ข่าวภูเขาไฟ Sakurajima ประทุเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง I Wish ของผู้กำกับ Koreeda Hirokazu
มีชื่อภาษาญีปุ่นว่า kiseki(ปาฏิหาริย์)
เป็นเรื่องของเด็กชายที่อธิษฐานให้ภูเขาไฟ Sakurajima ปะทุขึ้นมา
เพื่อที่ครอบครัวและน้องชายจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง!
ในฐานะที่เป็นแฟนหนังของผู้กำกับคนนี้ เลยอยากจะนำผลงานของ Koreeda Hirokazu เรื่องโปรดมาเล่าให้เพื่อนๆที่สนใจ
โครีเอดะ ได้ชื่อว่าผู้กำกับที่เป็นเจ้าพ่อหนังแนวครอบครัวและการกำกับการแสดงของเด็กๆได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เรื่องที่สร้างชื่อให้ เขา โด่งดังเป็นที่รู้จักมากที่สุดน่าจะเป็นเรื่อง Nobody Knows ที่ออกฉายเมื่อปี 2004
จนมาถึงเรื่องล่าสุดก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ก็คือ Our Little Sister ..เพราะเราพี่น้องกัน
Nobody Knows ... อย่าเผลอสบตากับเด็กๆ
หนังที่หลายคนไม่กล้าดู หรือคนที่ได้ชมแล้วก็ไม่กล้าที่ดูซ้ำ เรื่องนี้ส่งให้นักแสดงนำอายุ 14 ปี ยากิระ ยูยะ ที่รับบทเป็นอากิระพี่ชายคนโต ได้รับรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ในปี 2004
Nobody Knows สร้างจากโศกนาฎกรรมเรื่องจริงที่เป็นปัญหาสังคมในญี่ปุ่น คือเหตุการณ์ที่เด็กๆถูกทอดทิ้งให้อยู่กันลำพังในห้องเล็กๆของอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งโดยที่ไม่มีใครรับรู้เป็นเวลานานกว่าครึ่งปี
หนังเริ่มต้นด้วยภาพบนรถไฟ เด็กชายวัยย่างเข้าวัยรุ่น เนื้อตัวมอมแมม เล็บดำสกปรก ผมยาว ใบหน้าเรียบเฉย
กำลังนั่งอยู่บนรถไฟพร้อมกับกระเป๋าเดินทางสีชมพู ...
ใครเลยจะรู้ว่า เด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังจะเดินทางเพื่อไปทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับน้องสาว
อากิระ สัญญากับ ยูกิ น้องสาวคนเล็กไว้ว่า ถ้าแม่กลับมา พี่จะพาไปดูเครื่องบินที่สนามบินฮาเนดะ
แม้จะเป็นที่รู้กันดีว่า หนังเป็นเรื่องที่หดหู่ แต่ Koreeda กลับเลือกที่ไม่บดขยี้อารมณ์คนดูให้เสียน้ำตาไปกับโชคชะตาชีวิตที่แสนรันทด
แต่เขากับเลือกมุมมอง ในการถ่ายทอดอารมณ์ที่เป็นธรรมชาติ และความบริสุทธิไร้เดียงสาของเด็กๆใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแบบพี่น้อง ของเด็กๆสี่คนอันมี อากิระ ,เคียวโกะ ,ชิเงรุ และยูกิ 4 ที่ต้องดูแลซึ่งกันและอยู่ด้วยกันตามลำพัง
เมื่อแม่พาเด็กๆย้ายเข้ามาที่ห้องเช่าในอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง โดยที่แอบซ่อนน้องๆของอากิระไว้ในกระเป๋าเดินทาง
