......"อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ปล่อยเขา"......

ต้องนับว่าผู้ที่มีโอกาสมาพบเจอพระพุทธศาสนาเป็นผู้มีบุญมาก
หลายท่านได้ทั้งศึกษาและน้อมนำไปปฏิบัติ
แต่ก็น่าเสียดายที่ยังมีคนอีกมากมายที่ได้แต่เพียงเป็นผู้รู้จักพระพุทธศาสนาเท่านั้น
ดังพุทธพจน์ว่า


"กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ      ยาก ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
กิจฺฉํ มจฺจนาชีวิตํ            ยาก ที่ชีวิตสัตว์อยู่สบาย
กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ         ยาก ที่จะได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ
กิจฺโฉ พุทธานมุปฺปาโท    ยาก ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติมา"


พระพุทธเจ้า เมื่อประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระแก่รูปหนึ่ง ได้ตรัสพระธรรมเทศนาคือคาถาที่ปรากฏ ณ เบื้องต้น ในวันหนึ่ง ขณะที่การเทศน์และการฟังธรรมยังมีอยู่ในตอนกลางคืน ฝ่ายพระบรมศาสดาทรงประทับยืน ณ แผ่นหินแก้วมณี ใกล้ประตูพระคันธกุฎี ทรงประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุเสร็จแล้วเสด็จเข้าไปในพระคันธกุฎี ในขณะนั้น พระโมคคัลลานะได้เข้าไปถามปัญหากะท่านพระสารีบุตร แม้บริษัททั้ง ๔ ก็นั่งฟังธรรมอยู่

ในขณะนั้น มีหลวงตาแก่รูปหนึ่งคิดว่า เราจะแกล้งพระสารีบุตรเล่นด้วยการถามปัญหาที่ยาก ๆ ทำให้ท่านลำบากในท่ามกลางหมู่บริษัท คนทั้งหลายก็จะได้รับรู้ว่าเราเป็นผู้มีปัญญาเป็นผู้คงแก่เรียน ก็จะทำการยกย่องนับถือเรา จึงเข้าไปหาพระเถระแล้วถามว่า

“อาวุโส สารีบุตร ข้าพเจ้าขอถามปัญหาแก่ท่านสักข้อหนึ่ง ขอท่านจงช่วยแก้ปัญหาให้กระผมด้วยเถิด”

พระเถระพิจารณาหลวงตารูปนี้ก็รู้ได้ทันทีว่า “หลวงตารูปนี้ มีความริษยา โง่ไม่รู้เรื่องอะไรแล้วยังอยากจะอวดความฉลาดอีก”

จึงไม่ยอมตอบอะไรลงจากอาสนะแล้วก็หลีกไป  ฝ่ายพระโมคคัลลานะเห็นเช่นนั้นก็กลับกุฎิทันที พวกมนุษย์เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังนั้น ก็ไม่พอใจลุกขึ้นแล้วพากันบอกว่า

“พวกเราจงช่วยกันพากันจับหลวงตาแก่ใจร้ายรูปนี้ ท่านทำให้พวกเราไม่ได้ฟังธรรมที่ไพเราะจากพระสารีบุตร”

หลวงตาเห็นสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจจึงรีบวิ่งหนีจากไปทันที ด้วยความโชคร้ายจึงพลัดตกลงไปในหลุมอุจจาระข้างท้ายวิหาร มีตัวเหม็นสกปรกไปด้วยของสกปรก พวกมนุษย์เห็นแล้วรู้สึกรังเกียจ จึงกลับไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา พระพุทธเจ้าเห็นเหล่าอุบาสกและอุบาสิกามาผิดเวลาจึงตรัสถามว่า

“ดูก่อนอุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลาย ทำไมพวกท่านจึงมาผิดเวลา”  

พวกมนุษย์จึงกราบทูลเรื่องทั้งหมดให้ทราบ พระพุทธองค์เจ้าได้ทรงสดับเรื่องทั้งหมดแล้วจึงตรัสว่า

“ดูก่อนท่านทั้งหลาย หลวงตารูปนี้หยิ่ง อวดดี ไม่รู้ประมาณในตนเอง ชอบแข่งดีกับคนที่เก่งกว่าจึงทำให้มีตัวเปื้อนอุจจาระ ไม่ใช่เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เธอก็เคยมีสภาพอย่างนี้มาแล้วเหมือนกัน”

บรรดาอุบาสกและอุบาสิกาได้ฟังแล้ว จึงกราบทูลอาราธนาแล้ว พระพุทธองค์จึงทรงนำเรื่องอดีตชาดกมาสาธกยกอธิบายให้ฟัง ดังต่อไปนี้

อดีตชาติเนื้อหาชาดก

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี มีราชสีห์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำที่ภูเขาใกล้ป่าหิมพานต์ ในที่ไม่ไกลจากนั้น มีเหล่าสุกรเป็นจำนวนมาก อาศัยอยู่ใกล้สระแห่งหนึ่ง พระดาบสทั้งหลายก็ปลูกบรรณาศาลาอยู่ใกล้สระนั้น วันหนึ่ง ราชสีห์ตัวนั้นได้ฆ่าสัตว์กินเป็นอาหารจนอิ่มแล้วได้ลงมาดื่มน้ำที่สระนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่มีสุกรอ้วนตัวหนึ่งเที่ยวหากินอยู่แถวนั้น ราชสีห์เห็นแล้วนึกอยากกินมันเป็นอาหาร แต่เนื่องจากตัวเองกำลังอิ่มอยู่ จึงคิดว่าถ้ามันเห็นเราจะไม่กล้ามาแถวนี้อีก จึงรีบขึ้นจากสระแล้วหลบเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง


