ตอนที่ 1, 2
http://ppantip.com/topic/34547536
ตอนที่ 3
http://ppantip.com/topic/34558097
ตอนที่ 4, 5
http://ppantip.com/topic/34585150
6.
การปะทะกันระหว่าง ตะเกียบ กับ จอกสุรา เมื่อครู่ คล้ายดั่งคำ ‘ยาวหนึ่งนิ้วเข้มแข็งหนึ่งส่วน สั้นหนึ่งนิ้วหวาดเสียวหนึ่งส่วน’ ที่ร่ำลือกันมานาน
สั้นยาวที่ว่า ย่อมหมายถึงศาสตราวุธที่ใช้ หนึ่งมีความยาวมากกว่า ย่อมได้เปรียบในเชิง ระยะ และ กำลัง กระบวนท่าของเรื่องยาวสามารถบรรยายถึงสิ่งต่างๆ ได้อย่างกว้างขวางไร้ขอบเขต ช่วยผลักดันเรื่องราวให้มีน้ำหนัก มีที่มาที่ไป แต่หากผู้ใช้ไม่ชำนาญ อาจกลายเป็นการจู่โจมเปะปะวุ่นวาย จนไม่อาจสำแดงอานุภาพ รวบรวม พันกระบี่หมื่นอักษร ให้หลอมรวมเข้าด้วยกัน ชักนำผู้คนติดตามประกายศาสตราไปจนถึงย่อหน้าสุดท้ายได้
ส่วนอาวุธที่สั้นกว่า ย่อมดีเด่นในเรื่องของความพลิกแพลงคล่องตัวในการใช้ออก กระบวนท่าของเรื่องสั้น จึงต้องทั้งเด็ดขาด ทั้งรวดเร็ว หลอกซ้ายจู่โจมขวา ล่อลวงผู้คนจนคาดไม่ถึง แต่หากไม่ประสบผล จะมีกระบวนท่าเช่นนี้ จะมีเรื่องราวเช่นนี้ถูกขีดเขียนขึ้นหรือไม่ ก็ไม่แตกต่างอันใด ย่อมหมายถึงการพ่ายแพ้อย่างไร้ความหมาย
หลวงจีนชราที่นั่งนิ่งมาตั้งแต่ต้นพลันลืมตา สองตานั้นสาดประกายเจิดจ้าพร้อมเอ่ยคำ “เวรกรรม...เวรกรรม” เสี่ยวเอ้อที่เดินออกมาจากทางด้านในก็ร้องบอกว่า “สุรา...มาแล้ว” ขึ้นพอดี
กิริยาอาการของหลวงจีนเมื่อครู่นับว่ามีความเด่นล้ำอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่จังหวะเวลาไม่เหมาะสม ทำให้กลายเป็นเรื่องน่าหัวร่อไปเสียได้
“สุรา เวรกรรม มาแล้ว เวรกรรม”
เมื่อผสานเข้าด้วยกัน สุรา คือ เวรกรรม ที่ มาแล้ว นับว่ากล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก นักบู๊ไร้นามจำต้องกลั้นหัวร่อเอาไว้อย่างสุดกำลัง ในขณะที่ผู้อื่นต่างทำท่าคล้ายไม่ได้ยินสิ่งใด โดยเฉพาะสารถีที่ราวกับว่าในโลกหิมะน้ำแข็งใบนี้มีมันอยู่เพียงเดียวดายเท่านั้น
เสี่ยวเอ้อใช้สองนิ้วคีบสุรากระปุกเล็กๆ พร้อมกับนิ้วมือที่ว่างอยู่หนีบจอกสุราอีกใบไว้อย่างชำนาญ มืออีกข้างถือเส้นหมี่เนื้อวัวชามใหญ่อย่างมั่นคง ควันร้อนกรุ่น กลิ่นหอมของน้ำแกงกระจายไปทั่ว อาหารชามโตที่มีรสเข้มข้น นับเป็นจุดเด่นของโรงเตี๊ยมประเภทนี้ มันวางชามกระเบื้องลงบนโต๊ะของนักบู๊ไร้นามอย่างไร้เสียง เนื้อย่างที่หั่นขนาดพอดีคำ สุกดิบกำลังดี วางเรียงอยู่บนเส้นบะหมี่สีเหลืองนวล เส้นหมี่ทำเองมีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ด้านบนสุดเป็นต้นหอมซอยสีขาว และเขียว โรยประดับอยู่บนชิ้นเนื้อ ทั้งเรียบง่าย แต่ก็งดงามไปพร้อมกัน
