บทนำ เด็กวัยรุ่นเมื่อเกิดสภาวะแทรกซ้อนหนักๆ เช่นเกิดความเครียด ความกดดัน เก็บกดตนเอง ความผิดหวังอย่างรุ่นแรง หรือเกิดจากการให้หรือการสั่งสอนแบบผิดๆ ในเบื้องต้น หรือเรียนในสิ่งที่ไม่มีความสามารถตามระดับของตนเอง แล้วเกิดท้อถอยอย่างรุนแรงในภายหลัง ก็ก่อให้เกิดเป็นโรคซึมเศร้าได้ ไม่ว่าเด็กคนนั้นเป็นเด็กปกติหรือบกพร่อง จะเรียนเก่งหรือไม่เก่งก็ตาม (กรณีนี้ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด) ถ้าพ่อแม่ไม่ใกล้ชิดกับลูกพอ และไม่รู้จักบรรเทาปัญหาเขาได้ทันทวงที เด็กก็จะไม่จบ ม.6 หรืออาจจบ แต่ถึงขั้นร้ายแรงคือกลายเป็นโรคซึมเศร้า ต่อด้วยเป็นโรคจิต ที่ไม่สามารถแก้ไขเป็นปกติได้ เป็นปัญหาของครอบครัวและสังคมต่อไปตามลำดับ ซึ่งสภาวะที่นำไปจนเกิดเป็นโรคอย่างนี้ ปรากฏเห็นได้มากขึ้นในสังคมปัจจุบัน.
การบริหารจัดการลูก จากผู้เป็นพ่อ เผื่อพ่อแม่วัยอ่อน ที่ลูกกำลังเติบโตและมีปัญหาได้ข้อคิดพอนำไปใช้ได้บ้าง ผมมีลูกสองคนถือว่าน้อย แต่น่าหนักใจยิ่ง เมื่อลูกมีปัญหา
ผมเติบโตมาจากวัยเด็กที่มีความกดดันและทุกข์สุดๆ จากฐานะกับความหวังและปรารถนาของตนเอง จนถึงวัยรุ่นจนเรียนจบมหาลัย แต่ได้เห็นเด็กที่มีปัญหา ทั้งที่มีทุกอย่างพร้อมทั้งทางฐานะและการเงิน และมีบุคลิกปกติเหมือนเด็กทั่วไป แต่ไม่สามารถเรียนหนังสือจบ ป.6 ได้ ที่โดนเรียกว่า เด็กโง่ หรือมีความบกพร่อง ถึงสองคนและได้ทราบและเห็นถึงพฤติกรรมของเขา ที่ดำเนินไปตามลำดับทั้ง 2 คนนั้น ที่ไม่สามารถเรียนถึง ป.6 ได้ ซึ่งผมเคยคิดในตอนสมัยผมเป็นวัยรุ่นว่า ถ้าเกิดเป็นลูกเรา จะทำอย่างไร เราสามารถแก้ไขเขาได้หรือ? เราน่าจะแก้ได้? แล้วเลิกคิดไปตามประสาวัยรุ่นนั้น
เด็กที่มีปัญหาสองคนนั้นเป็นดังนี้.
คนที่ 1. เป็นลูกของผู้มีฐานะ และมีอิทธิพล แต่เรียนรู้ได้ช้า จนไม่อยากไปโรงเรียน ตั้งแต่ ป.1 จนถึง ป.3 ก็เลิกเรียนไป ทั้งที่พ่อแม่สามารถหาให้ได้ทั้งโรงเรียนและครูสอน แล้วก็กลายเป็นนักเลง และต้องจบชีวิตลงเพียงอายุ ประมาณ 15 ปี (ถูกยิงตาย) เรื่องนี้กระทบกับความรู้สึกผมพอควร เพราะเห็นและเคยเล่นกันตั้งแต่วัยเด็ก เห็นการพัฒนาการของเขา
คนที่ 2. เป็นลูกผู้มีฐานะ มีพร้อมให้เขาทุกอย่างในการศึกษา ทั้งการเรียนพิเศษหรือมีครูพิเศษ แต่ผมได้เจอเขาตอน ป.4 และตกช้ำชั้น แล้วเริ่มเกเร ซึ่งเป็นช่วงที่สายไปแล้ว หลังจากนั้นก็เลิกเรียนไป โตขึ้นมากลายเป็นภาระของแม่อย่างยิ่ง จนต้องยอมออกจากงานระดับผู้จัดการที่ทำมาเป็น สิบๆ ปี เพื่อจะช่วยพยุงลูกคนเดียว ขึ้นมาได้บ้างไม่ให้แย่ไปกว่านั้น ยอมเสียทรัพย์ไปกับลูกมาก แต่ไม่สามารถดึงกลับขึ้นมาได้ แล้วฐานะกลับลำบากลงอย่างมาก เหตุการณ์นี้สะเทือนใจผมมาก เพราะท่านเคยช่วยเหลือผมมาบ้าง
