นักวิจัยอเมริกันพบว่าเชื้อเอชไอวีทำลายระบบภูมิคุ้มกันร่างกายด้วยการทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันอักเสบก่อนจะเริ่มทำลายเซลล์อื่นๆที่อยู่ข้างเคียงและการค้นพบนี้อาจจะนำไปสู่วิธีบำบัดวิธีใหม่เพื่อลดความรุนแรงของโรคเอดส์ลง
บรรดานักวิทยาศาสตร์รู้กันมานานเเล้วว่าเมื่อเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย เชื้อไวรัสจะเข้าไประบาดในตัวเซลล์ภูมิต้านทานที่เรียกว่า CD-4 T cells และเชื้อโรคจะแตกตัวเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นล้านๆตัว ทำลายระบบภูมิคุ้นกันในร่างกายให้อ่อนแอ แต่ล่าสุดทีมนักวิทยาศาสตร์ในรัฐแคลิฟอเนียเพิ่งค้นพบเพิ่มเติมว่าทำไมเชื้อไวรัสเอชไอวีจึงเป็นเชื้อโรคระบาดที่มีความร้ายแรง
ทีมนักวิทยาศาสตร์ทีมนี้พบว่าในช่วงเริ่มต้นของการติดเชื้อ เชื้อไวรัสเอชไอวีจะเข้าไปแพร่ตัวในเซลล์ CD-4 T cells เพียงไม่กี่เซลล์เท่านั้น แต่หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะเริ่มทำลายเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของผู้ติดเชื้ออย่างน้อย 95 เปอร์เซ็นต์
คุณ Warner Greene หัวหน้าแผนกไวรัสวิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยา แห่งสถาบัน Gladstone Institute ในรัฐ California กล่าวว่าเซลล์ที่อยู่ใกล้เคียงกับเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ติดเชื้อจะถูกทำลายอย่างรวดเร็ว
คุณ Greene หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์กล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่า ในระหว่างการติดเชื้อ เซลล์ CD-4 T cells ส่วนใหญ่ในร่างกายผู้ติดเชื้อถูกทำลายจนตายลงโดยเป็นผลจากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่พยายามต่อต้านกับเชื้อไวรัสเอชไอวี แต่ไม่ได้ตายลงจากพิษจากเชื้อไวรัส
ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่สถาบัน Gladstone Institute ในรัฐ California ได้ค้นพบว่าเซลล์ร่างกายที่อยู่ใกล้กับเซลล์ภูมิต้านทานร่างกายจะเกิดอาการอักเสบในบริเวณกว้างและปล่อยโปรตีน capcaisin-1 ออกมาเพื่อไปทำหน้าที่ดึงเซลล์ภูมิคุ้มกันร่างกายหรือทีเซลล์ตัวอื่นๆเข้าไปในจุดที่เกิดอาการอักเสบเพื่อพยายามต่อสู้กับเชื้อไวรัสเอชไอวี แต่ทีเซลล์ตัวใหม่ที่เข้าไปช่วยต่อต้านเชื้อโรคในจุดที่เกิดการติดเชื้อกลับติดเชื้อเสียเองและเริ่มตายลงในที่สุด
อย่างไรก็ดี มีข่าวดีว่าอาการอักเสบที่เกิดขึ้นสามารถกำจัดได้ด้วยยาหลายชนิดที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
คุณ Greene หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ชี้ว่าทีมงานได้ทดสอบยาสามชนิดในห้องทดลอง รวมทั้งยาที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อบำบัดโรคลมบ้าหมู เขากล่าวว่ายาทั้งสามชนิดมีประสิทธิภาพดีในการควบคุมอาการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เเม้ว่ายาต่อต้านอาการอักเสบจากการติดเชื้อจะไม่สามารถบำบัดโรคเอดส์ได้ แต่คุณ Greene หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่ายาเหล่านี้มีศักยภาพในการช่วยควบคุมการอักเสบในร่างกายผู้ติดเชื้อจำนวน 16 ล้านคนทั่วโลกที่ยังไม่ได้รับยาต้านไวรัสเอดส์ในขณะนี้ คุณ Greene มองว่าน่าจะมีผลดีหากนำยาควบคุมอาการอักเสบทั้งสามชนิดนี้ไปใช้ร่วมกับยาต่อต้านไวรัสเอชไอวี
คุณ Greene หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ กล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่าการใช้ยาลดอาการอักเสบควบคู่กับยาต้านไวรัส น่าจะนำไปใช้ในผู้ป่วยที่โรคกำเริบรุนแรง รวดเร็ว หรือ ในผู้ป่วยที่ใช้ยาต้านไวรัสเเล้วไม่ได้ผล เขาคิดว่าแม้เเต่ในผู้ติดเชื้อเอดส์ที่อาการของโรคไม่กำเริบ ก็อาจจะใช้การบำบัดผสมผสานนี้ได้เพราะเเม้อาการไม่กำเริบ แต่ยังมีการติดเชื้อที่เรื้อรังรักษาไม่หาย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก voathai.com
