ตรงกัน เอาเป็นว่าถ้าเราคุยกับเพื่อนผู้หญิงก็คุยได้ทุกเรื่องยกเว้น เรื่องเครื่องสำอาง แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็ได้ทุกเรื่องยกเว้น เรื่องวงการฟุตบอล ด้วยความที่นั่งติดๆกัน คราวนี้ก็เริ่มสนิทกับกลุ่มผู้หญิงมากกว่ากลุ่มผู้ชาย เวลาไปเที่ยวเราก็จะไปกับกลุ่มผู้หญิงบ่อยกว่า และหลังจากนั้นเราก็มีเพื่อนผู้ชายต่างห้องซึ้งเป็นห้องเก่าๆผสมกับเพื่อนใหม่ๆ ซึ้งเราก็โอเคที่มีเพื่อนหลายๆกลุ่ม
จนมาวันนึงมีรุ่นพี่ ผญ. ม.6 ทักเรามา พยายามจีบเรา เรารู้แหละว่าเค้ามาจีบเราแน่ๆ เค้ารุกหนักอยู่พอสมควร เค้าพยายามทักมาทุกวัน คุยกันทุกวันตอนนั้นในใจคิดว่าเอาไงดี เลยตัดสินใจไปว่าลองดู เผื่อมันอาจจะทำให้เรากลับเป็นผู้ชายก็ได้ แต่พอคุยกันไปแล้ว มีความรู้สึกอึดอัดใจนิดๆ เหมือนว่าเรากำลังทำบาปอยู่เลย กำลังหลอกเค้า กำลังใจใช้เค้าเป็นเครื่องมือ มันรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่คุยกัน รู้สึกว่าไม่โอเค ที่ต้องตามใจคนที่เราไม่ได้รู้สึกดี เราเลยตัดสินใจเลิกคุย คุยกันได้เดือนกว่าๆ ไม่อยากให้เค้าโดนล้อด้วยแหละ เหมือนแบบถ้าสักวันนีงเราแน่ใจกับตัวเองว่าเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ แล้วมองย้อนมาเค้าอาจจะโดนเพื่อนหรือคนรอบข้างว่าแฟนเก่าเป็นตุ๊ด เคยคบตุ๊ดหรอไรงี้ เราว่าเราเริ่มยอมรับการที่ตัวเองเป็นอะไรก็ตอนนั้นแหละ
เรารู้สึกว่าโอเคเรารู้ละ เราจะไม่หลอกตัวเอง แต่ในใจเรายังกลัวอยู่นิดๆ กลัวว่าพ่อแม่จะผิดหวัง กลัวว่าต้องถูกดูถูกดูแคลนถูกล้อด้วยคำเหล่านั้น จริงๆมันมีอีกหลายอย่างที่คนเป็นตุ๊ดอย่างเราๆโดนเว้ย แต่เราเขียนไม่ได้มันหยาบคาย แล้ววันที่สารภาพกับแม่ก็มาถึง เรารู้สึกว่ามันถึงเวลาละที่ต้องพูด ชั่งมันอะไรจะเกิดก็เกิด แม่กลับมาบ้าน3วัน เราตั้งใจจะพูดตั้งแต่วันแรก แต่มันพูดไม่ออกจริงๆ มันรู้สึกใจเต้นตึกๆ รู้สึกหน้าแดงๆ ตัวสั่นๆ น้ำตานี้คลอเบ้าเลย จนผ่านไปวันสุดท้าย เราเลยคิดว่าไม่ได้ละต้องพูดสักที วิธีที่เราใช้คือเขียนใส่เวิร์ดในคอม เขียนเป็นเรียงความเลยหนึ่งแผ่นแล้วปริ้นออกมา ตอนแรกจะเดินไปให้เฉยๆ แต่ก็ไม่กล้าอยู่ดีที่เค้าจะอ่านต่อหน้าเรา รู้สึกกลัวขึ้นมาอีกแล้ว เราเลยขอเงินเค้าไปซื้อของกินน่าปากซอย แล้วบอกว่าอ่านนี้ด้วยนะ เค้าก็ถามว่าอะไร เราเลยตอบไปว่าอ่านไปเถอะ แล้วเราก็รีบคว้าเงินแล้ววางกระดาษไว้หน้าตักเค้า เค้ากำลังดูทีวี เราเลยรีบใส่รองเท้าแล้วเดินออกไปซื้อของกิน