10 เดือน 43 กิโลกรัม ลดความอ้วนเพื่อ เอาชนะโรค

กระทู้สนทนา
สิ้นเดือนนี้ผม ต้องผ่าตัดแล้วครับ ก็กังวลนิดหน่อย ก็เลยใช้ช่วงที่ยังเล่าเรื่องราวได้นี้ บอกเล่า เรื่องราวของผม เพื่อที่ ใครก็ตามที่ยัง ไม่มีโรคภัย

มารบกวน  จะได้หันมาใส่ใจกับการกินอยู่และสุขภาพตัวเองมากขึ้น  
ผมอายุ 35 ปี สูง 178
นี่ผมเองครับ ลุงอ้วนแก่นี่หละผมเอง ตอนนั้นหนักราวๆ132 ครับ  BMI 41.66  เป็นโรคอ้วนขั้นสูงสุดครับ  


มาดูพัฒนาการความอ้วนครับ


อันนี้ยาที่ต้องกินทุกวันครับ แค่บางส่วนนะครับ


อ้วนชนิดที่เรียกว่า  ไม่อยากทำอะไรครับ เหนื่อย ขยับไปไหนก็ไม่อยากไปอึดอัดไม่สบายตัว  
ตอนนั้น จำได้ว่า ไปหาชุดขาวใส่รับปริญญา  หาอก 50 นิ้วครับ  ร้านเช่าชุดมีแค่ส่ายหน้า  สุดท้ายหาได้แต่ครุย ชุดขาวหาไม่ได้  
เสื้อข้างใน ใส่ 4 หรือ 6xl นี่หละครับ ไม่แน่ใจ  
กางเกง เอว 44 นี่ตึงสุดครับ ต้องใส่กางเกงตัด แถมทั้งซิบ ทั้งตะเข็บระเบิด ไปอย่างละรอบ  
ยีนส์ อย่าไปพูดถึงครับ น่าจะไม่ได้ใส่มาเกือบ 10 ปีแล้ว  เพราะใส่ไม่ได้ ด้วยประการทั้งปวง
เสื้อผ้าทั่วไปก็เข้าพวกร้าน outlet ที่ขายฝรั่งครับ  

เรื่องสุขภาพ  เมื่อมีนาปีที่แล้ว วันนึง ผมต้องกินยา วันละ4-5 เม็ด เพื่อบรรเทาอาการขอโรคต่างๆครับ  
ก็มี
-    ภูมิแพ้  อันนี้ต้องพ่น สเตียรอยด์ ตอนเช้าทุกวัน เพื่อให้ ร่างกายไม่แพ้ฝุ่น เพราะตื่นเช้ามาจะทรมานมาก เพราะหายใจไม่ออก ต้องหายใจทางปาก ไปหาคุณหมอ คุณหมอว่า ต้องพ่นยา + กินยาไป ตลอดชีวิต แล้วให้ดูแล้วห้องนอนไม่ให้มีฝุ่น  ทำให้ตอนเช้าๆ  จมูกตีบ หายใจไม่ออก  เจ็บคอเพราะ กรน+หายใจทางปาก พอพ่นยาแล้วอาการก็ดีขึ้นบ้าง แต่ถ้าช่วงไหนมีไข้หรือเป็นหวัดอาการก็จะทรุดมาก  
-    ความดันสูง  + ไขมันในเลือดสูง อันนี้ หมอให้กินยาลดไขมันในเลือด แถมโดนเพิ่มปริมาณยา เพราะปริมาณเดิมเอาไม่อยู่  ส่วนความดัน ก็ไปถึง 150-160 / 100-110 บ่อยๆ
ช่วงก่อนหน้านี้  บวชพระก็ลำบากมาก เพราะบวชสายธรรมยุติ เดินบิณฑบาต หลายกิโล ต้องพ่นยาที่เท้าก่อนออกบิณฑบาต จนกินยามาได้ซัก2 ปีกว่า เวลาจะไปไหนมาไหนที ยาเป็นถุงๆครับ  ร่างกายแย่มาก เตะบอลนิดเดียวก็จะเหนื่อยมาก แทบขาดใจเลย  เวลาไปเที่ยว เดินนิดหน่อยก็จะเหนื่อยมาก เที่ยวไม่สนุก เป็นภาระ คนอื่นคอยเป็นห่วงสุดท้ายกลับมาจาก เที่ยวญี่ปุ่น ก็เลยคิดว่า ยังไง  ก็ต้องลดให้ได้ เลยเริ่มหาข้อมูลการลดน้ำหนัก  แต่ครั้นจะไปหาเทรนเนอร์เข้าฟิตเนส ก็คงจะไม่ไหว  แต่ก็ยังโชคดี ที่ทำงานมีพี่คนนึง เป็นนักเพาะกายดีกรี รองแชมป์กีฬาแห่งชาติ ก็เลยได้ที่ปรึกษาชั้นดีโดยไม่ต้องเสียเงิน  จาก จุด start ในวันนั้น คือ 132 อย่างที่ บอก  