แม่ขอให้ทุกคนเก็บตัวอยู่ในห้อง ห้ามออกไปไหนให้ใครรู้ เนื่องจากจะถูกไล่ออกจากห้องเช่าอีก ยกเว้นอากิระที่จะต้องคอยดูแลน้องๆ
เด็กๆจึงต้องใช้ชีวิตกันอย่างหลบๆซ่อนๆและระมัดระวัง พวกเขายังเล็กเกินกว่าจะรับรู้ชะตากกรรมที่กำลังเกิดขึ้น
และวันหนึ่ง แม่ก็หายตัวไป ได้แต่ทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ อากิระใช้ดูแลน้องๆ พร้อมกับสัญญาว่าวันหนึ่งจะกลับมา
เงินที่แม่ทิ้งไว้ ไม่ได้มากมายอะไร ทำให้อากิระต้อง คำนวน วางแผนอย่างรอบคอบ ในการที่จะซื้อของกินของใช้ที่จะดำรงชีวิตให้ผ่านไปให้ได้
ฉากที่อากิระแบ่งเงินซื้อขนมมาให้น้องๆจึงทำให้หลายคนน้ำตาไหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เวลาผ่านไป ทุกอย่างเริ่มอัตคัด ห้องรกรุงรัง น้ำไฟ เริ่มถูกตัด เด็กๆต้องพากันออกไปอาบน้ำที่สวนสาธารณะ
ฉากที่อากิระตัดสินใจพาน้องๆออกไปดูโลกภายนอกครั้งแรก
ความดีใจของเด็กๆ รองเท้าที่มีไฟกระพริบแบบเด็กๆของยูกิได้ย่ำไปบนถนนจริงๆ ความสนุกสนานในสนามเด็กเล่น
ไม่รู้ว่าโคริเอดะตั้งใจผ่อนคลายอารมณ์ของผู้ชม หรือตั้งใจจะบดขยี้อารมณ์ของคนดูให้ยิ่งหดหู่ลงไปกันแน่
เนื่องจากเรื่องนี้ใช้เวลาในการถ่ายทำนานถึง 1 ปีเต็ม “ยากิระ ยูยะ” ซึ่งรรับบทเป็น “อากิระ” นั้นโตขึ้นและเริ่มมีเสียงแตกในช่วงกลางเรื่อง เหมือนกับเขาโตขึ้นมาจริงๆ และสิ่งที่ทำให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงอารมณ์ของหนังเหมือนกับว่า เรากำลังเฝ้ามองดูชีวิตจริงของเด็ก 4 คนที่กำลังเผชิญความโหดร้าย
เหมือนโลกนี้จะนิ่งดูดาย ฤดูกาลค่อยๆผ่านไป ไม่มีใครรู้ว่าเด็กๆกำลังเผชิญกับชะตากรรมเช่นไร
ความรู้สึกของหลายคนที่ได้ชมเรื่องนี้ จะว่าเศร้าก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก แต่เป็นความรู้สึกที่ จุก อึ้ง เงียบงัน
และเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อได้คิดถึงแววตาของเด็กๆขึ้นมาเมื่อใด เราอาจจะได้แต่ร้องไห้เงียบๆอยู่ในใจ...ไม่มีใครรู้
I Wish ... ปราถนาและปาฏิหาริย์ที่จะทำให้เราเติบโต
โคะอิจิ เด็กชายวัยประถมที่ต้องมาอยู่กับครอบครัวของตายายและแม่ ซึ่งแยกทางกับพ่อและพาน้องชายวัยใกล้กันไปอยู่อีกเมืองหนึ่ง
ครอบครัวของตายายเคยเป็นร้านขายขนมคารุคัง ขนมประจำท้องถิ่น แต่ได้เลิกกิจการไปทิ้งเอาไว้เพียงเถ้าไฟที่ยังครุกรุ่นอยู่ในใจของคุณตา
เช่นเดียวกับภูเขาไฟ Sakurajima ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ เมือง Kagoshima ที่ยังไม่มอดดับ
โคะอิจิ เฝ้านึกถึงแต่ความสุขในการอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าของพ่อแม่ตัวเขาและน้องชาย และพยายามหาวิธีที่จะทำยังไงก็ได้ให้ครอบครัวได้กลับมาอยู่ด้วยกัน