ตอนนั้นคิดไม่ออกเลยว่าจะซื้อไร คิดแค่ว่ามันจะโอเคมั้ยว่า เอาไงดีว่ะ กลับไปโดนไรบ้างว่ะ เค้าจะโอเคมั้ยว่ะ เราเลยตอนไปซื้อโค้กใส่ถุง แล้วดูให้หมดทีเดียว กลั่นใจเดินกลับ คิดว่าเอาว่ะ เอาไงเอากัน เป็นยังไงก็ต้องรับให้ได้ กลับไปถึงบ้านนี้จำได้เลยว่าแม่นั่งอยู่บนเตียงในห้องนอน เราก็ทำใจแข็งเดินไปนั่งเล่นคอมต่อ เค้าก็เรียกเราเข้าไปในห้อง เรานี้ตัวแข็งเลย ใจเต้นตึกๆๆๆๆจนได้ยินเสียงตัวเองอะ หูนี้อื้อไปหมด เราเดินเข้าไป เค้าบอกนั่งข้างแม่ แล้วเค้าก็พูดขึ้นมาคำนึงว่า เป็นอะไรก็เป็นไปเถอะ เป็นคนดีของแม่ก็พอ ในใจคิดว่าประโยคสารภาพสุดฮิต แต่พอสิ้นเสียงเท่านั้นแหละ เหมือนแบบปลดล๊อคเลย เหมือนทั้งตัวโล่งไปหมด น้ำตาที่คลอเบ้านี้เอ่อล้นออกมาเลย คือแบบอายก็อาย ดีใจก็ดีใจ ซึ้งหลังจากนั้นเค้าก็ถามว่าเป็นนานยัง รู้ตัวเมื่อไร แม่ยังเห็นมีแฟนเป็นผู้หญิงอยู่เลย แล้วเค้าก็เล่าให้ฟังว่า รู้อยู่แล้วแหละว่าเป็น แต่รอให้พูดเองดีกว่า แม่รักหนูนะไม่ว่าจะเป็นอะไร พ่อแกก็เที่ยวบอกคนอื่นว่าแกไม่ได้เป็น มันเป็นผู้ชายเรียบร้อย มันเรียบร้อยๆ ไม่ดื้อ เรานี้ฟังปุ๊บขำก๊ากเลย หลังจากนั้นเค้าก็เล่าเรื่องเทือกๆนี้ให้ฟัง แล้วเค้าก็ถามว่านี้บอกใครรึยัง เราก็บอกว่บอกแม่คนแรก แม่ก็ถามว่าจะให้บอกพ่อมั้ย เราก็บอกว่าแล้วแต่ ( ป่านนี้ไม่รู้บอกรึยัง ) สรุปกับครอบครัวแฮปปี้
คราวนี้เราก็สบายใจไปหนึ่งอย่างละ เราก็เริ่มที่จะคุยกับผู้ชายบ้าง ปกติแล้วไม่กล้าทักคน เพราะมนุษย์สัมพันธ์แย่มาก เราเป็นคนที่ปากจัด ปากจัดมากๆ แต่ไม่สู้คนนะ ปากจัดไปงั้นแหละ สร้างพาวเวอร์ แต่ข้างในเป็นคนที่ขี้กลัวขี้อาย ภาพลักษณ์ที่คนส่วนใหญ่เห็นคือเรียบร้อยนะ แต่ถ้าอยู่กับเพื่อนจะปากจัดๆ เล่นอะไรโง่ๆหน่อย จนมีผู้ชายคนนึงทักมา เราก็เริ่มคุยๆ เพื่อนผู้หญิงก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นและเริ่มสงสัยเรา แล้ววันนึงมันก็เปิดแชทเรา แอบดูว่าเราคุยกับใคร ตอนนั้นโกรธมาก รู้สึกอายด้วยที่ถูกจับได้ เลยพูดกับเพื่อนไปตรงๆ เพื่อนผู้หญิงก็แบบรู้อยู่นานละว่าเป็นอะ ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร มันก็บอกว่าเราตลกดีเป็นสีสัน พวกมันชอบที่เราด่าเจ็บๆ ก็เลยบอกพวกมันไปว่าอย่าเอาไปบอกใครนะ พวกมันก็ไม่พูดนะ จนกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เหมือนพวกมันให้เกียจ เราก็รู้สึกโชคดีนะที่มีเพื่อนแบบนี้ คราวนี้มาหนักใจที่กลุ่มผู้ชาย มันก็ถามว่า อ่าว