สารแรกที่ผม ประมวลได้หลังจากที่หาข้อมูล  คือ
*** ห้ามอดอาหารห้ามงดแป้ง  ให้กินให้เป็นปกติ แต่ให้ใช้เวทเทรนนิ่ง และ คาดิโอ ควบคู่กันไปในการลดความอ้วน ***
*** นำหนักที่เหมาะสมในการลดความอ้วนคือ0.5-3 กิโล ต่อเดือน***
รออะไรหละครับ  ผมก็เดินไป ฟิตเนส.อบต.ในหมู่บ้านเลย  ไว้ว่างๆ จะถ่ายรูปมาให้ดูนะครับ  ตอนนั้นหนักมากครับวิ่งไม่ได้ ก็ใช้ คาดิโอด้วยการปั่นจักรยาน  แล้วก็ซิทอัพจากเครื่องซิทอัพ  ที่มีที่ดึง    แล้วก็มีเครื่องยกเหล็ก แบบที่ไว้ดึงๆ ดันๆ  ก็เริ่มเล่นจากวันละ 40 – 60 นาที อาทิตย์ละ 3-5 วัน  แรกๆ นี่น้ำหนักลงไวมากครับ ไม่ถึงเดือนลงไป 7 กิโล  แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะน้ำหนัก 132 นี่คือชั่งหลังจากกลับมาจาก ญี่ปุ่นแบบว่ากินเพียบมามาก พอมากินปกติ + ออกกำลังกายนี่แรกๆ น้ำหนักเลยลดมาค่อนข้างเยอะ  
แรกๆที่เล่นทรมานมากครับ เดี๋ยวเนื้อตึง เดี๋ยวตะกริวขา  ที่ทรมานที่สุด คือตะคริวหน้าท้องครับ ยืนยังไม่ได้เลยปวดมากครับ  
ช่วงแรกๆนี่ยังนอนดึกตามปกติครับ  5 ทุ่ม ถึงตี 1  ตื่นตี 5  ดูละครบ้าง ซีรี่ย์บ้าง เล่นเกมส์บ้าง  กินก็เลิกพวกน้ำหวาน น้ำอัดลม ของหวาน มื้อเย็นนี่ก็ กินบ้างไม่กินบ้าง ครับ แต่หมูกระทะ  แฮมเบอร์เกอร์ยังมาเต็มครับ ไปกินบ่อยๆ   ใช้ชีวิต  แบบนี้มาราวๆ 7 เดือนครับ   น้ำหนักลงไปราวๆ 20 กิโลครับ  

ช่วง 7 เดือนนี้ หักดิบครับ  คือเลิกทานยาทุกอย่างเลย  แต่ความดันลงครับ  อยู่แถวๆ 140/105
แต่ที่ชัดเจนเลยคือ หัวใจครับ เต้นช้าลง จากปกติเคยเต้น 100 นิดๆ ก็มาเหลือแค่ 80 กว่าๆ  ในช่วงปกติ
แต่ที่มหัศจรรย์เลยคือ  ตอนเช้า  จมูกไม่ตีบแล้วครับ  หายใจคล่อง  แต่ยังมีอาการภูมิแพ้อยู่บ้างเวลามีฝุ่นมากๆครับ ยังจามอยู่
กางเกงเริ่มหลวมครับ ลงมาใส่ 42 40 ตามลำดับ เริ่มรื้อกางเกงเก่าๆ  มาใส่ครับ