สุกรเห็นดังนั้นจึงสำคัญผิดคิดว่า ราชสีห์กลัวตนจึงรีบหนีไป วันนี้เราควรจะต้องต่อสู้กับราชสีห์ตัวนี้ แล้วชูหัวขึ้นร้องเรียกราชสีห์ให้มาต่อสู้กันด้วยเสียงที่องอาจในคาถาแรกว่า

"ดูก่อนสหาย เราก็มี ๔ เท้า แม้ท่านก็มี ๔ เท้า จงกลับมาสู้กันก่อนเถิดสหาย ท่านกลัวหรือไง จึงได้หนีจากไป"

ราชสีห์ได้ฟังคำท้าของสุกรนั้นจึงกล่าวว่า “ดูก่อนสุกรเพื่อนรัก วันนี้เราจะยังไม่ยอมสู้กับท่าน แต่นับจากวันนี้ไปอีก ๗ วัน ท่านจงมาสู้กับเราตรงนี้เถิด” กล่าวดังนั้นแล้วก็หลีกไปทันที

สุกรได้ยินดังนั้นก็เกิดความคึกคักว่า เราจะได้ต่อสู้กับราชสีห์จึงรีบกลับไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หมู่ญาติฟัง พวกญาติได้ฟังก็พากันตกใจรีบตำหนิสุกรตัวนั้นทันทีว่า

“เจ้าจะพาพวกเราให้พบกับความพินาศกันหมดในคราวนี้ เจ้าไม่รู้จักประมาณตนเอง เจ้าอย่าได้ทำเรื่องที่โง่เขลาไปเลย”

สุกรได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจหน้าซีดเกิดความกลัวขึ้นมาทันทีถามว่า “แล้วพวกท่านจะให้เราทำอย่างไรดี?”

พวกญาติจึงแนะนำอุบายให้ว่า “ขอให้เจ้าจงไปในหลุมอุจจาระของพวกเหล่าดาบสแล้วเอาตัวลงไปเกลือกในหลุมนั้นรอให้ตัวแห้ง แล้วในวันที่ ๗ ให้เอาตัวลงไปกลิ้งบนหญ้าให้เปียกน้ำค้างอีกครั้งหนึ่ง จากนั้น ให้ไปที่นัดแนะก่อนที่ราชสีห์จะมา ให้สังเกตทางลมให้ดี ให้ไปยืนอยู่เหนือลม ราชสีห์เป็นสัตว์สะอาด พอมันได้กลิ่นตัวแก รับรองได้ที่นี้ มันจะให้แกชนะรีบหนีไปทันที”


สุกรได้ฟังก็ดีใจได้ทำตามนั้นทันที ในวันที่๗ ได้ไปยืนดักราชสีห์ทันที ใจเต้นระทึกด้วยความหวาดกลัว เมื่อราชสีห์มาถึง มันขยับจมูกไปมาด้วยความเหม็นแทบอาเจียนแล้วกล่าวว่า

เพื่อนสุกรเอ๋ย ท่านมีชั้นเชิงดีมากเหลือเกิน หากตัวเจ้าไม่มีตัวเหม็นละ ก็เราจักฆ่าท่านตรงนี้เอง แต่บัดนี้ เราไม่อาจใช้ปากกัดท่าน หรือเอาเท้าเหยียบตัวท่านได้เลย เรายอมให้ท่านชนะก็แล้วกัน จากนั้น จึงได้กล่าวคาถาที่สองนี้ว่า

ดูก่อนสุกร เจ้าเป็นสัตว์สกปรก มีขนเหม็นเน่า มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป ดูก่อนสหาย หากท่านอยากจะสู้กับเรา เราก็จะให้ชัยชนะแก่ท่านก็แล้วกัน

ความหมายของสองคาถาข้างต้น

[สุกรเข้าใจผิดที่เห็นราชสีห์หนีไป จึงคิดว่าราชสีห์กลัวตนเองจึงฮึกเหิมกล้าท้ารบกับราชสีห์ ด้วยความสำคัญผิดดังคาถาแรกที่มันกล่าวเอาไว้ แต่เพราะความฉลาดเจ้าเล่ห์ของพวกญาติจึงทำให้มันสามารถเอาชนะราชสีห์ ตามที่ราชสีห์ได้กล่าวตำหนิสุกรไปในคาถาที่ ๒]

ราชสีห์กล่าวด้วยความอ่อนใจว่า “เราแพ้แล้ว เจ้าไปเสียเถิด” ดังนี้แล้วก็กลับจากที่นั้นเที่ยวออกหาอาหาร ดื่มน้ำในสระแล้วก็กลับเข้าถ้ำตามเดิม ฝ่ายสุกรก็ดีใจรีบกลับมาบอกแก่พวกญาติทันทีว่า “เราชนะราชสีห์แล้ว” พวกสุกรได้ฟังก็ตกใจกลัวว่าราชสีห์จะกลับมาฆ่าพวกตนให้ตายหมด จึงพากันอพยพหนีไปอยู่ที่อื่น

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า

“สุกรในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุแก่ในครั้งนี้
ส่วนราชสีห์ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล”


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


กราบท่านสมเด็จน้อม...บูชา
หนักแน่นยิ่งหินผา........เยี่ยมแท้
ฝูงมารอัปรา................เพราะเหตุ...นี้นอ
ลูกศิษย์พระสุคตแล้......นิ่งแล้วชนะมาร
Cr. Nik
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่