แล้วพวกผู้ชายมันจะไม่รังเกียจหรอที่เป็นแบบนี้ เราก็แบบม่รู้หว่ะ เราก็ไม่รู้จะทำไง ก็เลยไม่ได้บอก แต่เราเคยหรอกถามมันนะ เช่น แบบเรายกตัวอย่างเพื่อนชื่อเอคนนึง ถ้าวันนึงมันกลายเป็นตุ๊ด เป็นเกย์ จะรู้สึกไงกันว่า คำแรกที่เราได้ยินเลย ตัดเพื่อน ! ตอนนั้นแบบรู้สึกจึ๊กเลยนะ รู้สึกแบบเจ็บใจนิดๆ รู้สึกเสียใจ แต่ก็พูดไรไม่ได้เลยยิ้มหัวเราะกลบเกลื่อน หลังจากนั้นมาเราเลยไม่คิดจะบอกพวกมันเลย ส่วนนึงกลัวว่าพวกมันจะไม่สนิทใจที่จะไม่คบเป็นเพื่อนต่อ เพราะพวกมันก็เคยมาค้างบ้าน ไปเที่ยวกับพวกมันก็บ่อย แก้ผ้าเห็นของพวกมันทุกคนก็เคยเห็นมาแล้ว กลัวว่ามันจะคิดว่าเราไปอะไรกับมัน ซึ้งจริงๆคือสาบานได้เลยว่าไม่ได้คิดไรเลย เรารู้กจักการวางตัว เพื่อนก็คือเพื่อน เรารู้จักขอบเขต จนถึงปัจจุบันเราก็ยังไม่เคยพูดกับพวกมันว่าเป็นอะไร
ซึ้งพอเวลาผ่านไป เราก็คิดได้ว่าไม่รู้จะเก็บมาซีเรียสทำไม มันเหมือนมีไรมาจุดความคิด ใครจะคบกับเราเป็นเพื่อนก็คบ ใครจะไม่คบก็ไม่ต้องไปคบ หลังๆมาเลยเริ่มสตรอง และวิธีแก้ปัญหานี้คือ เราจะแสดงออกเพื่อนผู้ชายอีกแบบหนึ่ง ต่อหน้าเพื่อนผู้หญิงอีกแบบหนึ่ง เหมือนถ้าคุยกับเพื่อนผู้หญิงจะแสดงออกพูดเสียงแหลมๆ พูดหยาบๆ เติมดอกไม้ต้นประโยคท้ายประโยค ถ้าคุยกับผู้ชายก็จะใช้ศัพย์พ่อขุนหน่อย เล่นแรงหน่อย ถ้าไปเที่ยวด้วยกันสองกลุ่มก็แสดงออกสองอย่างเลย เพื่อนผู้ชายมันก็เห็นเวลาเราพูดกับผู้หญิงนะ เห็นบ่อยด้วย เราชอบพามาเจอกัน เห็นยังไงก็ชั่ง เราจะไม่ค่อยแสดงออกทางท่าทาง แต่จะแสดงออกทางคำพูดมากกว่า เพื่อนผู้ชายมันก็ถามนะตกลงเป็นไร เลยตอบไปว่าคิดว่าเป็นไรก็เป็นอย่างงั้นแหละ มันก็ดีนะที่มีเพื่อนทั้งผู้หญิงผู้ชาย เราว่าเราเข้าใจเพื่อนทั้งสองแบบนะ ผู้หญิงจะยิบย่อยละเอียดหน่อย ส่วนผู้ชายอะไรก็ได้ยังไงก็ได้ไม่เรื่องมาก มันก็โอเคกับการเป็นตุ๊ดที่ได้รู้เรื่องของคนสองกลุ่มนะ ปัจจุบันก็ยังไม่มีเพื่อนผู้ชายคนไหนที่เลิกคบเราเป็นเพื่อนนะ
แต่ที่แปลกคือเราไม่มีเพื่อนที่เป็นตุ๊ตเป็นเกย์เลยเว้ย ตั้งแต่มัธยมมีแค่คนเดียวที่สนิทอยู่ในกลุ่มผู้หญิง ที่เหลือก็เป็นเพื่อนต่างห้องคบผ่านๆไม่ได้สนิทไร ตอนเข้ามหาลัยจำได้ว่าคณะที่เข้ามีผู้ชาย3คน ที่เหลือผู้หญิงตุ๊ดกะเทยหมดเลย เรารู้สึกงงเวลาที่ฟังพวกเค้าคุยกัน จะมีศัพท์แปลกๆ คำพูดแปลกๆ งงๆนิด มีคนตลกๆเหมือนเราเยอะนะ อยู่กับกะเทยเรียนรู้เรื่องยาคุมกับวิตามิน อยู่กับเกย์ฟังมันเล่าวิธีล่าผู้ชาย ก็สนุกดี ตลกดีๆ กลุ่มนี้แหละที่รู้สึกว่าตลกดี ที่รู้สึกโอเคเพราะมีคนที่เป็นแบบเดียวกับเราเยอะ พูดหลายๆเรื่องอาจจะคลิกกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เรียนที่นั้น ก็รู้สึกเสียดายนิดๆ ปัจจุบันเลยไม่มีเพื่อนเป็นตุ๊ดเป็นกะเทยอยู่ดี เนื้องจากการแอ๊บแมนมาตั้งแต่เด็กๆ
