คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
เรื่องการเสียภาษีของชาวนามาตั้งแต่สุโขทัย อยุธยา นี่ก็น่านำมากล่าวถึงสักนิดกันนะ
รายได้หลักจริงๆ ในช่วงอาณาจักรสุโขทัย อยุธยา ในระยะก่อร่างสร้างอาณาจักรให้เป็นปึกแผ่นนั้นน่าจะมาจากภาษีเกษตรโดยเฉพาะข้าวเป็นส่วนมาก (อย่างจังกอบ(ภาษีจากข้าว)มีบันทึกไว้บนศิลาจารึกพ่อขุน ภาษีนาคู่โค ภาษีนาฟางลอย ภาษีหางข้าวก็ตราไว้ในสมัยอยุธยาและกฏหมายตราสามดวง) เหล่านี้เป็นรายได้หลักเข้าอาณาจักรมากมายจนเป็นปึกแผ่นมาถึงทุกวันนี้ แต่จู่ๆ ก็มีบางคนยกอ้างภาษีแลมโบกินี่ขึ้นมาในทำนองว่านี่แหละคือรายได้เข้ารัฐขนาดใหญ่(พูดซะราวกับว่าทุกครัวเรือนขับแลมโบกินี่ซะอย่างนั้น) เจ้าพวกรากหญ้าจะเสียภาษีเท่าไหร่กัน คนดีๆ คนรวยๆ ของใครบางคนแค่เสียภาษีรถแลมโบกินี่คันเดียวก็โขกว่าพวกรากหญ้าเสียอีก.....อืมม์?? ถ้ามีการเก็บภาษีรถแลมโบกินี่มาพร้อมๆ กับการเก็บภาษีข้าวจากชาวนามาตั้งแต่สมัยสุโขทัยก็ว่าไปอย่างนะ ...คนที่อ้างบุญคุณภาษีที่ได้จากรถแลมโบกินี่ก็ออกจะเวอร์ไปหน่อยนะครับผมว่า
รายได้หลักจริงๆ ในช่วงอาณาจักรสุโขทัย อยุธยา ในระยะก่อร่างสร้างอาณาจักรให้เป็นปึกแผ่นนั้นน่าจะมาจากภาษีเกษตรโดยเฉพาะข้าวเป็นส่วนมาก (อย่างจังกอบ(ภาษีจากข้าว)มีบันทึกไว้บนศิลาจารึกพ่อขุน ภาษีนาคู่โค ภาษีนาฟางลอย ภาษีหางข้าวก็ตราไว้ในสมัยอยุธยาและกฏหมายตราสามดวง) เหล่านี้เป็นรายได้หลักเข้าอาณาจักรมากมายจนเป็นปึกแผ่นมาถึงทุกวันนี้ แต่จู่ๆ ก็มีบางคนยกอ้างภาษีแลมโบกินี่ขึ้นมาในทำนองว่านี่แหละคือรายได้เข้ารัฐขนาดใหญ่(พูดซะราวกับว่าทุกครัวเรือนขับแลมโบกินี่ซะอย่างนั้น) เจ้าพวกรากหญ้าจะเสียภาษีเท่าไหร่กัน คนดีๆ คนรวยๆ ของใครบางคนแค่เสียภาษีรถแลมโบกินี่คันเดียวก็โขกว่าพวกรากหญ้าเสียอีก.....อืมม์?? ถ้ามีการเก็บภาษีรถแลมโบกินี่มาพร้อมๆ กับการเก็บภาษีข้าวจากชาวนามาตั้งแต่สมัยสุโขทัยก็ว่าไปอย่างนะ ...คนที่อ้างบุญคุณภาษีที่ได้จากรถแลมโบกินี่ก็ออกจะเวอร์ไปหน่อยนะครับผมว่า
แสดงความคิดเห็น
....ข้าวที่ไหน จะสมาร์ตเท่าข้าวไทยเป็นไม่มี...
คิดว่าคงจะไม่เกินไปนักถ้าจะพูดว่าความมั่นคงเป็นปึกแผ่นของชาติไทยนั้น “ข้าว” และ “ผู้ผลิตข้าว” มีบทบาทสำคัญมากถึงมากที่สุด โดยทั่วๆ ไป..เวลาเราพูดถึงความมั่นคงของชาติไทยที่มีอยู่ทุกวันนี้เรามักจะระลึกถึงวีรกรรมของคนไม่กี่คนหรือกลุ่มเล็กๆ แต่โดยหลักความน่าจะเป็นแล้ว แต่ละ “ปึก” และแต่และ “แผ่น” ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นจนเป็นชาติไทยทุกวันนี้ บรรพบุรุษของเราแทบทุกคนมีส่วนร่วม....และที่ปิดทองหลังพระ(หรือประวัติศาสตร์ไทยแทบจะไม่เอ่ยถึงเลย)ก็คือรากหญ้าครอบครัวชาวนานี่เอง......
