นักวิจัยเผยเซลล์เม็ดเลือดขาวทำลายตัวเองมากกว่าถูกสังหารด้วยเชื้อไวรัสเอชไอวี จึงเป็นเหตุให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิต นักวิทยาศาสตร์เชื่อการค้นพบดังกล่าวจะนำไปสู่รักษาแบบใหม่ ซึ่งแทนที่จะผลิตยาจู่โจมไวรัส แต่เบนเป้าหมายไปที่ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยแทน
ดร.วอร์เนอร์ กรีน (Dr.Warner Greene) หัวหน้าทีมวิจัยที่ตีพิมพ์ลงวารสารเนเจอร์และไซน์ เกี่ยวกับการค้นพบเคล็ดลับการสังหารเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเชื้อไวรัสเอชไอวี เผยว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวทำลายตัวเอง มากกว่าที่จะถูกเซลล์ไวรัสเอชไอวีสังหาร
การศึกษาดังกล่าวเป็นครั้งแรกที่เผยให้เห็นว่า เซลล์ภูมิคุ้มกันตายเนื่องจากกระบวนการทำลายตัวเองภายในเซลล์ และยังเชื่อมโยงไปถึงอาการติดเชื้อด้วย โดย ดร.กรีน จากสถาบันไวรัสวิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยาแกลดสโตน (Gladstone Institute of Virology and Immunology) ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ กล่าวว่า ทีมวิจัยยังได้ทดสอบยาที่ป้องกันการกำจัดเซลล์เม็ดเลือดขาวในผู้ป่วยที่ไม่ได้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีและพบว่าป้องกันได้
ด้าน คริสโตเฟอร์ อี.รัดด์ (Christopher E. Rudd) ศาสตราจารย์ทางด้านภูมิคุ้มกันวิทยาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge) สหราชอาณาจักร ซึ่งไม่ได้ร่วมในการศึกษาดังกล่าว เผยว่า การค้นพบนี้เป็นประตูไปสู่การบำบัดรักษาผู้ป่วยเอดส์แบบใหม่ โดยตั้งเป้าไปที่ภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่อไวรัสเอชไอวีแทนการพุ่งเป้าหมายไปที่ไวรัสโดยตรง ซึ่งความพยายามดังกล่าวจะช่วยปกป้องเซลล์คุ้มกันจากการทำลายตัวเอง และเพิ่มปริมาณภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเชื้อเอชไอวีได้
ไลฟ์ไซไน์ระบุว่า หนึ่งในคำถามสำคัญเกี่ยวกับติดเชื้อเอชไอวีคือไวรัสตัวนี้เป็นสาเหตุการตายของเซลล์คุ้มกันข้างเคียงที่ไม่เคยติดเชื้อเอชไอวีโดยตรงได้อย่างไร ซึ่งการศึกษาล่าสุดเผยว่าเซลล์ข้างเคียงไม่ได้ตายเพราะพิษจากไวรัส แต่เป็นผลจากการตอบสนองภูมิคุ้มกันของร่างกายคนที่ปล่อยออกมาสู้กับไวรัสภายในเซลล์เหล่านั้น เมื่อไวรัสเข้าสู่เซลล์ และเริ่มสร้างไวรัสมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ กลับกันเซลล์เหล่านั้นตายจากการปลดปล่อยโมเลกุลสร้างการอักเสบ ซึ่งจู่โจมออกไปยังเซลล์รอบๆ และทำให้ตายด้วย
การทำลายตัวเองของเซลล์เป็นกระบวนการจำเพาะที่เรียกว่า “ไพโรโตซิส” (pyroptosis) ซึ่งทีมวิจัยได้สาธิตให้เห็นว่าการตายของเซลล์นั้นเชื่อมโยงกับการติดเชื้อไวรัสด้วย ซึ่ง สิทธารธ พาลาจันทราน (Siddharth Balachandran) นักวิจัยระบบภูมิคุ้มกันที่ศูนย์มะเร็งฟอกซ์เชส (Fox Chase Cancer Center) ในฟิลาเดเฟีย สหรัฐฯ ระบุว่าการค้นพบดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่เพียงอธิบายว่าทำไมเซลล์เหล่านี้ถึงทำลายตัวเอง จนเป็นสาเหตุให้เกิดภูมิคุ้มกันบกพร่อง แต่ยังเผยเป้าหมายในการให้ยารักษาด้วย
นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังพบว่าโปรตีนภายในเซลล์คุ้มกันที่เรียกว่า IFI16 กระตุ้นให้เกิดการตอบสนองที่ส่งผลเป็นอันตราย จากการรับสัมผัสดีเอ็นเอของเชื้อเอชไอวีปริมาณเล็กน้อยภายในเซลล์ และในการทดลองพบว่าโมเลกุลที่ป้องกันไม่ให้เกิดกระบวนการไพโรโตซิส สามารถป้องกันการตายของเซลล์คุ้มกัน และป้องกันการติดเชื้อได้ โดยโมเลกุลดังกล่าวคือยาที่เรียกว่า VX-765 หรือ เบลนาคาซาน (Belnacasan) ที่ถูกใช้ทดลองในมนุษย์ระดับคลีนิคในการบำบัดรักษาโรคลมชักและโรคสะเก็ดเงิน โดยกรีน ระบุว่าเขากำลังเจรจาในเรื่องการทดลองยาในผู้ติดเชื้อเอชไอวีระดับคลีนิค เพื่อบำบัดผู้ป่วยที่ดื้อยาจากการรักษาในปัจจุบัน หรือ ควบรวมการบำบัดรักษาเพื่อป้องกันหรือจำกัดการอักเสบเพิ่ม
ด้าน จอห์น ฮิสคอตต์ (John Hiscott) นักไวรัสวิทยา จากสถาบันวัคซีนและยีนบำบัด (Vaccine and Gene Therapy Institute) ในฟลอริดา สหรัฐฯ ซึ่งไม่ได้ร่วมในการทดลองนี้ กล่าวว่า ยาที่สามารถลดการอักเสบได้เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการอักเสบเป็นสิ่งที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยที่รับเชื้อเอชไอวีอ่อนแอไปจนถึงจุดที่ไวรัสไม่ถูกควบคุมได้อีกต่อ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก manager.co.th/Science
Report by LIV APCO
นักวิจัยเผยเซลล์เม็ดเลือดขาวทำลายตัวเองมากกว่าถูกสังหารด้วยเชื้อไวรัสเอชไอวี
ดร.วอร์เนอร์ กรีน (Dr.Warner Greene) หัวหน้าทีมวิจัยที่ตีพิมพ์ลงวารสารเนเจอร์และไซน์ เกี่ยวกับการค้นพบเคล็ดลับการสังหารเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเชื้อไวรัสเอชไอวี เผยว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวทำลายตัวเอง มากกว่าที่จะถูกเซลล์ไวรัสเอชไอวีสังหาร
การศึกษาดังกล่าวเป็นครั้งแรกที่เผยให้เห็นว่า เซลล์ภูมิคุ้มกันตายเนื่องจากกระบวนการทำลายตัวเองภายในเซลล์ และยังเชื่อมโยงไปถึงอาการติดเชื้อด้วย โดย ดร.กรีน จากสถาบันไวรัสวิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยาแกลดสโตน (Gladstone Institute of Virology and Immunology) ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ กล่าวว่า ทีมวิจัยยังได้ทดสอบยาที่ป้องกันการกำจัดเซลล์เม็ดเลือดขาวในผู้ป่วยที่ไม่ได้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีและพบว่าป้องกันได้