Report by LIV APCO
ทีมนักวิทยาศาสตร์พบว่า...ทำไมเชื้อไวรัสเอชไอวีจึงมีความร้ายแรงในการทำลายเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกายผู้ป่วย
บรรดานักวิทยาศาสตร์รู้กันมานานเเล้วว่าเมื่อเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย เชื้อไวรัสจะเข้าไประบาดในตัวเซลล์ภูมิต้านทานที่เรียกว่า CD-4 T cells และเชื้อโรคจะแตกตัวเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นล้านๆตัว ทำลายระบบภูมิคุ้นกันในร่างกายให้อ่อนแอ แต่ล่าสุดทีมนักวิทยาศาสตร์ในรัฐแคลิฟอเนียเพิ่งค้นพบเพิ่มเติมว่าทำไมเชื้อไวรัสเอชไอวีจึงเป็นเชื้อโรคระบาดที่มีความร้ายแรง
ทีมนักวิทยาศาสตร์ทีมนี้พบว่าในช่วงเริ่มต้นของการติดเชื้อ เชื้อไวรัสเอชไอวีจะเข้าไปแพร่ตัวในเซลล์ CD-4 T cells เพียงไม่กี่เซลล์เท่านั้น แต่หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะเริ่มทำลายเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของผู้ติดเชื้ออย่างน้อย 95 เปอร์เซ็นต์
คุณ Warner Greene หัวหน้าแผนกไวรัสวิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยา แห่งสถาบัน Gladstone Institute ในรัฐ California กล่าวว่าเซลล์ที่อยู่ใกล้เคียงกับเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ติดเชื้อจะถูกทำลายอย่างรวดเร็ว
คุณ Greene หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์กล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่า ในระหว่างการติดเชื้อ เซลล์ CD-4 T cells ส่วนใหญ่ในร่างกายผู้ติดเชื้อถูกทำลายจนตายลงโดยเป็นผลจากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่พยายามต่อต้านกับเชื้อไวรัสเอชไอวี แต่ไม่ได้ตายลงจากพิษจากเชื้อไวรัส
ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่สถาบัน Gladstone Institute ในรัฐ California ได้ค้นพบว่าเซลล์ร่างกายที่อยู่ใกล้กับเซลล์ภูมิต้านทานร่างกายจะเกิดอาการอักเสบในบริเวณกว้างและปล่อยโปรตีน capcaisin-1 ออกมาเพื่อไปทำหน้าที่ดึงเซลล์ภูมิคุ้มกันร่างกายหรือทีเซลล์ตัวอื่นๆเข้าไปในจุดที่เกิดอาการอักเสบเพื่อพยายามต่อสู้กับเชื้อไวรัสเอชไอวี แต่ทีเซลล์ตัวใหม่ที่เข้าไปช่วยต่อต้านเชื้อโรคในจุดที่เกิดการติดเชื้อกลับติดเชื้อเสียเองและเริ่มตายลงในที่สุด
อย่างไรก็ดี มีข่าวดีว่าอาการอักเสบที่เกิดขึ้นสามารถกำจัดได้ด้วยยาหลายชนิดที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
คุณ Greene หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ชี้ว่าทีมงานได้ทดสอบยาสามชนิดในห้องทดลอง รวมทั้งยาที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อบำบัดโรคลมบ้าหมู เขากล่าวว่ายาทั้งสามชนิดมีประสิทธิภาพดีในการควบคุมอาการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เเม้ว่ายาต่อต้านอาการอักเสบจากการติดเชื้อจะไม่สามารถบำบัดโรคเอดส์ได้ แต่คุณ Greene หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่ายาเหล่านี้มีศักยภาพในการช่วยควบคุมการอักเสบในร่างกายผู้ติดเชื้อจำนวน 16 ล้านคนทั่วโลกที่ยังไม่ได้รับยาต้านไวรัสเอดส์ในขณะนี้ คุณ Greene มองว่าน่าจะมีผลดีหากนำยาควบคุมอาการอักเสบทั้งสามชนิดนี้ไปใช้ร่วมกับยาต่อต้านไวรัสเอชไอวี
คุณ Greene หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ กล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่าการใช้ยาลดอาการอักเสบควบคู่กับยาต้านไวรัส น่าจะนำไปใช้ในผู้ป่วยที่โรคกำเริบรุนแรง รวดเร็ว หรือ ในผู้ป่วยที่ใช้ยาต้านไวรัสเเล้วไม่ได้ผล เขาคิดว่าแม้เเต่ในผู้ติดเชื้อเอดส์ที่อาการของโรคไม่กำเริบ ก็อาจจะใช้การบำบัดผสมผสานนี้ได้เพราะเเม้อาการไม่กำเริบ แต่ยังมีการติดเชื้อที่เรื้อรังรักษาไม่หาย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก voathai.com
Report by LIV APCO