แต่ริวโนะสุเกะซึ่งอยู่กับพ่อที่เป็นนักดนตรีหาเช้ากินค่ำ กลับไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับพี่ ยามใดที่นึกถึงอดีตก็จะเห็นแต่ภาพพ่อแม่ตีกัน ชุลมุนวุ่นวาย
และที่สำคัญ ริว ได้ปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตใหม่ๆแบบที่ไม่ต้องอยู่กันพร้อมหน้าได้แล้ว เขาปลูกผักกินเอง(ทั้งที่แต่ก่อนเป็นเด็กไม่กินผัก)
เข้ากับเพื่อนๆนักดนตรีพเนจรของพ่อได้ดี และมีกลุ่มเพื่อนในโรงเรียนที่สนิทสนม
คนหนึ่งยังอยู่กับอดีตและเฝ้ารอคอยให้วันเก่าๆหวนมา แต่อีกคนเดินไปตามทางข้างหน้าตั้งนานแล้ว
วันหนึ่งโคะอิจิมีโอกาสถามคุณตา ว่าเหตุใดผู้คนในเมืองนี้ยังดูใจเย็นอยู่ทั้งๆที่ภูเขาไฟกำลังปล่อยฝุ่นควันออกมารบกวน เต็มเมืองทุกวัน
คำถามนี้ดันไปกระทุ้ง และจุดไฟที่มอดอยู่ (ในเรื่องการกลับมาทำขนมคารุคัง)ในใจคุณตาวัยเกษียณให้กลับมาคุกรุ่น
คุณตาบอกว่า ภูเขาไฟที่มันยังปล่อยฝุ่นควันออกมาทุกวัน แปลว่ามันยังมีชีวิต มันอาจจะปะทุขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้
เป็นคำตอบที่เหมือนกับจุดประกายความหวังเล็กๆแบบคนละเรื่องเดียวกัน ให้โคะอิจิ
ถ้าภูเขาไฟปะทุ ชาวเมืองนี้ก็จะต้องอพยพย้ายออกไป
นั่นอาจจะไปโอกาสเดียวที่ครอบครัวจะได้กลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง! ....
จากนั้น โคะอิจิจึง วาดรูปภูเขาไฟ ติดไว้ที่ผนังห้อง และเฝ้าอธิษฐานให้ภูเขาไฟนี้ปะทุขึ้นมา
และวันหนึ่ง โคอิจิก็ได้ยินเรื่องเล่าจากเพื่อนสนิท ว่า เมื่อรถไฟชินคันเซนวิ่งสวนกันมันจะเกิดพลังมหาศาล
พลังงานนั้นมากพอที่ เราจะสามารถอธิฐานขออะไรก็ได้ ปาฏหาริย์ก็อาจจะเกิดขึ้น
ว่าแล้ว โคะอิจะกับเพื่อนๆอีกสองคนที่มีแรงปราถนาบางอย่าง (แบบเด็กๆ) ก็ชวนกันวางแผน เดินทางไปจุดที่รถไฟชินคังเซนจะวิ่งสวนกัน โดยนัดกับริวโนสุเกะน้องชายเอาไว้ให้มาอธิษฐานด้วยกัน
จึงเป็นที่มาของการนัดกันออกเดินทาง ของเด็กๆที่แบกความฝันหลายๆอย่าง เพื่อที่จะไปอธิษฐานต่อหน้าขบวนรถด่วนสองขบวนที่จะวิ่งสวนกัน
บางคนอยากเป็นนักเบสบอล บางคนอยากแต่งงานกับคุณครูคนสวยที่แอบชอบ บางคนอยากเป็นนักวาดรูป เป็นดารา
พล๊อตเรื่องมีเท่านี้! แต่ อยากบอกว่าเรื่องนี้เป็นหนังที่ทำให้คนดู มีความสุข อิ่มเอมหัวใจมากๆเรื่องหนึ่ง
โครีเอดะ ค่อยๆบรรจงใส่รายละเอียด ความฝันของเด็กแต่ละคน ร้อยเรียงเข้ามารวมกันในเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติ
จนเมื่อถึงฉากที่รถไฟวิ่งสวนกัน และเด็กๆตะโกนเปล่งคำอธิษฐานออกไป น้ำตาของเราก็จะไหลออกมาพร้อมกับความสุขและความตื้นตัน!