*** อ่านถึงตรงนี้ อย่าเพิ่งเข้าใจตามผมนะครับ  ยังมีจุดบกพร่องอยู่มากครับ ***

มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญเลย  คือช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วครับ  ผมเข้ารพ.ครับ  เพราะ มีอาการปวดท้องรุนแรงร้าวไปหลัง แรกๆ หมออายุรกรรม วิเคราะห์ว่าเป็นกระเพาะครับ  ช่วงนี้ น้ำหนักจะลดเยอะเลยเพราะทานอะไรไม่ค่อยได้  อาการก็เป็นๆหายๆ  สุดท้ายต้องเข้า รพ.ใหญ่ครับ  เช็คละเอียดอีกครับ ทั้งอัลต้ราซาวด์ และ mri  

ก่อนป่วยคือหนัก 110 จำได้เลยว่าวันที่  20 พย. 2015
ผลอัลตราซาวด์  ออกมาก่อน และหมอวิเคราะห์ว่ามีนิ่วในถุงน้ำดี  ส่วนหมอศัลย์ ดูแล้ว ส่งไปทำ mri เพราะ บอกว่า ตับแปลกๆ  แต่ไม่ได้บอกอะไรมาก  ได้คิว mri ปลายๆ ธันวาครับ แล้วก็นัดตรวจเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา  ตอนนั้นกังวลมากครับ  
สงสัยว่าอะไรคือ ตับแปลกๆ  มะเร็งตับ ฝีในตับ  ตับแข็ง  คือไม่ว่าจะเป็นอะไรก็หนักหน่วงทั้งนั้นครับ  
ส่วนผลปัสสาวะ มีโปรตีนรั่วครับ
นาทีนั้นเลยตัดสินใจเด็ดขาดครับ  ถ้าจะต้องป่วยหนัก   ต้องเตรียมร่างกายไว้สู้ กับโรคภัยครับ  
ก็เลย เพิ่มเวลาการออกกำลังกาย เป็น 1-1.5 ชม.  และ 6 วันต่อสัปดาห์  แน่นอนครับ  ปวดร้าวไปหลัง ยกเวทไม่ไหวแน่ แต่ก็พยายามทำท่าอื่นๆ และคาดิโอให้มากขึ้น  ทำทั้งๆที่ยังนอนเจ็บอยู่เลยนี่หละครับ  

แต่อันนี้ สำคัญมากครับ  ผมเน้นเลยนะครับ เพราะผมเชื่อว่า น่าจะมีส่วน  มากๆเลยครับ  เรื่องการกินครับ  
พอช่วงที่ป่วยเนี่ย  เนื่องจากถุงน้ำดีมันจะทำงานเวลาร่างกายต้องการน้ำดีไปย่อยไขมันครับ   ดังนั้นช่วงป่วยนี่ผมไม่กล้าทานอะไรเลย  แอ๊ปเปิ้ล มะละกอ กล้วย ส้มทั้งวันครับ เพราะกลัวเจ็บไปหมดครับ  เต็มที่คือ ต้มผักกินสุกี้เอาครับ  
และจากการหาข้อมูล  ทำให้ได้รู้ว่า พวกอาหารแปรรูปทั้งหลาย  ผงชูรส ของหมักดอง น้ำปลา  ไม่ดีกับไต ผมก็เลยเลิกขาดทุกชนิครับ  
สุดท้ายกินแค่ สุกี้ ผักต้ม ปลาปิ้ง ผลไม้สด ผักสด  ในช่วงเดือนนี้ป่วยซะมากครับ  วันที่ 20 ธค. น้ำหนักคือ 99 ครับ  ต่ำกว่า 100 แล้ว  แต่ ไม่มีแรงครับ เวทที่เคยยกได้ก็ยกไม่ได้ครับ ต้องยกที่น้ำหนักน้อยลง  

