....”เสื่อผืนหมอนใบ” มีค่ากว่า “ชีวิตทิ่เกิดมาแล้วติดลบ”..../วัชรานนท์

กระทู้คำถาม
ระหว่างตระเวณเที่ยวย่านห่างไกลชุมชนในคอสตาริกา   มีเหตุต้องฉุกคิดถึงชีวิต “เสื่อผืนหมอนใบ” ของชาวจีนที่เคยเข้ามาทำหลักปักฐานในไทยตั้งแต่สมัยก่อนจนประสบความสำเร็จ   มีลูกหลานเป็นมหาเศรษฐี  เป็นเจ้าขุนมูลนาย  เป็นนายกรัฐมนตรี  หรือแม้กระทั่งพระมหากษัตรย์ก็เคยมี    ซึ่งคนไทยเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นเป็นเพราะความขยันทำมาหากินของคนจีนเป็นหลัก   

ในขณะเดียวกันคนสยามเจ้าของประเทศส่วนใหญ่ยังคงต้องแบกแอกทางสังคมคือความเป็น “ไพร่” ไว้บนบ่าแล้วส่งต่อให้ลูกหลานสืบมาหลายชั่วอายุคน    โอกาสที่จะหลุดหรือปลดเกษียณจากความเป็นไพร่ก็ต่อเมื่อถึงอายุ70    เวลาและโอกาสในการสร้างหลักปักฐานในดินแดนที่ตนถือกำเหนิด   หรือภาครัฐหยิบยื่นโอกาสให้แทบจะเรียกได้ว่าเป็น Mission Impossible!!    วิถีชีวิตของเจ้าของประเทศจึงวนๆ เวียนๆ อยู่กับการที่ต้องรับใช้เจ้ามูลนาย   ถูกเกณฑ์ไปสงคราม  ปลูกข้าวเก็บเข้าฉางหลวง    อาจจะมีเปลี่ยนแปลงบ้าง  แต่ก็ยังคงวนๆ เวียนๆ อยู่ในสถานะไพร่   คือจาก ไพร่สม  เป็นไพร่งาน  หรือเมื่อเจ้ามูลนายตายไปก็ถูกโอนไปเป็นไพร่หลวงหรือไม่ก็ขายตัวเป็น “ทาส”      

อีกทางหนึ่ง...ดินแดนสยามคือแหล่งเสี่ยงโชคและเป็นบ่อทองของชาวต่างชาติ    แม้การหอบ “เสื่อผืนและหมอนใบ” เข้ามาในสยาม   เป็นภาพที่ทึ่งและน่าเวทนาในมโนทัศน์ของคนไทย    และตราบใดที่เรา(คนไทย)ลืมที่จะส่องไฟแห่ง “มโนทัศน์” ไปยังกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ถูกเรียกว่าไพร่    ตราบนั้นภาพการก่อร่างสร้างตัวจากเสื่อผืนหมอนใบ  จะยังคงเป็นภาพเคลื่อนไหวในมโนทัศน์ของคนไทยอย่างน่าทึ่ง  น่าสงสาร  และเน่าเอาเยี่ยงอย่าง

“สถานะทางสังคม” คือประตูที่จะนำพาคนๆ หนึ่งไปสู่ความสำเร็จ    สถานะไพร่เป็นเสมือนประตูที่ถูกลั่นดาลอย่างแน่นหนาและเกินกำลังที่เขาจะผลักเปิดเพื่อก้าวไปสู่สถานะที่ดีกว่า     ความเป็น “ชาวต่างชาติ” ตั้งแต่สมัยอยุธยาลงจนถึงยุคก่อนการเลิกทาสจึงดูมีค่าและสูงส่งกว่าประชากรส่วนใหญ่ของประเทศแม้จะมีเพียงเสื่อผืนหมอนใบ  หรือไม่มีอะไรติดตัวมาเลย       ที่สำคัญ....สถานะของพวกเขาอนุญาตให้ไต่เต้าและกินบรรดาศักดิ์ในอยุธยาได้หากรับราชการ     อยุธยาและยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นจึงเป็น “ขุมทอง” ของนักขุดทองชาวต่างชาติ   แต่เป็นอะไรสำหรับเจ้าของประเทศส่วนใหญ่นั้นก็วิเคราะห์กันเอาเอง