เรื่องนี้เป็นหนังที่ดูแล้วอบอุ่นเหนือความคาดหมายมากๆ การเติบโตของตัวละคร การเติมเต็มความรู้สึกซึ่งกันและกัน
ความฝันของคนเราไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน และมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในยามที่เราเติบโตขึ้น
Like Father Like Son ... ลูกไม้ไกลต้น
พล๊อตเรื่องสลับตัวเด็กทารกแรกเกิดยังใช้ได้อีกเหรอ ?
นี่ไม่ใช่เรื่องของความรวย กับ ความจน แต่เป็นเรื่องของ พ่อที่ประสบความสำเร็จและมีพร้อมทุกสิ่ง แต่ไม่เคยมีเวลาใกล้ชิด
กับพ่ออีกคนที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้ลูกๆ ยกเว้นเวลา !
เคตะ นิโนมิยะ เด็กชายวัยห้าขวบเติบโตมากับครอบครัวที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ
พ่อเป็นสถาปนิกที่ประสบความสำเร็จทั้งเก่งและมีพรสวรรค์ในทุกๆเรื่อง
แต่เคตะ ดูเหมือนจะไม่มีพรสวรรค์อะไรสักอย่างที่เหมือนพ่อ แต่ก็พยามทำทุกอย่างเพื่อนให้พ่อรักและภูมิใจ
แม้แต่ตอนสอบสัมภาษณ์เข้าโรงเรียน เคตะต้องโกหกว่า ในวันหยุดคุณพ่อจะพาไปปิกนิกและเล่นว่าวที่ริมแม่น้ำ
ทั้งที่เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
แล้ววันหนึ่งพ่อกับแม่ก็เริ่มพาเคตะไปรู้จักกับครอบครัวแปลกหน้าที่มีเด็กๆวัยเดียวกับเคตะ และน้องๆอีกสองคน
พ่อก็บอกกับเคตะว่า มีภาระกิจอันหนึ่งสำหรับเพื่อสร้างความเข้มแข็ง คือการให้เคตะไปนอนบ้านคุณลุงคุณป้า
โดยเปลี่ยนกับ ริวเซ เด็กชายอีกคนที่เป็นลูกของคุณลุงคุณป้า
บ้านของคุณลุงคุณป้า อาจจะดูต่างไป แต่ก็อยู่กันอย่างอบอุ่น
การอาบน้ำด้วยกันเป็นเรื่องที่เคตะไม่เคยทำมาก่อน
เมื่อได้ไปอยู่บ้านคุณลุงคุณป้าหลายๆครั้งในวันสุดสัปดาห์ สุดท้ายพ่อก็บอกว่า
เคตะจะต้องไปอยู่ที่บ้านโน้นจริงๆแล้ว และต่อไปให้เรียกลุงกับป้าว่า พ่อ กับ แม่
และต่อให้คิดถึงพ่อกับแม่ยังไงก็ห้ามโทรศัพท์กลับมาบ้านเด็ดขาด
กว่าพ่อจะรู้ว่า สายสัมพันธ์ที่คนเราได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันมา อาจจะสำคัญไม่แพ้ความสัมพันธ์ทางสายเลือด ก็เกือบจะสายเกินไป
ไม่ว่าคุณจะเป็นคนอ่อนไหวหรือเข้มแข็ง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเสียน้ำตาให้หนังเรื่องนี้
เพื่อนๆที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวพักผ่อนและเดินทาง สามารถติดตามลุงหมอได้ในเพจน่ารักของคนอยากพักร้อน
https://www.facebook.com/pages/ลุงหมอขอพักร้อน/760679240696775
ขอบคุณครับ
[CR] Review ผลงานของผู้กำกับ เจ้าพ่อ "หนังครอบครัว" .. Koreeda Hirokazu
มีชื่อภาษาญีปุ่นว่า kiseki(ปาฏิหาริย์)
เป็นเรื่องของเด็กชายที่อธิษฐานให้ภูเขาไฟ Sakurajima ปะทุขึ้นมา
เพื่อที่ครอบครัวและน้องชายจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง!