จริงๆตอนแรกจะเขียนให้มันออกมาตลกนะ ไปๆมาๆรู้สึกดราม่าสะงั้น แต่เราไม่ได้เครียดเลย พอมองย้อนกลับไปแล้วมันตลกจริงๆ ทุกวันนี้มีเพื่อนหลายๆแบบนะ รู้สึกโอเคมาก แล้วก็คิดว่าเป็นตุ๊ดอะจะเครียดทำไม มันมีอย่างอื่นให้เครียดมากกว่า มันมีการเรียน มันมีงาน มันมีการใช้ชีวิตให้เครียดอีกเยอะ ความรับผิดชอบมันมีอีกเยอะ เพราะฉนั้นตุ๊ดไม่ใช่ปัญหาโลกแตก คนอื่นมองยังไงก็ชั่งมัน เรามองให้มันตลกไว้ก่อนจะได้ไม่ต้องมาบั่นทอนจิตใจ
เขียนครั้งแรกผิดถูกยังไงอย่าว่ากันเลยนะ
เรื่องเล่าตุ๊ดแอ๊บแมน
เรื่องมีอยู่ว่าเราเนี้ยรู้ตัวว่าตัวเองเป็นตุ๊ดตั้งแต่เด็กๆ แต่แบบใจนึงมันต่อต้านอะ ว่าชั้นไม่ใช่แน่ๆ ชั้นไม่อยากเป็น ด้วยความเป็นเด็กมันทำให้เราคิดแบบงี้ประกอบกับที่คนรอบข้างเราส่วนมากเป็นผู้ชาย เราจะโดนล้อว่าเป็นตุ๊ดๆๆๆๆ ตุ๊ดๆๆๆ ตั้งแต่เด็กๆ ญาติเราเป็นผู้ชายเยอะ พ่อก็ชอบพาไปปล่อยไว้กับญาติผู้ชายมั้งแหละ นี้ก็ต้องฝืนทนเล่นบอล เล่นดินเล่นทราย ทั้งที่ใจจริงอยากเล่นหมากเก็บ อยากโดดยางจะตาย พ่อแม่ก็เหมือนจะรู้แหละว่าเราไม่น่าใช่ผู้ชายแน่ๆ แต่ทั้งคู่ก็ไม่อยากด่วนตัดสินใจว่าเราเป็นอะไรกันแน่ ซึ้งพ่อแม่อาจจะคิดว่าการที่เราอยู่กับเด็กผู้ชายเยอะๆอาจจะซึมซับให้เราหายได้ ( ซึ้งเรามาคิดดูมันก็ตลกดีที่พ่อแม่คิดแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้โกรธไรนะ เพราะพ่อแม่ก็ไม่เคยมีลูกเป็นตุ๊ด ญาติเราไม่มีใครเป็นตุ๊ดเป็นทอมเลย มีเราผ่าเหล่าอยู่คนเดียว )
ซึ้งพอเวลาผ่านไปเราก็ซึมซับนะ ซึมซับจริงๆ ตอนเด็กๆขี้น้อยใจไงเลยไม่อยากให้ใครมาพูดมาล้อเรา เราเลยซึมซับท่าทางของเด็กผู้ชาย การเดิน การพูด การแสดงออก บริบทต่างๆ ดูว่าพวกมันทำอะไรกัน เริ่มพยายามปรับเสียงของตัวเอง ไม่พยายามพูดด้วยเสียงแหลม เพราะโดนลุงด่าว่าเสียงแหลมเหมือนตุ๊ด ( เจ็บนะ แต่ทำไรไม่ได้ ) ปรับทุกอย่างไปเรื่อยๆ ซึ้งตอนนั้นอยู่แค่ ป.4 ป.5 เอง ซึ้งเราก็คิดว่าเรานี้ฉลาดมากๆคิดได้แบบนั้น