แล้วลูกผมก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน คือมีความบกพร่องทั้งการอ่านและการเขียน จึงทำให้การเรียนรู้ช้า ส่วนสาเหตุ อาจจะเกิด ตอนอายุเขา 1 ขวบ เขามีปัญหาเรื่องต่อมทอนซิล โตระดับขนาด 2 แล้วโตขึ้นมาเรื่อยๆ จดระดับ 3 จนระดับ 3 กว่า แล้วคงที่ระดับนั้น คือถ้าถึงระดับ 4 เป็นระดับอันตราย เด็กหยุดหายใจได้ตอนนอนหลับ มีผลต่อสมองขาดออกชิเจน เขาจึงต้องเข้าโรงพยาบาลเกือบทุกเดือน ต้องกินยาเหมือนกินน้ำ นี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พี่สาวเขา ปฏิเสธไม่สอบเรียนแพทย์ เพราะเขาเห็นความเครียดของผู้ป่วย และแพทย์ ที่ต้องรักษาคนป่วยจำนวนมากต่อวัน ด้วยเขาต้องติดตามแม่พาน้องไปหาหมอ ได้เห็นเป็นประจำ แล้วจำฝังใจแต่นั้นมา
ซึ่งลูกสาวคนโต ได้รับการประกองปรับแต่งต่างจากลูกชายคนเล็ก คนละแนวทางกันเลย การปรับส่งเสริมลูกสาวตามฐานะ จนเขาค่อยๆ เรียนเก่งขึ้น ตามลำดับ ผลการเรียนไม่เคยต่ำกว่าเกรด 3 ตั้งแต่อนุบาล มีกำลังใจในการเรียนอยู่ในแนวหน้าของโรงเรียนที่เรียนอยู่ตามลำดับ ตามที่ย้ายไปเรียนแต่ระดับ โดยที่ผมไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าต้องเข้าโรงเรียนดัง เพราะผมยังจนอยู่ ไม่พร้อมที่จะให้ลูกเรียนพิเศษได้เต็มที่ตามต้องการของลูกสาวตั้งแต่ต้น สิ่งที่ผมและภรรยาสอนเขาเป็นพื้นฐานเขาคือ การมีศีลธรรม การปฏิบัติธรรม และสภาพความเป็นจริงฐานะของพ่อแม่ แต่ไม่ใช่กดให้ต่ำจนต่ำต้อย แล้วผมก็ช่วยสอนติววิชาการให้เขา แล้วภายหลังเขาได้เรียนพิเศษมากตามต้องการก่อนเข้ามหาลัย จนเขาสามารถจะสอบติดแพทย์ได้ ถ้าเขาต้องการ เพราะคะแนนพื้นฐานแพทย์เขาได้ถึง 68 % ส่วน O-net เขาได้ถึง 76 % ดังนั้นเหลือแค่ A-net ถ้าเขาทำได้แค่ 55 % ขึ้นไปเขาก็มีโอกาสติดแพทย์ได้แล้วในช่วงเวลานั้น แต่เขาไม่ต้องการปฏิเสธอย่างแข็งขัน ทิ้งไปเฉยๆ ไม่ย่อมอ่านหรือทบทวนเพื่อสอบ A-net เพื่อทำคะแนนให้ดีขึ้น เพราะกลัวคะแนนถึงแพทย์แล้วพ่อบังคับเรียน
เขาได้เข้าเรียน คณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ม.มหิดล จบด้วยเกียรติ์นิยมลำดับ 2 ได้งานก่อนจบ แล้วเรียนต่อจนจบปริญญาโท ม.จุฬา ปริญญานิพนธ์ยอดเยี่ยม ทั้งที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ด้วยทุนของตนเอง จบภายใน 2 ปี แต่เขาบอกโคตรเหนื่อยมากๆ ไม่เอาอีกแล้วกับการเรียนปริญญาเอก ถ้าเรียนแบบปริญญาโท ที่บังคับตัวเองให้จบภายใน 2 ปีพร้อมทำงานไปด้วยแล้วต้องได้ผลดีเยี่ยมด้วย ออ.. เขาอายุห่างกับน้องชาย ถึง 8 ปี
มากล่าวถึงลูกชาย ช่วงอนุบาล ป1.