ในฐานะที่เป็นแฟนหนังของผู้กำกับคนนี้ เลยอยากจะนำผลงานของ Koreeda Hirokazu เรื่องโปรดมาเล่าให้เพื่อนๆที่สนใจ
โครีเอดะ ได้ชื่อว่าผู้กำกับที่เป็นเจ้าพ่อหนังแนวครอบครัวและการกำกับการแสดงของเด็กๆได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เรื่องที่สร้างชื่อให้ เขา โด่งดังเป็นที่รู้จักมากที่สุดน่าจะเป็นเรื่อง Nobody Knows ที่ออกฉายเมื่อปี 2004
จนมาถึงเรื่องล่าสุดก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ก็คือ Our Little Sister ..เพราะเราพี่น้องกัน
หนังที่หลายคนไม่กล้าดู หรือคนที่ได้ชมแล้วก็ไม่กล้าที่ดูซ้ำ เรื่องนี้ส่งให้นักแสดงนำอายุ 14 ปี ยากิระ ยูยะ ที่รับบทเป็นอากิระพี่ชายคนโต ได้รับรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ในปี 2004
Nobody Knows สร้างจากโศกนาฎกรรมเรื่องจริงที่เป็นปัญหาสังคมในญี่ปุ่น คือเหตุการณ์ที่เด็กๆถูกทอดทิ้งให้อยู่กันลำพังในห้องเล็กๆของอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งโดยที่ไม่มีใครรับรู้เป็นเวลานานกว่าครึ่งปี
หนังเริ่มต้นด้วยภาพบนรถไฟ เด็กชายวัยย่างเข้าวัยรุ่น เนื้อตัวมอมแมม เล็บดำสกปรก ผมยาว ใบหน้าเรียบเฉย
กำลังนั่งอยู่บนรถไฟพร้อมกับกระเป๋าเดินทางสีชมพู ...
ใครเลยจะรู้ว่า เด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังจะเดินทางเพื่อไปทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับน้องสาว
อากิระ สัญญากับ ยูกิ น้องสาวคนเล็กไว้ว่า ถ้าแม่กลับมา พี่จะพาไปดูเครื่องบินที่สนามบินฮาเนดะ
แม้จะเป็นที่รู้กันดีว่า หนังเป็นเรื่องที่หดหู่ แต่ Koreeda กลับเลือกที่ไม่บดขยี้อารมณ์คนดูให้เสียน้ำตาไปกับโชคชะตาชีวิตที่แสนรันทด
แต่เขากับเลือกมุมมอง ในการถ่ายทอดอารมณ์ที่เป็นธรรมชาติ และความบริสุทธิไร้เดียงสาของเด็กๆใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแบบพี่น้อง ของเด็กๆสี่คนอันมี อากิระ ,เคียวโกะ ,ชิเงรุ และยูกิ 4 ที่ต้องดูแลซึ่งกันและอยู่ด้วยกันตามลำพัง
เมื่อแม่พาเด็กๆย้ายเข้ามาที่ห้องเช่าในอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง โดยที่แอบซ่อนน้องๆของอากิระไว้ในกระเป๋าเดินทาง
แม่ขอให้ทุกคนเก็บตัวอยู่ในห้อง ห้ามออกไปไหนให้ใครรู้ เนื่องจากจะถูกไล่ออกจากห้องเช่าอีก ยกเว้นอากิระที่จะต้องคอยดูแลน้องๆ
เด็กๆจึงต้องใช้ชีวิตกันอย่างหลบๆซ่อนๆและระมัดระวัง พวกเขายังเล็กเกินกว่าจะรับรู้ชะตากกรรมที่กำลังเกิดขึ้น