จนเวลาผ่านไป ม.ต้น พูดเลยว่าแทบจะไม่มีเพื่อนผู้หญิงเลย มีแต่เพื่อนผู้ชาย เล่นการ์ดยูกิกับเพื่อนในกลุ่ม เล่นตะกร้อเป็นกว่าเล่นบอล เล่นดอท เล่นเกมส์กับเพื่อน เริ่มรู้สึกว่าซึมซับไปได้เกือบโอเคละ ซึ้งตอนนั้นก็เป็นช่วงที่อยู่คนเดียว พ่อแม่ไม่ค่อยได้อยู่ด้วย แม่ก็ถามนะว่าไม่มีเพื่อนผู้หญิงบ้างเลยหรอ เค้าอาจจะสงสัยเพราะตอนประถมเค้าเห็นเรามีเพื่อนผู้หญิงเยอะ เราตุ้งติ้งๆ เราก็บอกว่าไม่ค่อยมี มีแต่เพื่อนผู้ชายนะ พวกญาติๆผู้ชายเวลาเจอกันก็ยังเรียกตุ๊ดๆๆๆๆอยู่ แต่หลังๆด้วยความที่เราโตขึ้นและไม่แสดงออกเลยต่อหน้าพวกเค้า ก็หยุดล้อไป เราก็สบายใจไปได้ระดับหนึ่ง รู้สึกเหมือนมีเกราะป้องกันนิดๆ
จนเวลาผ่านไปจนขึ้น ม.4 เราเลือกสายภาษาคราวนี้ห้องก็จะคละๆกันทั้งเด็กใหม่เด็กเก่า เพื่อนเราก็กระจัดกระจายไปอยู่ตามสายต่างๆ เราเลยต้องหาเพื่อนใหม่ใน ซึ้งในขณะนั้น ห้องที่เราได้อยู่ไม่มีใครที่เรารู้จักเลยเว้ย เราเลยพยายามหาเพื่อนใหม่ โดยเริ่มต้นจากการหาเพื่อนผู้ชายก่อน ตอนแรกก็มีอยู่4-5คน หลังๆกลุ่มมันใหญ่ขึ้น ซึ้งเราก็รู้สึกโอเค แต่สไตล์การพูดคุยมันไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด มันไม่ได้รู้สึกเหมือนเพื่อนผู้ชายห้องเก่าเลย ทั้งที่เพื่อนผู้ชายห้องเก่ากลุ่มใหญ่กว่าอีก เราเลยเฝดตัวออกมา แต่ก็ไม่ได้ออกมาเลย ก็ยังอยู่ในกลุ่มนั้นแหละ
เรานั่งริมๆของกลุ่ม เข้าใจอารมณ์เด็กมัธยมจับกลุ่มนั้งกันหลังห้อง มันก็จะกองๆอยู่ตรงนั้นแหละไม่ไปไหน เราก็นั่งริมๆ ซึ้งคราวนี้ริมเรานั่งติดกับผู้หญิง นางเป็นผู้หญิงแรงๆจับกลุ่มนั่งกัน6-7คนหลังห้องติดกันกับแก๊งผู้ชาย แรกๆก็ไม่ได้คุยกันไม่รู้จะคุยไร แต่เพื่อนคนนี้ก็เริ่มชวนคุย เราเลยรู้สึกว่าการคุยกับเพื่อนผู้หญิงโอเคกว่าการคุยกับเพื่อนผู้ชาย มันเหมือนมีอะไรที่คลิกกัน มีจริตที่ตรงกัน เอาเป็นว่าถ้าเราคุยกับเพื่อนผู้หญิงก็คุยได้ทุกเรื่องยกเว้น เรื่องเครื่องสำอาง แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็ได้ทุกเรื่องยกเว้น เรื่องวงการฟุตบอล ด้วยความที่นั่งติดๆกัน คราวนี้ก็เริ่มสนิทกับกลุ่มผู้หญิงมากกว่ากลุ่มผู้ชาย เวลาไปเที่ยวเราก็จะไปกับกลุ่มผู้หญิงบ่อยกว่า และหลังจากนั้นเราก็มีเพื่อนผู้ชายต่างห้องซึ้งเป็นห้องเก่าๆผสมกับเพื่อนใหม่ๆ ซึ้งเราก็โอเคที่มีเพื่อนหลายๆกลุ่ม