- ป.3 เขามีอาการเช่นเดียวกับเด็ก ทั้งสองคนที่กล่าวไว้ คือไม่ยอมไปโรงเรียน แต่ต้องบังคับไปเป็นประจำ และมีอาการทางสังคมแบบทึบกว่าหรือโง่กว่าอย่างเห็นๆ แบบว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันหรือเด็กรุ่นน้องรู้ได้ ก็เพราะความเข้าใจในการเรียนรู้ไม่ทันคนอื่น และจะงอแง พาไปไหนถ้าไม่ถูกใจจะงอแงจนวงแตกต้องรีบพากลับบ้าน ยิ่งไปทำบุญที่วัดก็จะมีปัญหาเขาก็จะงอแงประจำ ไม่สามารถอยู่นานจนรับศีลรับพรจากพระได้ วนอยู่อย่างนั้นเป็นประจำจนแม่เขาเครียดและเสียใจเรื่องนี้มาก แต่ก็พยายามสอนศีลธรรมให้เขา เขาก็ซึมซับ ศีลได้อย่างดี คือไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่น ไม่ขโมยและไม่โกหกเลย แต่เมื่อไปทำบุญเขาก็จะแอนตี่ เขาไม่อยากทำ เขามีคำถามกลับมาประจำว่า ทำบุญทำไม? ไม่เห็นได้อะไร? ทำไมต้องเอาเงินและของไปให้พระ? และคำถามที่ผมรู้สึกภูมิใจในตัวเขา คือทำไมต้องรักษาศีล 5 ? ซึ่งปกติก็ไม่ได้ผิดอยู่แล้ว
เขายังเป็นไม้อ่อนที่ผมยังมีเวลาสามารถดัดเขาได้ แม่เขาก็พยายามสอนเขาทั้งการอ่านและการเขียนทุกอย่าง ดังที่เคยสอนลูกคนโต ทั้งที่ต้องเหนื่อยจากงานประจำแล้วต้องมาเหนื่อยและเครียดที่ต้องสอนเขา แล้วเสียน้ำตากันทั้งสองฝ่าย ก็ได้แค่ให้เขาเกาะลำดับ อยู่ท้ายห้อง และท้ายๆ ของโรงเรียน
จนแม่เขาเครียดกดดันมากวันแล้ววันเล่า สุดท้ายมาลงที่ผม บ่อยๆ ว่า
“รู้หรือเปล่า? ลูกคุณเป็นเด็กโง่ และจะเรียนไม่จบ ป.6 เอา”
ผมก็วางใจเฉย และยังมั่นใจว่า ลูกผมต้องจบ ป.6 จนถึง ม.6 ได้ แล้วผมก็ปลอบภรรยาไปว่า เมื่อเป็นลูกผม เหมือนผม เขาต้องเก่งขึ้นเรียนจนจบ ม.6
ดูสิ. เขาไม่ยอมแพ้ เมื่อแม่สอนการบ้านหรืออ่านหนังสือ แต่เขาทำไม่ได้ ต้องเครียดกดดันกัน จนเขาต้องร้องไห้ แล้วถอยหนีออกจากกดดันนั้น มาร้องให้สักพักหนึ่งจนคลาย เมื่อแม่เรียกเขาไปเรียนต่อ เขาก็ยังยอมไปเรียนโดยดี คือเขาไม่ยอมแพ้เขาสู้ จุดนี้เองทำให้ผมเห็นว่า เขาต้องเรียนจบ ม.6 ได้
แล้วเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ลงแบบเดิมอย่างนี้เป็นประจำ ผมต้องทำใจว่างใจเฉยๆ ไม่เข้าไปก้าวก่าย มองดูอยู่เฉยเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาไปมากกว่าเดิม จนก่อให้เกิดอารมณ์ที่ปะทะกัน
ด้วยความที่เขาไปหาหมอโรงพยาบาลรามา เป็นประจำ จึงได้ทำการทดสอบ วินิจัยกับหมอ แล้วหมอสรุป ออกมาเป็นใบจากแพทย์ทำนองว่า เขามีความบกพร่องทั้งการอ่านเขียน และคณิตศาสตร์ แต่วัดไอคิวเขาได้ 106 คะแนน ถือว่ามากกว่า 100 ไม่ใช่คนปัญญาทึบ แต่มีความบกพร่อง เพื่อนำไปให้ทางครูที่โรงเรียนได้ทราบกรณีปัญหาของเขาในการสอน
ต่อมาครูประจำชั้นเขา ป.3 เปรยๆ ว่า เขาเรียนไปไม่ไหว เพียงผลักดันให้เขาจบ ป.6 แล้วเลิกเรียนไปเอง
ต่อมา แม่ของเขา ยื่นคำขอกับผมว่า “จะลาออกจากงานราชการ เพื่อมาสอนลูก” ผมคิดและพิจารณาว่า เราก็มีฐานะดีขึ้นแล้วที่ผ่านมาก็ถือว่า เขาได้รับการสอนและเรียนพิเศษอย่างเต็มที่ มีทั้งครูพิเศษสอนตัวต่อตัวภาษาไทยแล้ว เขาก็ไม่ดีขึ้น มีแต่ผลการเรียนที่ต่ำลง เพราะพัฒนาการช้า ส่วนเด็กคนอื่นเขาพัฒนาสูงขึ้นไปตามวัย แม้จะสอนอะไรเขามากกว่านี้แบบเดิมๆ ก็ไม่ทำอะไรให้เขาดีขึ้นแน่