แต่ที่เพิ่มแน่นอนคือพักผ่อนครับ  ตอนนี้เริ่มนอน 2-4 ทุ่มครับ ตื่นตี 5 เหมือนเดิม  ละครดูย้อนหลังเอาครับ
ขอขอบคุณ TOT IPTV มา ณ ที่นี้ครับ



พออาการปวดเริ่มลดลง  ก็เริ่ม กินมากขึ้นครับ  นับๆดูให้ได้ ซํก 2 พัน แคลในแต่ละวัน  

ใช้วิธีกินบ่อยๆครับ  เช้า 7โมง กลางวัน 11 โมง  บ่ายๆกินผลไม้ครับ เย็นก็กินผลไม้บ้าง บางทีออกกำลังกายกลับมาดึกอาบน้ำเสร็จก็นอนเลย
หลังจาก  อาการเริ่มดีขึ้น  ผมก็อัด เวลาออกกำลังเพิ่มไปอีกครับ  แต่เพิ่มแค่วันหยุดนะครับ  วันธรรมดาไม่มีเวลาแล้ว  
คือวันหยุดปกติเช้าจะไปวิ่งประมาณ 15-30 นาที รวมวอร์ม + คูลดาว  เย็นก็เล่นฟิตเนส + คาดิโอ อีก 2-3 ชม.
เรื่องการกิน ก็ 1 เลย คือไม่กินอาหาร ทอด + ผัด  ก็กิน ต้ม นึ่ง แกง(ไม่กะทิ) เท่านั้น อาหารแปรรูปทุกชนิดเลี่ยงครับ กินจืดไม่ปรุงเพิ่ม เลิกน้ำปลา ดังนั้นเมนูผม จะเป็นอะไรที่หากินง่ายๆได้ทุกวันครับ  เช่น
สุกี้(ไม่เอาน้ำจิ้มสูตรเต้าหู้ยี้ ถ้าไม่มีก็ไม่ซดน้ำ) แกงส้ม พะโล้ กินแต่ไข่ เพราะน้ำมันเค็ม  แกงเห็ด  ส้มตำ ลาบ ยำ แกงป่า แกงไตปลา สลัด+ปลาทูน่าไม่ใส่น้ำสลัดกินมันเขียวๆนี่หละ  ข้าวโพดหวานต้ม ก๋วยเตี๋ยว ขนมปังโฮลวีต  แอปเปิ้ล กล้วย
ทานวันละ 2 มื้อครับ คือ 7โมงกับ 11 โมง ถ้าหิวบางวันบ่ายๆก็กินผลไม้หรือ ขนมปังครับ
พอกินมากขึ้น เริ่มยกน้ำหนักได้มากขึ้นครับ  ยกเวทได้ที่นำหนักเท่าเดิมแล้ว   แต่วันไหนที่ ปวดครบทุกส่วนของร่างกายก็จะพักครับ  คือ ปวดใต้ซี่โครง  ปวดข้างๆหน้าอก ปวดต้นขาด้านหลัง  ก็จะพัก1-2วันครับ  เท่ากับว่าจะเล่น 4-6 วันพัก1-2 วันครับ  