และวันหนึ่ง แม่ก็หายตัวไป ได้แต่ทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ อากิระใช้ดูแลน้องๆ พร้อมกับสัญญาว่าวันหนึ่งจะกลับมา
เงินที่แม่ทิ้งไว้ ไม่ได้มากมายอะไร ทำให้อากิระต้อง คำนวน วางแผนอย่างรอบคอบ ในการที่จะซื้อของกินของใช้ที่จะดำรงชีวิตให้ผ่านไปให้ได้
ฉากที่อากิระแบ่งเงินซื้อขนมมาให้น้องๆจึงทำให้หลายคนน้ำตาไหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เวลาผ่านไป ทุกอย่างเริ่มอัตคัด ห้องรกรุงรัง น้ำไฟ เริ่มถูกตัด เด็กๆต้องพากันออกไปอาบน้ำที่สวนสาธารณะ
ฉากที่อากิระตัดสินใจพาน้องๆออกไปดูโลกภายนอกครั้งแรก
ความดีใจของเด็กๆ รองเท้าที่มีไฟกระพริบแบบเด็กๆของยูกิได้ย่ำไปบนถนนจริงๆ ความสนุกสนานในสนามเด็กเล่น
ไม่รู้ว่าโคริเอดะตั้งใจผ่อนคลายอารมณ์ของผู้ชม หรือตั้งใจจะบดขยี้อารมณ์ของคนดูให้ยิ่งหดหู่ลงไปกันแน่
เนื่องจากเรื่องนี้ใช้เวลาในการถ่ายทำนานถึง 1 ปีเต็ม “ยากิระ ยูยะ” ซึ่งรรับบทเป็น “อากิระ” นั้นโตขึ้นและเริ่มมีเสียงแตกในช่วงกลางเรื่อง เหมือนกับเขาโตขึ้นมาจริงๆ และสิ่งที่ทำให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงอารมณ์ของหนังเหมือนกับว่า เรากำลังเฝ้ามองดูชีวิตจริงของเด็ก 4 คนที่กำลังเผชิญความโหดร้าย
เหมือนโลกนี้จะนิ่งดูดาย ฤดูกาลค่อยๆผ่านไป ไม่มีใครรู้ว่าเด็กๆกำลังเผชิญกับชะตากรรมเช่นไร
ความรู้สึกของหลายคนที่ได้ชมเรื่องนี้ จะว่าเศร้าก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก แต่เป็นความรู้สึกที่ จุก อึ้ง เงียบงัน
และเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อได้คิดถึงแววตาของเด็กๆขึ้นมาเมื่อใด เราอาจจะได้แต่ร้องไห้เงียบๆอยู่ในใจ...ไม่มีใครรู้
โคะอิจิ เด็กชายวัยประถมที่ต้องมาอยู่กับครอบครัวของตายายและแม่ ซึ่งแยกทางกับพ่อและพาน้องชายวัยใกล้กันไปอยู่อีกเมืองหนึ่ง
ครอบครัวของตายายเคยเป็นร้านขายขนมคารุคัง ขนมประจำท้องถิ่น แต่ได้เลิกกิจการไปทิ้งเอาไว้เพียงเถ้าไฟที่ยังครุกรุ่นอยู่ในใจของคุณตา
เช่นเดียวกับภูเขาไฟ Sakurajima ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ เมือง Kagoshima ที่ยังไม่มอดดับ
โคะอิจิ เฝ้านึกถึงแต่ความสุขในการอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าของพ่อแม่ตัวเขาและน้องชาย และพยายามหาวิธีที่จะทำยังไงก็ได้ให้ครอบครัวได้กลับมาอยู่ด้วยกัน