ผมจึงบอกภรรยาว่า “คุณจะยอมแลก เอาคนที่เรียนจบปริญญาตรีและมีงานการทำที่มั่นคงแล้ว ไปแลกกับคนที่จะไม่จบ ป.6 หรือ? และผมคิดว่า ถ้าลูกเหมือนผมเขาจะต้องจบ ป.6 ได้แน่ และยังเห็นสิ่งที่ดีของเขา คือ แม้เรียนไม่รู้เรื่องจนร้องให้ แล้วถอยหนี้จากความกดดันนั้น พอเขาหายจากการร้องให้และความกดดันนั้น เขาก็ยอมให้สอนโดยดีในครั้งต่อไป ”
หลังจากนั้นไม่กี่วันแม่เขาก็สุดทนในการสอนเขา ประกาศออกมาว่า จะไม่สอนเขาอีกแล้ว ให้ผมสอนเองเขาจะไม่สอนลูกอีกแล้วทนไม่ได้แล้ว เมื่อผมได้โอกาสผมก็ตั้งกติกากับภรรยาว่า “ถ้าให้ผมสอน คุณต้องไม่มาก้าวก่ายหรือขัดขวางวิธีการสอนของผมเลย “
เมื่อภรรยาตอบตกลง ผมจึงหาวิธี โดยการนึกย้อนพัฒนาการของตนเองตั้งแต่วัยเด็ก ป.1 ตั้งแต่เรียนไม่เก่งจนค่อยเก่งขึ้นมาตามลำดับด้วยตนเองโดยที่พ่อและแม่ไม่เคยสนใจเลย แต่ลูกผมจะยากกว่านั้นเพราะเขาบกพร่องชัดเจนมาก ซึ่งผมก็เหนื่อยใจ จากการโดนเพื่อนทำร้ายจนเจ็บตัว(แกล้ง) ขู่เอาเงินเขาไปครั้งละ 5 บาทในสมัยนั้น ที่ซ้ำร้ายเด็กเล็กกว่าเขา ชั้นอนุบาล ยังแกล้งเขาได้ ด้วยผมและภรรยาสอนเขาให้อยู่ในศีล ไม่ไปเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น คือไม่ใช้กำลัง แต่ด้วยความไม่ฉลาดของเขา เขาจึงโดนผู้อื่นทำร้ายและเบียดเบียน
ด้วยโดนเพื่อนที่โตกว่า เตะบ้างต่อยบ้าง ผมจึงสอนวิธีการตั้งการ์ดมวยป้องกัน และการต่อยหมัดตรงเพื่อเชฟตัวเอง ภายหลังลูกบอกว่า เขาทนได้แล้ว (เพราะเขาพอป้องกันจากหนักเป็นเบาได้)
ส่วนเรื่องที่เพื่อนขู่เอาเงินครั้งละ 5 บาท แม่เขาเป็นคนสอนว่า ให้เขาไปแบ่งกันไป บางครั้งบอกเพื่อนว่าให้ บางครั้งบอกว่าให้ยืม ยังดีกว่าถูกขู่แล้วต้องให้ อาจจะได้คืนบ้างไม่ได้คืนบาง แล้วเพื่อนก็จะเกรงใจเรา ตามวัยของเด็ก (แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ ยังมีหลายวิธีในการแก้ปัญหา จบลงที่ตำรวจและกฎหมาย)
ส่วนเรื่อง เด็กเล็กอนุบาล 3 แกล้งเขาจนเจ็บตัว บนรถตู้โรงเรียน ผมแนะนำไปว่า เราโตกว่าเยอะ แค่ผลักแรงๆ หรือตบหัวเขาแรงหน่อย 2-3 ครั้งเขาก็หยุดแล้ว แต่ลูกบอกผมว่า
“ไม่ทำเด็กเล็กกว่า ต้องอดทน”
เอากับเขาสิ. ออ. อีกอย่างเด็กคนนั้นเป็นลูกนายทหาร เขาโดนเด็กคนนั้นแกล้งหลายเดือนแม้แต่คนขับรถตู้ก็ทำอะไรไม่ได้ จนผมต้องจัดการเอง รอจนรถตู้มารับลูกตอนเช้า ผมปิดประตูรถ แล้วผมพูด ตะกอกอย่างแรง ทำนองว่า ใครมาแกล้งน้องภีมหรือ? ถ้ายังแกล้งอีกจะเอาเรื่อง แล้วมองไปยังเด็กเล็กเหล่านั้นแต่ไม่รู้ว่าคนไหน แล้วทุกอย่างก็เบาลงหลังจากนั้น
เอาแหละเมื่อผมทบทวนการพัฒนาการเรียนด้วยตนเองตั้งแต่วัยเด็กจนจบมหาลัย ผมมีสิ่งเร้าคือผมอยากจะมีปัญญาอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ แม้เอาชีวิตเข้าแลกผมก็ย่อม แม้จะไม่มีโอกาสได้เรียนระดับมหาลัยเลย แต่ผมดิ้นรนผ่านจุดนั้นมาได้ ด้วยกำลังใจ และหาสิ่งที่รักษาจิตใจคือธรรมะกับ การปฏิบัติธรรมรักษาใจทุกเวลาไม่ให้บ้าไปเสียก่อนแบบพี่ชายคนโต จนได้ปฏิบัติธรรมเต็มรูปแบบเมื่อสอบเสร็จเทอมสุดท้ายที่คิดว่าอาจจะไม่ได้รับปริญญาได้อย่างยิ่งยวด แต่ลูกผมไม่มีสิ่งเร้านั้นเลย แถมมีอาการหนัก เกือบเข้าขั้นโคม่า ที่จะตันหยุดการเรียนอยู่แค่ ป.4 หรือ ป.5 เหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่ผมได้พบมา