เรื่องสุขภาพ  ความดันลงเยอะมาก จนวันที่ไปทำ mri  พยาบาลบอกเลยว่าอย่าให้ต่ำลงไปถึงขนาด 80-90 /60-70  มันจะวูบ  แล้วก็จริงๆด้วย เพราะช่วงที่ผมป่วยหนักและกินไม่เป็นปกตินั้น ความดันต่ำมากครับ และก็วูบบ่อยๆ  
แต่ตอนนี้ความดันปกติแล้วครับ คือ 120+/ 80+ บางทีตัวล่างก็วิ่งไปถึง 90 นิดๆครับ แต่ก็ไม่เกินนี้  
ภูมิแพ้ แทบไม่มีอาการแล้วครับ ยกเว้นเวลาไปที่ที่แบบฝุ่นมากจริงๆ จะมีจามบ้าง  
ล่าสุด เมื่อ วังอังคารที่ผ่านมาหมอนัดตรวจแล้ว  ตับเจอซีสครับ เซนกว่าๆ ถุงน้ำดียังมีอาการบวม แต่เนื้อตับไม่ดี แต่ก็ไม่ถึงกับแข็ง  สุดท้ายหมอนัด ตัดถุงน้ำดีสิ้นเดือนครับ  
อ่านมาถึงตรงนี้  ใครมีคำแนะนำช่วงพักฟื้นก็ดีนะครับ ว่า ช่วงที่แผลยังไม่หายผมออกกำลังกายท่าไหนได้บ้าง ผมกลัวกลับไปอ้วนอีกครับ  
ส่วนเรื่องเสื้อผ้า  ใส่ไม่ได้ครับ  อันนี้ตัวอย่างเสื้อตัวเก่ากับเสื้อใหม่ครับ


ตอนนี้ลำบากมากครับ เพราะเสื้อเก่าๆ ใส่ไม่ได้แล้วต้องไปรื้อเสื้อเก่ามากๆมาใส่  ถ้าซื้อใหม่ บางตัวก็ M บางตัวก็ L ครับพวกเสื้อเชิ้ตก็ xl    พวก 4-6 xl ใส่ไม่ได้แล้วครับ  
กางเกง เข็มขัดเอาไม่อยู่ครับ บางเส้นเอาไปเจาะเพิ่ม 4 รูก็ยังใส่ไมได้   ตอนนี้ ใส่เอว 34-36 ครับ  อารมณ์เดียวกันกับคุณแจ๊คเลยครับ  




สุดท้ายนี้ ก็จะขึ้นเขียงผ่าอยู่ไม่กี่วันนี้แล้วครับ   สาเหตุของนิ่วถุงน้ำดี ไม่ชัดเจนนะครับ  แต่เท่าที่หาข้อมูล ความอ้วนนี่ก็เป็นเหตุได้ครับ  เพราะไขมันจากตับทำให้เกิดนิ่วได้  

อ้วนแล้วไม่หนักหัวใครหรอกครับ  หนักหัวตัวเองกับคนรอบข้างนี่หละ โรครุมเร้า  ร่างกายอ่อนแอ  

ผมคิดว่า มี 3 อย่าง ที่ควรดูแลให้เหมาะสม คือ การกิน  การพักผ่อน และการออกกำลังกาย  เท่าที่สังเกตุ หลังจากวันพักนี่  น้ำหนักลงแอบบฮวบๆ หลายขีดเลยครับ

ผมมี เหตุผล เป็นร้อยอย่าง ที่คิดว่าอ้วนแล้วมีความสุข ร่าเริง อารมณ์ดี ที่สำคัญ ไม่หนักหัวใครด้วย  แต่เชื่อผมเถอะครับ  ความเจ็บป่วยมันทรมาน  หันมาดูแลสุขภาพเถอะครับ  ^^

เป้าหมายของผม คือ ซัก 72   BMI ซัก 22 ครับ อกซํก 36 เอว 30คงกำลังสวย   แต่ มีคนรอบข้างยุให้มาตั้งกระทู้ ผมก็เลยมาตั้งไว้ก่อน  เพราะเดี๋ยว ต้องไปขึ้นเขียงแล้ว  

ส่วน ใครอยากพูดคุยสอบถาม ก็ add fb ผมนะครับ อันนี้ทำไว้ให้เป็นกำลังใจสำหรับพรรคพวกที่อยากลดความอ้วนเลย
https://www.facebook.com/profile.php?id=100011297768119&fref=ts

สุดท้ายแล้ว ถ้ามีใครซํกคนที่อ่านกระทู้ผม แล้ววิ่งไปออกกำลังกาย สม่ำเสมอ ผมก็ดีใจแล้วครับ  ที่ช่วยให้คนอื่นๆ ลดความอ้วนได้ เพราะความอ้วนมันน่ากลัวกว่าที่คิดมากครับ  สู้ๆนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่