แต่ริวโนะสุเกะซึ่งอยู่กับพ่อที่เป็นนักดนตรีหาเช้ากินค่ำ กลับไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับพี่ ยามใดที่นึกถึงอดีตก็จะเห็นแต่ภาพพ่อแม่ตีกัน ชุลมุนวุ่นวาย
และที่สำคัญ ริว ได้ปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตใหม่ๆแบบที่ไม่ต้องอยู่กันพร้อมหน้าได้แล้ว เขาปลูกผักกินเอง(ทั้งที่แต่ก่อนเป็นเด็กไม่กินผัก)
เข้ากับเพื่อนๆนักดนตรีพเนจรของพ่อได้ดี และมีกลุ่มเพื่อนในโรงเรียนที่สนิทสนม
คนหนึ่งยังอยู่กับอดีตและเฝ้ารอคอยให้วันเก่าๆหวนมา แต่อีกคนเดินไปตามทางข้างหน้าตั้งนานแล้ว
วันหนึ่งโคะอิจิมีโอกาสถามคุณตา ว่าเหตุใดผู้คนในเมืองนี้ยังดูใจเย็นอยู่ทั้งๆที่ภูเขาไฟกำลังปล่อยฝุ่นควันออกมารบกวน เต็มเมืองทุกวัน
คำถามนี้ดันไปกระทุ้ง และจุดไฟที่มอดอยู่ (ในเรื่องการกลับมาทำขนมคารุคัง)ในใจคุณตาวัยเกษียณให้กลับมาคุกรุ่น
คุณตาบอกว่า ภูเขาไฟที่มันยังปล่อยฝุ่นควันออกมาทุกวัน แปลว่ามันยังมีชีวิต มันอาจจะปะทุขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้
เป็นคำตอบที่เหมือนกับจุดประกายความหวังเล็กๆแบบคนละเรื่องเดียวกัน ให้โคะอิจิ
ถ้าภูเขาไฟปะทุ ชาวเมืองนี้ก็จะต้องอพยพย้ายออกไป
นั่นอาจจะไปโอกาสเดียวที่ครอบครัวจะได้กลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง! ....
จากนั้น โคะอิจิจึง วาดรูปภูเขาไฟ ติดไว้ที่ผนังห้อง และเฝ้าอธิษฐานให้ภูเขาไฟนี้ปะทุขึ้นมา
และวันหนึ่ง โคอิจิก็ได้ยินเรื่องเล่าจากเพื่อนสนิท ว่า เมื่อรถไฟชินคันเซนวิ่งสวนกันมันจะเกิดพลังมหาศาล
พลังงานนั้นมากพอที่ เราจะสามารถอธิฐานขออะไรก็ได้ ปาฏหาริย์ก็อาจจะเกิดขึ้น
ว่าแล้ว โคะอิจะกับเพื่อนๆอีกสองคนที่มีแรงปราถนาบางอย่าง (แบบเด็กๆ) ก็ชวนกันวางแผน เดินทางไปจุดที่รถไฟชินคังเซนจะวิ่งสวนกัน โดยนัดกับริวโนสุเกะน้องชายเอาไว้ให้มาอธิษฐานด้วยกัน
จึงเป็นที่มาของการนัดกันออกเดินทาง ของเด็กๆที่แบกความฝันหลายๆอย่าง เพื่อที่จะไปอธิษฐานต่อหน้าขบวนรถด่วนสองขบวนที่จะวิ่งสวนกัน
บางคนอยากเป็นนักเบสบอล บางคนอยากแต่งงานกับคุณครูคนสวยที่แอบชอบ บางคนอยากเป็นนักวาดรูป เป็นดารา
พล๊อตเรื่องมีเท่านี้! แต่ อยากบอกว่าเรื่องนี้เป็นหนังที่ทำให้คนดู มีความสุข อิ่มเอมหัวใจมากๆเรื่องหนึ่ง
โครีเอดะ ค่อยๆบรรจงใส่รายละเอียด ความฝันของเด็กแต่ละคน ร้อยเรียงเข้ามารวมกันในเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติ
จนเมื่อถึงฉากที่รถไฟวิ่งสวนกัน และเด็กๆตะโกนเปล่งคำอธิษฐานออกไป น้ำตาของเราก็จะไหลออกมาพร้อมกับความสุขและความตื้นตัน!