กว่าจะปรับแต่งพัฒนาการลูก ที่มีความบกพร่อง ที่อาจไม่จบ ป.6 เหมือนเด็กคนอื่นที่มีปัญหา จนเข้ามหาลัย
การบริหารจัดการลูก จากผู้เป็นพ่อ เผื่อพ่อแม่วัยอ่อน ที่ลูกกำลังเติบโตและมีปัญหาได้ข้อคิดพอนำไปใช้ได้บ้าง ผมมีลูกสองคนถือว่าน้อย แต่น่าหนักใจยิ่ง เมื่อลูกมีปัญหา
ผมเติบโตมาจากวัยเด็กที่มีความกดดันและทุกข์สุดๆ จากฐานะกับความหวังและปรารถนาของตนเอง จนถึงวัยรุ่นจนเรียนจบมหาลัย แต่ได้เห็นเด็กที่มีปัญหา ทั้งที่มีทุกอย่างพร้อมทั้งทางฐานะและการเงิน และมีบุคลิกปกติเหมือนเด็กทั่วไป แต่ไม่สามารถเรียนหนังสือจบ ป.6 ได้ ที่โดนเรียกว่า เด็กโง่ หรือมีความบกพร่อง ถึงสองคนและได้ทราบและเห็นถึงพฤติกรรมของเขา ที่ดำเนินไปตามลำดับทั้ง 2 คนนั้น ที่ไม่สามารถเรียนถึง ป.6 ได้ ซึ่งผมเคยคิดในตอนสมัยผมเป็นวัยรุ่นว่า ถ้าเกิดเป็นลูกเรา จะทำอย่างไร เราสามารถแก้ไขเขาได้หรือ? เราน่าจะแก้ได้? แล้วเลิกคิดไปตามประสาวัยรุ่นนั้น
เด็กที่มีปัญหาสองคนนั้นเป็นดังนี้.
คนที่ 1. เป็นลูกของผู้มีฐานะ และมีอิทธิพล แต่เรียนรู้ได้ช้า จนไม่อยากไปโรงเรียน ตั้งแต่ ป.1 จนถึง ป.3 ก็เลิกเรียนไป ทั้งที่พ่อแม่สามารถหาให้ได้ทั้งโรงเรียนและครูสอน แล้วก็กลายเป็นนักเลง และต้องจบชีวิตลงเพียงอายุ ประมาณ 15 ปี (ถูกยิงตาย) เรื่องนี้กระทบกับความรู้สึกผมพอควร เพราะเห็นและเคยเล่นกันตั้งแต่วัยเด็ก เห็นการพัฒนาการของเขา
คนที่ 2. เป็นลูกผู้มีฐานะ มีพร้อมให้เขาทุกอย่างในการศึกษา ทั้งการเรียนพิเศษหรือมีครูพิเศษ แต่ผมได้เจอเขาตอน ป.4 และตกช้ำชั้น แล้วเริ่มเกเร ซึ่งเป็นช่วงที่สายไปแล้ว หลังจากนั้นก็เลิกเรียนไป โตขึ้นมากลายเป็นภาระของแม่อย่างยิ่ง จนต้องยอมออกจากงานระดับผู้จัดการที่ทำมาเป็น สิบๆ ปี เพื่อจะช่วยพยุงลูกคนเดียว ขึ้นมาได้บ้างไม่ให้แย่ไปกว่านั้น ยอมเสียทรัพย์ไปกับลูกมาก แต่ไม่สามารถดึงกลับขึ้นมาได้ แล้วฐานะกลับลำบากลงอย่างมาก เหตุการณ์นี้สะเทือนใจผมมาก เพราะท่านเคยช่วยเหลือผมมาบ้าง
แล้วลูกผมก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน คือมีความบกพร่องทั้งการอ่านและการเขียน จึงทำให้การเรียนรู้ช้า ส่วนสาเหตุ อาจจะเกิด ตอนอายุเขา 1 ขวบ เขามีปัญหาเรื่องต่อมทอนซิล โตระดับขนาด 2 แล้วโตขึ้นมาเรื่อยๆ จดระดับ 3 จนระดับ 3 กว่า แล้วคงที่ระดับนั้น คือถ้าถึงระดับ 4 เป็นระดับอันตราย เด็กหยุดหายใจได้ตอนนอนหลับ มีผลต่อสมองขาดออกชิเจน เขาจึงต้องเข้าโรงพยาบาลเกือบทุกเดือน ต้องกินยาเหมือนกินน้ำ นี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พี่สาวเขา ปฏิเสธไม่สอบเรียนแพทย์ เพราะเขาเห็นความเครียดของผู้ป่วย และแพทย์ ที่ต้องรักษาคนป่วยจำนวนมากต่อวัน ด้วยเขาต้องติดตามแม่พาน้องไปหาหมอ ได้เห็นเป็นประจำ แล้วจำฝังใจแต่นั้นมา