จนมาวันนึงมีรุ่นพี่ ผญ. ม.6 ทักเรามา พยายามจีบเรา เรารู้แหละว่าเค้ามาจีบเราแน่ๆ เค้ารุกหนักอยู่พอสมควร เค้าพยายามทักมาทุกวัน คุยกันทุกวันตอนนั้นในใจคิดว่าเอาไงดี เลยตัดสินใจไปว่าลองดู เผื่อมันอาจจะทำให้เรากลับเป็นผู้ชายก็ได้ แต่พอคุยกันไปแล้ว มีความรู้สึกอึดอัดใจนิดๆ เหมือนว่าเรากำลังทำบาปอยู่เลย กำลังหลอกเค้า กำลังใจใช้เค้าเป็นเครื่องมือ มันรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่คุยกัน รู้สึกว่าไม่โอเค ที่ต้องตามใจคนที่เราไม่ได้รู้สึกดี เราเลยตัดสินใจเลิกคุย คุยกันได้เดือนกว่าๆ ไม่อยากให้เค้าโดนล้อด้วยแหละ เหมือนแบบถ้าสักวันนีงเราแน่ใจกับตัวเองว่าเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ แล้วมองย้อนมาเค้าอาจจะโดนเพื่อนหรือคนรอบข้างว่าแฟนเก่าเป็นตุ๊ด เคยคบตุ๊ดหรอไรงี้ เราว่าเราเริ่มยอมรับการที่ตัวเองเป็นอะไรก็ตอนนั้นแหละ
เรารู้สึกว่าโอเคเรารู้ละ เราจะไม่หลอกตัวเอง แต่ในใจเรายังกลัวอยู่นิดๆ กลัวว่าพ่อแม่จะผิดหวัง กลัวว่าต้องถูกดูถูกดูแคลนถูกล้อด้วยคำเหล่านั้น จริงๆมันมีอีกหลายอย่างที่คนเป็นตุ๊ดอย่างเราๆโดนเว้ย แต่เราเขียนไม่ได้มันหยาบคาย แล้ววันที่สารภาพกับแม่ก็มาถึง เรารู้สึกว่ามันถึงเวลาละที่ต้องพูด ชั่งมันอะไรจะเกิดก็เกิด แม่กลับมาบ้าน3วัน เราตั้งใจจะพูดตั้งแต่วันแรก แต่มันพูดไม่ออกจริงๆ มันรู้สึกใจเต้นตึกๆ รู้สึกหน้าแดงๆ ตัวสั่นๆ น้ำตานี้คลอเบ้าเลย จนผ่านไปวันสุดท้าย เราเลยคิดว่าไม่ได้ละต้องพูดสักที วิธีที่เราใช้คือเขียนใส่เวิร์ดในคอม เขียนเป็นเรียงความเลยหนึ่งแผ่นแล้วปริ้นออกมา ตอนแรกจะเดินไปให้เฉยๆ แต่ก็ไม่กล้าอยู่ดีที่เค้าจะอ่านต่อหน้าเรา รู้สึกกลัวขึ้นมาอีกแล้ว เราเลยขอเงินเค้าไปซื้อของกินน่าปากซอย แล้วบอกว่าอ่านนี้ด้วยนะ เค้าก็ถามว่าอะไร เราเลยตอบไปว่าอ่านไปเถอะ แล้วเราก็รีบคว้าเงินแล้ววางกระดาษไว้หน้าตักเค้า เค้ากำลังดูทีวี เราเลยรีบใส่รองเท้าแล้วเดินออกไปซื้อของกิน ตอนนั้นคิดไม่ออกเลยว่าจะซื้อไร คิดแค่ว่ามันจะโอเคมั้ยว่า เอาไงดีว่ะ กลับไปโดนไรบ้างว่ะ เค้าจะโอเคมั้ยว่ะ เราเลยตอนไปซื้อโค้กใส่ถุง แล้วดูให้หมดทีเดียว กลั่นใจเดินกลับ คิดว่าเอาว่ะ เอาไงเอากัน เป็นยังไงก็ต้องรับให้ได้ กลับไปถึงบ้านนี้จำได้เลยว่าแม่นั่งอยู่บนเตียงในห้องนอน เราก็ทำใจแข็งเดินไปนั่งเล่นคอมต่อ เค้าก็เรียกเราเข้าไปในห้อง เรานี้ตัวแข็งเลย ใจเต้นตึกๆๆๆๆจนได้ยินเสียงตัวเองอะ หูนี้อื้อไปหมด เราเดินเข้าไป เค้าบอกนั่งข้างแม่ แล้วเค้าก็พูดขึ้นมาคำนึงว่า เป็นอะไรก็เป็นไปเถอะ เป็นคนดีของแม่ก็พอ ในใจคิดว่าประโยคสารภาพสุดฮิต แต่พอสิ้นเสียงเท่านั้นแหละ เหมือนแบบปลดล๊อคเลย เหมือนทั้งตัวโล่งไปหมด น้ำตาที่คลอเบ้านี้เอ่อล้นออกมาเลย คือแบบอายก็อาย ดีใจก็ดีใจ ซึ้งหลังจากนั้นเค้าก็ถามว่าเป็นนานยัง