ด้าน คริสโตเฟอร์ อี.รัดด์ (Christopher E. Rudd) ศาสตราจารย์ทางด้านภูมิคุ้มกันวิทยาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge) สหราชอาณาจักร ซึ่งไม่ได้ร่วมในการศึกษาดังกล่าว เผยว่า การค้นพบนี้เป็นประตูไปสู่การบำบัดรักษาผู้ป่วยเอดส์แบบใหม่ โดยตั้งเป้าไปที่ภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่อไวรัสเอชไอวีแทนการพุ่งเป้าหมายไปที่ไวรัสโดยตรง ซึ่งความพยายามดังกล่าวจะช่วยปกป้องเซลล์คุ้มกันจากการทำลายตัวเอง และเพิ่มปริมาณภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเชื้อเอชไอวีได้
ไลฟ์ไซไน์ระบุว่า หนึ่งในคำถามสำคัญเกี่ยวกับติดเชื้อเอชไอวีคือไวรัสตัวนี้เป็นสาเหตุการตายของเซลล์คุ้มกันข้างเคียงที่ไม่เคยติดเชื้อเอชไอวีโดยตรงได้อย่างไร ซึ่งการศึกษาล่าสุดเผยว่าเซลล์ข้างเคียงไม่ได้ตายเพราะพิษจากไวรัส แต่เป็นผลจากการตอบสนองภูมิคุ้มกันของร่างกายคนที่ปล่อยออกมาสู้กับไวรัสภายในเซลล์เหล่านั้น เมื่อไวรัสเข้าสู่เซลล์ และเริ่มสร้างไวรัสมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ กลับกันเซลล์เหล่านั้นตายจากการปลดปล่อยโมเลกุลสร้างการอักเสบ ซึ่งจู่โจมออกไปยังเซลล์รอบๆ และทำให้ตายด้วย
การทำลายตัวเองของเซลล์เป็นกระบวนการจำเพาะที่เรียกว่า “ไพโรโตซิส” (pyroptosis) ซึ่งทีมวิจัยได้สาธิตให้เห็นว่าการตายของเซลล์นั้นเชื่อมโยงกับการติดเชื้อไวรัสด้วย ซึ่ง สิทธารธ พาลาจันทราน (Siddharth Balachandran) นักวิจัยระบบภูมิคุ้มกันที่ศูนย์มะเร็งฟอกซ์เชส (Fox Chase Cancer Center) ในฟิลาเดเฟีย สหรัฐฯ ระบุว่าการค้นพบดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่เพียงอธิบายว่าทำไมเซลล์เหล่านี้ถึงทำลายตัวเอง จนเป็นสาเหตุให้เกิดภูมิคุ้มกันบกพร่อง แต่ยังเผยเป้าหมายในการให้ยารักษาด้วย
นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังพบว่าโปรตีนภายในเซลล์คุ้มกันที่เรียกว่า IFI16 กระตุ้นให้เกิดการตอบสนองที่ส่งผลเป็นอันตราย จากการรับสัมผัสดีเอ็นเอของเชื้อเอชไอวีปริมาณเล็กน้อยภายในเซลล์ และในการทดลองพบว่าโมเลกุลที่ป้องกันไม่ให้เกิดกระบวนการไพโรโตซิส สามารถป้องกันการตายของเซลล์คุ้มกัน และป้องกันการติดเชื้อได้ โดยโมเลกุลดังกล่าวคือยาที่เรียกว่า VX-765 หรือ เบลนาคาซาน (Belnacasan) ที่ถูกใช้ทดลองในมนุษย์ระดับคลีนิคในการบำบัดรักษาโรคลมชักและโรคสะเก็ดเงิน โดยกรีน ระบุว่าเขากำลังเจรจาในเรื่องการทดลองยาในผู้ติดเชื้อเอชไอวีระดับคลีนิค เพื่อบำบัดผู้ป่วยที่ดื้อยาจากการรักษาในปัจจุบัน หรือ ควบรวมการบำบัดรักษาเพื่อป้องกันหรือจำกัดการอักเสบเพิ่ม
ด้าน จอห์น ฮิสคอตต์ (John Hiscott) นักไวรัสวิทยา จากสถาบันวัคซีนและยีนบำบัด (Vaccine and Gene Therapy Institute) ในฟลอริดา สหรัฐฯ ซึ่งไม่ได้ร่วมในการทดลองนี้ กล่าวว่า ยาที่สามารถลดการอักเสบได้เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการอักเสบเป็นสิ่งที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยที่รับเชื้อเอชไอวีอ่อนแอไปจนถึงจุดที่ไวรัสไม่ถูกควบคุมได้อีกต่อ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก manager.co.th/Science
Report by LIV APCO