ซึ่งลูกสาวคนโต ได้รับการประกองปรับแต่งต่างจากลูกชายคนเล็ก คนละแนวทางกันเลย การปรับส่งเสริมลูกสาวตามฐานะ จนเขาค่อยๆ เรียนเก่งขึ้น ตามลำดับ ผลการเรียนไม่เคยต่ำกว่าเกรด 3 ตั้งแต่อนุบาล มีกำลังใจในการเรียนอยู่ในแนวหน้าของโรงเรียนที่เรียนอยู่ตามลำดับ ตามที่ย้ายไปเรียนแต่ระดับ โดยที่ผมไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าต้องเข้าโรงเรียนดัง เพราะผมยังจนอยู่ ไม่พร้อมที่จะให้ลูกเรียนพิเศษได้เต็มที่ตามต้องการของลูกสาวตั้งแต่ต้น สิ่งที่ผมและภรรยาสอนเขาเป็นพื้นฐานเขาคือ การมีศีลธรรม การปฏิบัติธรรม และสภาพความเป็นจริงฐานะของพ่อแม่ แต่ไม่ใช่กดให้ต่ำจนต่ำต้อย แล้วผมก็ช่วยสอนติววิชาการให้เขา แล้วภายหลังเขาได้เรียนพิเศษมากตามต้องการก่อนเข้ามหาลัย จนเขาสามารถจะสอบติดแพทย์ได้ ถ้าเขาต้องการ เพราะคะแนนพื้นฐานแพทย์เขาได้ถึง 68 % ส่วน O-net เขาได้ถึง 76 % ดังนั้นเหลือแค่ A-net ถ้าเขาทำได้แค่ 55 % ขึ้นไปเขาก็มีโอกาสติดแพทย์ได้แล้วในช่วงเวลานั้น แต่เขาไม่ต้องการปฏิเสธอย่างแข็งขัน ทิ้งไปเฉยๆ ไม่ย่อมอ่านหรือทบทวนเพื่อสอบ A-net เพื่อทำคะแนนให้ดีขึ้น เพราะกลัวคะแนนถึงแพทย์แล้วพ่อบังคับเรียน
เขาได้เข้าเรียน คณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ม.มหิดล จบด้วยเกียรติ์นิยมลำดับ 2 ได้งานก่อนจบ แล้วเรียนต่อจนจบปริญญาโท ม.จุฬา ปริญญานิพนธ์ยอดเยี่ยม ทั้งที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ด้วยทุนของตนเอง จบภายใน 2 ปี แต่เขาบอกโคตรเหนื่อยมากๆ ไม่เอาอีกแล้วกับการเรียนปริญญาเอก ถ้าเรียนแบบปริญญาโท ที่บังคับตัวเองให้จบภายใน 2 ปีพร้อมทำงานไปด้วยแล้วต้องได้ผลดีเยี่ยมด้วย ออ.. เขาอายุห่างกับน้องชาย ถึง 8 ปี
มากล่าวถึงลูกชาย ช่วงอนุบาล ป1.- ป.3 เขามีอาการเช่นเดียวกับเด็ก ทั้งสองคนที่กล่าวไว้ คือไม่ยอมไปโรงเรียน แต่ต้องบังคับไปเป็นประจำ และมีอาการทางสังคมแบบทึบกว่าหรือโง่กว่าอย่างเห็นๆ แบบว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันหรือเด็กรุ่นน้องรู้ได้ ก็เพราะความเข้าใจในการเรียนรู้ไม่ทันคนอื่น และจะงอแง พาไปไหนถ้าไม่ถูกใจจะงอแงจนวงแตกต้องรีบพากลับบ้าน ยิ่งไปทำบุญที่วัดก็จะมีปัญหาเขาก็จะงอแงประจำ ไม่สามารถอยู่นานจนรับศีลรับพรจากพระได้ วนอยู่อย่างนั้นเป็นประจำจนแม่เขาเครียดและเสียใจเรื่องนี้มาก แต่ก็พยายามสอนศีลธรรมให้เขา เขาก็ซึมซับ ศีลได้อย่างดี คือไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่น ไม่ขโมยและไม่โกหกเลย แต่เมื่อไปทำบุญเขาก็จะแอนตี่ เขาไม่อยากทำ เขามีคำถามกลับมาประจำว่า ทำบุญทำไม? ไม่เห็นได้อะไร? ทำไมต้องเอาเงินและของไปให้พระ? และคำถามที่ผมรู้สึกภูมิใจในตัวเขา คือทำไมต้องรักษาศีล 5 ? ซึ่งปกติก็ไม่ได้ผิดอยู่แล้ว