ยามอยู่ในภาวะปรกติก็ต้องปลูกข้าว และเสียภาษีส่งหางข้าวเข้ายุ้งหลวงในอัตราชัก ข้าว๒ถังต่อหนึ่งไร่ (ต่อมาสมัยสมเด็จพระนารายณ์เปลี่ยนจากภาษีข้าวมาเป็นเงิน คือหนึ่งสลึงต่อหนึ่งไร่) และในฐานะที่เป็นทั้งไพร่ทั้งชาวนา...ก็ต้องทำหน้าที่ไพร่สมเข้าเวรหกเดือน(เข้าเดือนออกเดือน)ทุกๆ ปี
ในภาวะสงคราม ชาวนาเหล่านี้ก็ต้องถูกเกณฑ์ไปออกศึกสงครามอยู่แนวหน้า(เพราะเป็นทหารชั้นเลว??) เลือดที่หลั่งนองทาแผ่นดินเพื่อปกป้องแว่นแคว้นแห่งตนเอาไว้ก็คือเลือดไพร่และเลือดชาวนาซะส่วนใหญ่ และข้าวอันเป็นเสบียงหลักของกองทัพก็มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของพวกเขาด้วย
ระบบการปกครองของอยุธยาให้ความสำคัญต่อข้าวมาก ถึงกับจัดให้เป็นหนึ่งในสี่ของโครงสร้างของการปกครองแบบจตุสภมด์คือ เวียง วัง คลัง นา ซึ่งเป็นรากฐานการปกครองที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม ยุคที่ชาวฮอลันดาเริ่มมีอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์รวมถึงอยุธยาด้วย พระองค์ทรงใช้ข้าวเป็นเงื่อนไขด้านนโยบายด้านต่างประเทศ ฮอลันดาสั่ง order ข้าวจากอยุธยาไปยังปัตตะเวียจำนวนมาก รวมถึงจีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น มะละกา บทบาทของข้าวไทยที่เป็นสินค้าบริโภคจึงสำคัญมาตั้งแต่ครั้งกระนู้น...แต่ความเป็นอยู่ของชาวนาไทยยังไม่เคยกระเตื้องขึ้นด้วย?? ฝากไว้ให้คิด...ใครจะว่าชาวนาโฮ๋นั้นก็มีส่วนถูกนะ...แต่ปัจจัยอื่นๆ ทีใหญ่กว่านั้นก็น่าจะมี
หลังสังครามโลกครั้งที่สอง ประเทศสยามถูกมองในระยะแรกว่าเป็นผู้แพ้สงคราม และพี่เบิ้มฝ่ายพันธมิตรอย่างเมกาพยายามไกล่เกลี่ยว่าสยามไม่ได้แพ้สงครามนะ สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการชดเชยข้าวสารจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนตันให้ประเทศที่ปรักปรักสยามว่าเป็นผู้แพ้สงคราม เสียงครหาว่าสยามแพ้สงครามโลกครั้งที่สองจากบางประเทศก็เงียบสนิทไป(คงจะสำลักข้าวสารจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนตันนั่น)
ข้าว สร้างความร่ำรวยและอิทธิพลให้คนกลุ่มคนที่เป็นขุนนางขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุดตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมา แต่คนที่ปลูกข้าวกลับมีสถานะไม่ต่างจากเดิมไม่ว่าจะตั้งแต่อดีตหรือปัจจุบัน?? นอกเหนือจากนั้น....ชาวจีนส่วนใหญ่ที่เริ่มอพยพเข้ามาสยาม อาศัยสถานะ “ชาวต่างชาติ” ที่ไม่ได้เป็นไพร่และไม่ได้ถูกเกณฑ์แรงงานอะไร(แต่เสียภาษีที่เป็นชาวต่างชาติคนจีนที่เรียกว่า “ผูกปี้” ปีละสองบาทกว่า) ชาวจีนเหล่านั้นก็จับธุรกิจด้านข้าวเป็นหลักเรื่อยมา จนร่ำรวยและมีอิทธิพลถึงขั้นกำหนดราคาข้าวกลางได้เลย คนจีนเหล่านั้นตั้งสมาคมโรงสีไฟขึ้น ชะตากรรมของข้าวไทยจึงเปลี่ยนมือมาอยู่ที่สมาคมโรงสีไฟ สมาชิกของสมาคมแห่งนี้เป็นมหาเศรษฐีติดอันดับของประเทศไทยไปหลายคนในปัจจุบัน สืบลูกแตกหลานเข้ามาโลดแล่นในวงการการเมืองเป็นถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีก็มี......
ข้าวไทยสมาร์ตไหมล่ะครับ....คนปลูกอดพ่อค้า(คนกลาง)กลับรวยเอาๆ แถมวันดีคืนดีก็ก็มีนักเลงมือดีมาตีฆ้องร้องป่าวว่าข้าวไทยล่องหนหายตัวไปเป็นหมื่นๆ ตัน ....แล้วจู่ๆ ก็โผล่มาหน้าตาเฉยว่าไม่ได้หายไปไหน ...เดี๋ยวหาย เดี๋ยวไม่หาย หรือเดี๋ยวเน่า เดี่ยวไม่เน่า.....สมาร์ตจริงๆ ครับข้าวไทย
ปล. อีกไม่นานเราอาจจะได้เห็นสินค้าอีกประเภทหนึ่งที่ต้องใช้ข้าวเป็นหลัก "ข้าวสารเสก" ช่วงนี้ทั้ง "ลูกเทพ" ทั้ง "หมอดู" ทั้ง "หมอผี" มาแรงเหลือเกิน คาดว่าออร์เดอร์ข้าวสารเสกอาจจะเยอะตามมาด้วย ลงทุนตั้งโรงงานผลิตข้าวสารเสกแห่งแรกของประเทศไทยอาจจะรุ่งกว่าตั้งร้านกาแฟที่ก็ได้นาท่านนา...