“หมี่เนื้อวัวของท่าน รีบรับทานตอนยังร้อน” มันกล่าวสั้นๆ ก่อนเดินจากไป คล้ายไม่เห็นนักบู๊ไร้นามอยู่ในสายตา
“สุราอุ่นระอุ ช่วยให้คลายเหน็บหนาวในอากาศเช่นนี้” เสี่ยวเอ้อรีบยิ้มประจบ พร้อมวางกระปุกสุราลงบนโต๊ะ แต่จอกสุรายังไม่ทันถูกวางลง สารถีก็คว้าเอากระปุกสุราไปจ่อใส่ปาก ดื่มลงไปก่อนแล้ว เสี่ยวเอ้อแม้ขมวดคิ้วเล้กน้อย แต่ยังคงยิ้มไม่หุบ สุดท้ายจึงได้แต่วางจอกสุราเปล่าลงบนโต๊ะ พร้อมกับจากไปเงียบๆ
“...เวรกรรม เวรกรรม” หลวงจีนชราพูดเช่นเดิมอีกครั้ง เมื่อเห็นผู้อื่นกลับมาให้ความสนใจแล้ว หลวงจีนจึงว่าต่อไป “ชนะแล้วเป็นเช่นไร แพ้แล้วเป็นไฉน ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง ใยต้องยึดติดด้วยเล่า” ยิ่งกล่าว สองตาของท่านก็ยิ่งเป็นประกายเจิดจ้ามากขึ้น “เราควรยืดถือในความดี แสดงซี่งวิถีแห่งธรรมไว้ในเพลงยุทธ ใช้เรื่องราวสอดแทรกในกระบวนท่า หล่อหลอมจิตใจ ไปเพื่อการหลุดพ้น”
“เฮอะ” ทั้งนักพรต และ ผู้หวังพ่าย ต่างส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน
จอกสุราใบใหม่ในมือของผู้หวังพ่ายพลันดีดพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ในเก้ากระบี่เดียวดายย่อมต้องมีกระบวนท่าทำลายอาวุธลับ หากคิดทำลายอาวุธลับ ก็จำต้องเข้าใจวิธีการใช้อาวุธลับเสียก่อน อันใดจึงเรียกว่าอาวุธลับ อาวุธลับย่อมต้องเป็นเรื่องราวที่เมื่อบอกเล่าไปในตอนแรกอาจไม่สะกิดความสนใจของผู้ใด แต่เมื่อทุกสิ่งถูกเปิดเผย ทุกผู้ก็ได้แต่นึกย้อนกลับไปอย่างคาดไม่ถึง
ผู้คนภายในโรงเตี๊ยมจึงล้มลงแล้ว ล้มลงถึงสามคนพร้อมๆ กัน
7.
ที่แท้ใต้เงาศาสตราคมกล้า แฝงเร้นในกระบวนท่าที่ถูกขีดเขียนขึ้น สมควรบรรจุไว้ด้วยเรื่องราวความหมายใด ใช่จำเป็นต้อง รักซึ้งโหยหา แค้นไม่อาจร่วมฟ้า ตื่นเต้นลี้ลับ บรรเจิดเพริดแพร้ว พลิกแพลงเกินคาดเดา หรือ ปล่อยวางว่างคลาย เช่นนั้นหรือไม่
หากเป็นเรื่องราวในชีวิตธรรมดาสามัญของผู้คนทั่วไปที่เพียงบอกเล่าออกมาอย่างสัตย์ซื่อ ใช่จะสามารถกลายเป็นสุดยอดกระบวนท่าหรือไม่
หากเป็นเรื่องราวดำมืด ใช้ท่วงท่าภาษาร้อนเร่ากระตุ้นตัณหาราคะให้ลุกโหมรุนแรงจนเกินจินตนาการ หรือดำดิ่งลึกลงไปสู่ด้านมืดภายใต้จิตใจผู้คน ใช่สมควรใช้ออกเป็นไม้ตายประการหนึ่งได้หรือไม่
เหตุใดจึงไม่ และเหตุใดจึงได้ เหตุใดจึงสมควร และเหตุใดจึงไม่
แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ประการหนึ่งย่อมต้องเป็นหลักการของ เหตุ และ ผล ซึ่งต้องแฝงอยู่ในทุกเรื่องราว เพื่อมิให้ท่ากระบี่เหล่านั้นเหลวไหลไร้สาระจนเกินไป