เขายังเป็นไม้อ่อนที่ผมยังมีเวลาสามารถดัดเขาได้ แม่เขาก็พยายามสอนเขาทั้งการอ่านและการเขียนทุกอย่าง ดังที่เคยสอนลูกคนโต ทั้งที่ต้องเหนื่อยจากงานประจำแล้วต้องมาเหนื่อยและเครียดที่ต้องสอนเขา แล้วเสียน้ำตากันทั้งสองฝ่าย ก็ได้แค่ให้เขาเกาะลำดับ อยู่ท้ายห้อง และท้ายๆ ของโรงเรียน
จนแม่เขาเครียดกดดันมากวันแล้ววันเล่า สุดท้ายมาลงที่ผม บ่อยๆ ว่า
“รู้หรือเปล่า? ลูกคุณเป็นเด็กโง่ และจะเรียนไม่จบ ป.6 เอา”
ผมก็วางใจเฉย และยังมั่นใจว่า ลูกผมต้องจบ ป.6 จนถึง ม.6 ได้ แล้วผมก็ปลอบภรรยาไปว่า เมื่อเป็นลูกผม เหมือนผม เขาต้องเก่งขึ้นเรียนจนจบ ม.6
ดูสิ. เขาไม่ยอมแพ้ เมื่อแม่สอนการบ้านหรืออ่านหนังสือ แต่เขาทำไม่ได้ ต้องเครียดกดดันกัน จนเขาต้องร้องไห้ แล้วถอยหนีออกจากกดดันนั้น มาร้องให้สักพักหนึ่งจนคลาย เมื่อแม่เรียกเขาไปเรียนต่อ เขาก็ยังยอมไปเรียนโดยดี คือเขาไม่ยอมแพ้เขาสู้ จุดนี้เองทำให้ผมเห็นว่า เขาต้องเรียนจบ ม.6 ได้
แล้วเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ลงแบบเดิมอย่างนี้เป็นประจำ ผมต้องทำใจว่างใจเฉยๆ ไม่เข้าไปก้าวก่าย มองดูอยู่เฉยเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาไปมากกว่าเดิม จนก่อให้เกิดอารมณ์ที่ปะทะกัน
ด้วยความที่เขาไปหาหมอโรงพยาบาลรามา เป็นประจำ จึงได้ทำการทดสอบ วินิจัยกับหมอ แล้วหมอสรุป ออกมาเป็นใบจากแพทย์ทำนองว่า เขามีความบกพร่องทั้งการอ่านเขียน และคณิตศาสตร์ แต่วัดไอคิวเขาได้ 106 คะแนน ถือว่ามากกว่า 100 ไม่ใช่คนปัญญาทึบ แต่มีความบกพร่อง เพื่อนำไปให้ทางครูที่โรงเรียนได้ทราบกรณีปัญหาของเขาในการสอน
ต่อมาครูประจำชั้นเขา ป.3 เปรยๆ ว่า เขาเรียนไปไม่ไหว เพียงผลักดันให้เขาจบ ป.6 แล้วเลิกเรียนไปเอง
ต่อมา แม่ของเขา ยื่นคำขอกับผมว่า “จะลาออกจากงานราชการ เพื่อมาสอนลูก” ผมคิดและพิจารณาว่า เราก็มีฐานะดีขึ้นแล้วที่ผ่านมาก็ถือว่า เขาได้รับการสอนและเรียนพิเศษอย่างเต็มที่ มีทั้งครูพิเศษสอนตัวต่อตัวภาษาไทยแล้ว เขาก็ไม่ดีขึ้น มีแต่ผลการเรียนที่ต่ำลง เพราะพัฒนาการช้า ส่วนเด็กคนอื่นเขาพัฒนาสูงขึ้นไปตามวัย แม้จะสอนอะไรเขามากกว่านี้แบบเดิมๆ ก็ไม่ทำอะไรให้เขาดีขึ้นแน่
ผมจึงบอกภรรยาว่า “คุณจะยอมแลก เอาคนที่เรียนจบปริญญาตรีและมีงานการทำที่มั่นคงแล้ว ไปแลกกับคนที่จะไม่จบ ป.6 หรือ? และผมคิดว่า ถ้าลูกเหมือนผมเขาจะต้องจบ ป.6 ได้แน่ และยังเห็นสิ่งที่ดีของเขา คือ แม้เรียนไม่รู้เรื่องจนร้องให้ แล้วถอยหนี้จากความกดดันนั้น พอเขาหายจากการร้องให้และความกดดันนั้น เขาก็ยอมให้สอนโดยดีในครั้งต่อไป ”