รู้ตัวเมื่อไร แม่ยังเห็นมีแฟนเป็นผู้หญิงอยู่เลย แล้วเค้าก็เล่าให้ฟังว่า รู้อยู่แล้วแหละว่าเป็น แต่รอให้พูดเองดีกว่า แม่รักหนูนะไม่ว่าจะเป็นอะไร พ่อแกก็เที่ยวบอกคนอื่นว่าแกไม่ได้เป็น มันเป็นผู้ชายเรียบร้อย มันเรียบร้อยๆ ไม่ดื้อ เรานี้ฟังปุ๊บขำก๊ากเลย หลังจากนั้นเค้าก็เล่าเรื่องเทือกๆนี้ให้ฟัง แล้วเค้าก็ถามว่านี้บอกใครรึยัง เราก็บอกว่บอกแม่คนแรก แม่ก็ถามว่าจะให้บอกพ่อมั้ย เราก็บอกว่าแล้วแต่ ( ป่านนี้ไม่รู้บอกรึยัง ) สรุปกับครอบครัวแฮปปี้
คราวนี้เราก็สบายใจไปหนึ่งอย่างละ เราก็เริ่มที่จะคุยกับผู้ชายบ้าง ปกติแล้วไม่กล้าทักคน เพราะมนุษย์สัมพันธ์แย่มาก เราเป็นคนที่ปากจัด ปากจัดมากๆ แต่ไม่สู้คนนะ ปากจัดไปงั้นแหละ สร้างพาวเวอร์ แต่ข้างในเป็นคนที่ขี้กลัวขี้อาย ภาพลักษณ์ที่คนส่วนใหญ่เห็นคือเรียบร้อยนะ แต่ถ้าอยู่กับเพื่อนจะปากจัดๆ เล่นอะไรโง่ๆหน่อย จนมีผู้ชายคนนึงทักมา เราก็เริ่มคุยๆ เพื่อนผู้หญิงก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นและเริ่มสงสัยเรา แล้ววันนึงมันก็เปิดแชทเรา แอบดูว่าเราคุยกับใคร ตอนนั้นโกรธมาก รู้สึกอายด้วยที่ถูกจับได้ เลยพูดกับเพื่อนไปตรงๆ เพื่อนผู้หญิงก็แบบรู้อยู่นานละว่าเป็นอะ ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร มันก็บอกว่าเราตลกดีเป็นสีสัน พวกมันชอบที่เราด่าเจ็บๆ ก็เลยบอกพวกมันไปว่าอย่าเอาไปบอกใครนะ พวกมันก็ไม่พูดนะ จนกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เหมือนพวกมันให้เกียจ เราก็รู้สึกโชคดีนะที่มีเพื่อนแบบนี้ คราวนี้มาหนักใจที่กลุ่มผู้ชาย มันก็ถามว่า อ่าว แล้วพวกผู้ชายมันจะไม่รังเกียจหรอที่เป็นแบบนี้ เราก็แบบม่รู้หว่ะ เราก็ไม่รู้จะทำไง ก็เลยไม่ได้บอก แต่เราเคยหรอกถามมันนะ เช่น แบบเรายกตัวอย่างเพื่อนชื่อเอคนนึง ถ้าวันนึงมันกลายเป็นตุ๊ด เป็นเกย์ จะรู้สึกไงกันว่า คำแรกที่เราได้ยินเลย ตัดเพื่อน ! ตอนนั้นแบบรู้สึกจึ๊กเลยนะ รู้สึกแบบเจ็บใจนิดๆ รู้สึกเสียใจ แต่ก็พูดไรไม่ได้เลยยิ้มหัวเราะกลบเกลื่อน หลังจากนั้นมาเราเลยไม่คิดจะบอกพวกมันเลย ส่วนนึงกลัวว่าพวกมันจะไม่สนิทใจที่จะไม่คบเป็นเพื่อนต่อ เพราะพวกมันก็เคยมาค้างบ้าน ไปเที่ยวกับพวกมันก็บ่อย แก้ผ้าเห็นของพวกมันทุกคนก็เคยเห็นมาแล้ว กลัวว่ามันจะคิดว่าเราไปอะไรกับมัน ซึ้งจริงๆคือสาบานได้เลยว่าไม่ได้คิดไรเลย เรารู้กจักการวางตัว เพื่อนก็คือเพื่อน เรารู้จักขอบเขต จนถึงปัจจุบันเราก็ยังไม่เคยพูดกับพวกมันว่าเป็นอะไร