การเป็นอยู่ของชาวต่างชาติอย่างคนจีน    ภาระผิดชอบต่อสังคมก็มีเพียงเสียอากร “ผูกปี้” ให้กับรัฐ (ในสมัยร.๒ รายได้จากตรงนี้มีถึง 2แสนกว่าบาท!!)   คนจีนหรือชาติอื่นๆ จะมีอิสระที่จะหางานทำและไม่ต้องสังกัดมูลนายใดๆ แตกต่างจากคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศที่ต้องสังกัดมูลนายไปเกือบตลอดชีพ

จะเห็นว่าการค้าขายสมัยก่อนอยู่ในมือเจ้าขุนมูลนายและชาวจีน    โดยเฉพาะการแต่งสำเภาไปค้าขายกับต่างชาติ   ลูกเรือ  ไต้ก๋ง  ฯลฯ จะเป็นคนจีนทั้งหมด (ยกเว้นสำเภาหลวงที่ส่งบรรณาการ)     และเมื่อมีการเรียกเก็บภาษีสินค้าพื้นเมืองจากชาวบ้าน     คนทีเข้าประมูลผูกเก็บภาษีอากรเข้ารัฐก็คือเป็นคนจีน    คนจีนส่วนหนึ่งจึงกลายเป็น “นายอากร” เรียกเก็บภาษีจากชาวบ้านแล้วหักค่าเหนื่อยส่วนหนึ่งก่อนจะส่งเข้ารัฐ      สินค้าบางอย่างไม่อยู่ในบัญชีเก็บภาษีเช่น หมาก กุ้งแห้ง  กะปิ  ปีกนกกระเต็น ฯลฯ    คนจีนก็จะนำสิ้นค้านั้นมาผูกเป็นภาษียื่นต่อรัฐให้อนุมัติเก็บภาษี     ชาวบ้าน(คนไทย)ที่เคยอาศัยสิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องเลี้ยงชีพก็ต้องมาเสียภาษีให้กับนายอากร      ตัวอย่าง    มีชาวจีนเห็นชาวบ้านแถวภาคใต้เก็บไข่เต่าตนุมากินและขายเป็นจำนวนมาก    ชาวจีนกลุ่มนั้นก็ทำเรื่องผูกเก็บภาษีไข่ตนุยื่นเรื่องให้รัฐอนุมัติ   ต่อมาภาครัฐอนุมัติให้เก็บภาษีไข่ตนุให้กับคนจีนสองคน   คนหนึ่งเป็นนายอาการคอยเก็บภาษีฝั่งตะวันออก  อีกคนเก็บภาษีฝั่งตะวันตก    และที่สำคัญ....เมื่อได้รับการแต่งตั้งป็นนายอากรเก็บภาษีชาวบ้านแล้ว   ก็ต้องมีการแต่งตั้ง “บรรดาศักดิ์” เป็นธรรมเนียม   ชาวจีนสองคนนั้นก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “ขุน”   (ผมจำชื่อไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไร  ขุนทะเลหรือขุนสมุทร อะไรทำนองนี้แหละ)     จากตัวอย่างตรงนี้   จะเห็นว่า  “สถานะที่เป็นไทไม่ใช่ไพร่”   แม้จะมีเพียงเสื่อผืนหมอนใบ   ก็สามารถไต่เต้าเป็นเจ้าคนนายคน  เป็นเจ้าขุนมูลนายได้ไม่ยาก

บางคน  ไม่จำเป็นต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาขุดทองที่เมืองไทย    อย่างกรณีนายโฟลด์ที่ประเทศอังกฤษ   นายโฟลด์พูดไทยไม่ได้   ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับไทย   อาศัยแค่ว่าเคยอยู่พม่ามาก่อน     เมื่อคณะทูตสยามไปเจริญสัมพันธไมตรีกับอังกฤษในสมัยร.๔    รัฐบาลอังกฤษได้จ้างนายโฟลด์มาทำหน้าที่ต้อนรับคณะทูตที่มี “หม่อมราโชทัย (ม.ร.ว กระต่าย)” เป็นล่าม    นายโฟลด์ได้รับค่าจ้างจากรัฐบาลอังกฤษไม่พอ    ยังบุญหล่นทับ...ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบรรดาศักดิ์ขั้น “หลวง” ที่ “หลวงสยามานุเคราะห์”  จากการทำหน้าที่ต้อนรับคณะทูต    ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกงสุลไทยในกรุงร่างกุ้งอีกต่างหาก      คนไทยที่เกิดในไทย  ทำมาหากิน   ปลูกข้าวส่งฉางหลวง  ถูกเกณฑ์ไปสงครามมาตลอดชีวิต   ย่ำเท้าไปมาอยู่แค่ “ไพร่สม  ไพร่ส่วย  ไพร่หลวง” เท่านั้นเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่