หลังจากนั้นไม่กี่วันแม่เขาก็สุดทนในการสอนเขา ประกาศออกมาว่า จะไม่สอนเขาอีกแล้ว ให้ผมสอนเองเขาจะไม่สอนลูกอีกแล้วทนไม่ได้แล้ว เมื่อผมได้โอกาสผมก็ตั้งกติกากับภรรยาว่า “ถ้าให้ผมสอน คุณต้องไม่มาก้าวก่ายหรือขัดขวางวิธีการสอนของผมเลย “
เมื่อภรรยาตอบตกลง ผมจึงหาวิธี โดยการนึกย้อนพัฒนาการของตนเองตั้งแต่วัยเด็ก ป.1 ตั้งแต่เรียนไม่เก่งจนค่อยเก่งขึ้นมาตามลำดับด้วยตนเองโดยที่พ่อและแม่ไม่เคยสนใจเลย แต่ลูกผมจะยากกว่านั้นเพราะเขาบกพร่องชัดเจนมาก ซึ่งผมก็เหนื่อยใจ จากการโดนเพื่อนทำร้ายจนเจ็บตัว(แกล้ง) ขู่เอาเงินเขาไปครั้งละ 5 บาทในสมัยนั้น ที่ซ้ำร้ายเด็กเล็กกว่าเขา ชั้นอนุบาล ยังแกล้งเขาได้ ด้วยผมและภรรยาสอนเขาให้อยู่ในศีล ไม่ไปเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น คือไม่ใช้กำลัง แต่ด้วยความไม่ฉลาดของเขา เขาจึงโดนผู้อื่นทำร้ายและเบียดเบียน
ด้วยโดนเพื่อนที่โตกว่า เตะบ้างต่อยบ้าง ผมจึงสอนวิธีการตั้งการ์ดมวยป้องกัน และการต่อยหมัดตรงเพื่อเชฟตัวเอง ภายหลังลูกบอกว่า เขาทนได้แล้ว (เพราะเขาพอป้องกันจากหนักเป็นเบาได้)
ส่วนเรื่องที่เพื่อนขู่เอาเงินครั้งละ 5 บาท แม่เขาเป็นคนสอนว่า ให้เขาไปแบ่งกันไป บางครั้งบอกเพื่อนว่าให้ บางครั้งบอกว่าให้ยืม ยังดีกว่าถูกขู่แล้วต้องให้ อาจจะได้คืนบ้างไม่ได้คืนบาง แล้วเพื่อนก็จะเกรงใจเรา ตามวัยของเด็ก (แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ ยังมีหลายวิธีในการแก้ปัญหา จบลงที่ตำรวจและกฎหมาย)
ส่วนเรื่อง เด็กเล็กอนุบาล 3 แกล้งเขาจนเจ็บตัว บนรถตู้โรงเรียน ผมแนะนำไปว่า เราโตกว่าเยอะ แค่ผลักแรงๆ หรือตบหัวเขาแรงหน่อย 2-3 ครั้งเขาก็หยุดแล้ว แต่ลูกบอกผมว่า
“ไม่ทำเด็กเล็กกว่า ต้องอดทน”
เอากับเขาสิ. ออ. อีกอย่างเด็กคนนั้นเป็นลูกนายทหาร เขาโดนเด็กคนนั้นแกล้งหลายเดือนแม้แต่คนขับรถตู้ก็ทำอะไรไม่ได้ จนผมต้องจัดการเอง รอจนรถตู้มารับลูกตอนเช้า ผมปิดประตูรถ แล้วผมพูด ตะกอกอย่างแรง ทำนองว่า ใครมาแกล้งน้องภีมหรือ? ถ้ายังแกล้งอีกจะเอาเรื่อง แล้วมองไปยังเด็กเล็กเหล่านั้นแต่ไม่รู้ว่าคนไหน แล้วทุกอย่างก็เบาลงหลังจากนั้น
เอาแหละเมื่อผมทบทวนการพัฒนาการเรียนด้วยตนเองตั้งแต่วัยเด็กจนจบมหาลัย ผมมีสิ่งเร้าคือผมอยากจะมีปัญญาอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ แม้เอาชีวิตเข้าแลกผมก็ย่อม แม้จะไม่มีโอกาสได้เรียนระดับมหาลัยเลย แต่ผมดิ้นรนผ่านจุดนั้นมาได้ ด้วยกำลังใจ และหาสิ่งที่รักษาจิตใจคือธรรมะกับ การปฏิบัติธรรมรักษาใจทุกเวลาไม่ให้บ้าไปเสียก่อนแบบพี่ชายคนโต จนได้ปฏิบัติธรรมเต็มรูปแบบเมื่อสอบเสร็จเทอมสุดท้ายที่คิดว่าอาจจะไม่ได้รับปริญญาได้อย่างยิ่งยวด แต่ลูกผมไม่มีสิ่งเร้านั้นเลย แถมมีอาการหนัก เกือบเข้าขั้นโคม่า ที่จะตันหยุดการเรียนอยู่แค่ ป.4 หรือ ป.5 เหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่ผมได้พบมา