เรื่องนี้เป็นหนังที่ดูแล้วอบอุ่นเหนือความคาดหมายมากๆ การเติบโตของตัวละคร การเติมเต็มความรู้สึกซึ่งกันและกัน
ความฝันของคนเราไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน และมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในยามที่เราเติบโตขึ้น
พล๊อตเรื่องสลับตัวเด็กทารกแรกเกิดยังใช้ได้อีกเหรอ ?
นี่ไม่ใช่เรื่องของความรวย กับ ความจน แต่เป็นเรื่องของ พ่อที่ประสบความสำเร็จและมีพร้อมทุกสิ่ง แต่ไม่เคยมีเวลาใกล้ชิด
กับพ่ออีกคนที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้ลูกๆ ยกเว้นเวลา !
เคตะ นิโนมิยะ เด็กชายวัยห้าขวบเติบโตมากับครอบครัวที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ
พ่อเป็นสถาปนิกที่ประสบความสำเร็จทั้งเก่งและมีพรสวรรค์ในทุกๆเรื่อง
แต่เคตะ ดูเหมือนจะไม่มีพรสวรรค์อะไรสักอย่างที่เหมือนพ่อ แต่ก็พยามทำทุกอย่างเพื่อนให้พ่อรักและภูมิใจ
แม้แต่ตอนสอบสัมภาษณ์เข้าโรงเรียน เคตะต้องโกหกว่า ในวันหยุดคุณพ่อจะพาไปปิกนิกและเล่นว่าวที่ริมแม่น้ำ
ทั้งที่เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
แล้ววันหนึ่งพ่อกับแม่ก็เริ่มพาเคตะไปรู้จักกับครอบครัวแปลกหน้าที่มีเด็กๆวัยเดียวกับเคตะ และน้องๆอีกสองคน
พ่อก็บอกกับเคตะว่า มีภาระกิจอันหนึ่งสำหรับเพื่อสร้างความเข้มแข็ง คือการให้เคตะไปนอนบ้านคุณลุงคุณป้า
โดยเปลี่ยนกับ ริวเซ เด็กชายอีกคนที่เป็นลูกของคุณลุงคุณป้า
บ้านของคุณลุงคุณป้า อาจจะดูต่างไป แต่ก็อยู่กันอย่างอบอุ่น
การอาบน้ำด้วยกันเป็นเรื่องที่เคตะไม่เคยทำมาก่อน
เมื่อได้ไปอยู่บ้านคุณลุงคุณป้าหลายๆครั้งในวันสุดสัปดาห์ สุดท้ายพ่อก็บอกว่า
เคตะจะต้องไปอยู่ที่บ้านโน้นจริงๆแล้ว และต่อไปให้เรียกลุงกับป้าว่า พ่อ กับ แม่
และต่อให้คิดถึงพ่อกับแม่ยังไงก็ห้ามโทรศัพท์กลับมาบ้านเด็ดขาด
กว่าพ่อจะรู้ว่า สายสัมพันธ์ที่คนเราได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันมา อาจจะสำคัญไม่แพ้ความสัมพันธ์ทางสายเลือด ก็เกือบจะสายเกินไป
ไม่ว่าคุณจะเป็นคนอ่อนไหวหรือเข้มแข็ง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเสียน้ำตาให้หนังเรื่องนี้
เพื่อนๆที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวพักผ่อนและเดินทาง สามารถติดตามลุงหมอได้ในเพจน่ารักของคนอยากพักร้อน
https://www.facebook.com/pages/ลุงหมอขอพักร้อน/760679240696775
ขอบคุณครับ