ซึ้งพอเวลาผ่านไป เราก็คิดได้ว่าไม่รู้จะเก็บมาซีเรียสทำไม มันเหมือนมีไรมาจุดความคิด ใครจะคบกับเราเป็นเพื่อนก็คบ ใครจะไม่คบก็ไม่ต้องไปคบ หลังๆมาเลยเริ่มสตรอง และวิธีแก้ปัญหานี้คือ เราจะแสดงออกเพื่อนผู้ชายอีกแบบหนึ่ง ต่อหน้าเพื่อนผู้หญิงอีกแบบหนึ่ง เหมือนถ้าคุยกับเพื่อนผู้หญิงจะแสดงออกพูดเสียงแหลมๆ พูดหยาบๆ เติมดอกไม้ต้นประโยคท้ายประโยค ถ้าคุยกับผู้ชายก็จะใช้ศัพย์พ่อขุนหน่อย เล่นแรงหน่อย ถ้าไปเที่ยวด้วยกันสองกลุ่มก็แสดงออกสองอย่างเลย เพื่อนผู้ชายมันก็เห็นเวลาเราพูดกับผู้หญิงนะ เห็นบ่อยด้วย เราชอบพามาเจอกัน เห็นยังไงก็ชั่ง เราจะไม่ค่อยแสดงออกทางท่าทาง แต่จะแสดงออกทางคำพูดมากกว่า เพื่อนผู้ชายมันก็ถามนะตกลงเป็นไร เลยตอบไปว่าคิดว่าเป็นไรก็เป็นอย่างงั้นแหละ มันก็ดีนะที่มีเพื่อนทั้งผู้หญิงผู้ชาย เราว่าเราเข้าใจเพื่อนทั้งสองแบบนะ ผู้หญิงจะยิบย่อยละเอียดหน่อย ส่วนผู้ชายอะไรก็ได้ยังไงก็ได้ไม่เรื่องมาก มันก็โอเคกับการเป็นตุ๊ดที่ได้รู้เรื่องของคนสองกลุ่มนะ ปัจจุบันก็ยังไม่มีเพื่อนผู้ชายคนไหนที่เลิกคบเราเป็นเพื่อนนะ
แต่ที่แปลกคือเราไม่มีเพื่อนที่เป็นตุ๊ตเป็นเกย์เลยเว้ย ตั้งแต่มัธยมมีแค่คนเดียวที่สนิทอยู่ในกลุ่มผู้หญิง ที่เหลือก็เป็นเพื่อนต่างห้องคบผ่านๆไม่ได้สนิทไร ตอนเข้ามหาลัยจำได้ว่าคณะที่เข้ามีผู้ชาย3คน ที่เหลือผู้หญิงตุ๊ดกะเทยหมดเลย เรารู้สึกงงเวลาที่ฟังพวกเค้าคุยกัน จะมีศัพท์แปลกๆ คำพูดแปลกๆ งงๆนิด มีคนตลกๆเหมือนเราเยอะนะ อยู่กับกะเทยเรียนรู้เรื่องยาคุมกับวิตามิน อยู่กับเกย์ฟังมันเล่าวิธีล่าผู้ชาย ก็สนุกดี ตลกดีๆ กลุ่มนี้แหละที่รู้สึกว่าตลกดี ที่รู้สึกโอเคเพราะมีคนที่เป็นแบบเดียวกับเราเยอะ พูดหลายๆเรื่องอาจจะคลิกกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เรียนที่นั้น ก็รู้สึกเสียดายนิดๆ ปัจจุบันเลยไม่มีเพื่อนเป็นตุ๊ดเป็นกะเทยอยู่ดี เนื้องจากการแอ๊บแมนมาตั้งแต่เด็กๆ
จริงๆตอนแรกจะเขียนให้มันออกมาตลกนะ ไปๆมาๆรู้สึกดราม่าสะงั้น แต่เราไม่ได้เครียดเลย พอมองย้อนกลับไปแล้วมันตลกจริงๆ ทุกวันนี้มีเพื่อนหลายๆแบบนะ รู้สึกโอเคมาก แล้วก็คิดว่าเป็นตุ๊ดอะจะเครียดทำไม มันมีอย่างอื่นให้เครียดมากกว่า มันมีการเรียน มันมีงาน มันมีการใช้ชีวิตให้เครียดอีกเยอะ ความรับผิดชอบมันมีอีกเยอะ เพราะฉนั้นตุ๊ดไม่ใช่ปัญหาโลกแตก คนอื่นมองยังไงก็ชั่งมัน เรามองให้มันตลกไว้ก่อนจะได้ไม่ต้องมาบั่นทอนจิตใจ
เขียนครั้งแรกผิดถูกยังไงอย่าว่ากันเลยนะ