นักบู๊ไร้นามมองดูจอกสุราที่ถูกซัดขว้างออกจากมือของผู้หวังพ่าย มันมิได้แตกออกเป็นชิ้น แต่จอกทั้งใบจมลึกหายเข้าไปในผนังไม้ของโรงเตี๊ยมเบี่ยงเบนจากศีรษะของเสี่ยวเอ้อชราไปเพียงเล็กน้อย นักพรต หลวงจีน และแม้แต่ผู้หวังพ่ายเอง ตอนนี้ต่างพากันล้มลงบนพื้นจนหมดสิ้น
หลวงจีนชรากัดฟันลุกขึ้นนั่งพนมมือ “...พิษ...” แต่กล่าวออกมาได้เพียงแค่นั้นก็มีโลหิตสีแดงคล้ำไหลซึมออกจากมุมปากได้แต่นั่งนิ่ง ส่วนพวกที่เหลือแม้แต่คิดจะกระดิกปลายนิ้วก็ยังไม่อาจกระทำ ใบหน้าของทั้งสามตอนนี้เปลี่ยนกลายเป็นสีเขียวคล้ำ ด้วยระดับฝีมือของพวกเหล่านี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกแพร่พิษทำร้ายพร้อมกันได้
นับเป็นพิษที่ร้ายกาจ วิธีการแพร่พิษยิ่งร้ายกาจลี้ลับยิ่งกว่า
“พวกเจ้าย่อมคิดสงสัย ว่าที่แท้ถูกเราผู้เฒ่าแพร่พิษได้อย่างไร ใช่มีพิษไร้กลิ่น ไร้สี ไร้รส ปะปนอยู่ในสุราอาหาร หรืออาจเป็นส่วนประกอบธรรมดาที่จำต้องกินร่วมกันจึงกลายเป็นพิษขึ้นมาหรือไม่ ใช่ฉาบอยู่บนภาชนะ หรือสิ่งของต่างๆ ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ หรือแม้กระทั่งอาจกระจายแฝงไปพร้อมกับกลิ่นหอมของเส้นหมี่เนื้อวัวชามนั้น”
คำพูดของเสี่ยวเอ้อชราทำให้นักบู๊ไร้นามต้องรีบตรวจสอบว่าตนเองใช่ถูกพิษด้วยหรือไม่ แต่ร่างกายของมันก็ไม่มีอันใดผิดปกติ บางทีทั้งหมดที่กล่าวออกมา อาจไม่ใช่วิธีการแท้จริงที่ถูกใช้ในการแพร่พิษก็เป็นได้
“เหตุใดท่านจึงไม่ถูกพิษของเรา” คำถามของเสี่ยวเอ้อชราพุ่งเป้าไปที่สารถี ราวกับมิได้เห็นนักบู๊ไร้นามอยู่ในสายตา ในสถานที่แห่งนี้จะมีมันอยู่ด้วยหรือไม่คงไม่แตกต่างอันใด “หรือท่านทราบแต่แรกว่าเราแพร่พิษด้วยวิธีการเช่นใด”
สารถียังคงนั่งเหม่อมองออกไปเบื้องนอก “...เราย่อมไม่ทราบ” มันตอบเพียงแค่นั้น
เสี่ยวเอ้อแย้มยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่จะทำให้ท่านต้องขนหัวลุก “ถูกต้อง ท่านย่อมไม่ทราบ เพราะหากทราบ ท่านย่อมเป็นเช่นเดียวกับพวกยอดฝีมือเหล่านี้แล้ว”
หากคิดว่าตนเองไม่อาจถูกแพร่พิษ ท่านย่อมต้องถูกพิษ หากคิดว่าตนเองรู้วิธีในการแพร่พิษ ท่านย่อมต้องถูกพิษ มีเพียงผู้ที่คิดว่าตนเองอาจถูกพิษ และไม่รู้วิธีการแพร่พิษ จึงอาจรอดจากการถูกพิษไปได้ แต่ก็ใช่ว่าบุคคลเช่นนี้จะไม่มีวันถูกพิษ จะไม่มีจุดอ่อนให้จู่โจมได้
“แต่ว่า...ท่านไม่ได้ถูกพิษของเราจริงหรือ” สองตาของเสี่ยวเอ้อชราพลันหรี่เล็กลง รอยยิ้มกลับลึกซึ้งชั่วร้ายยิ่งขึ้น
เดียวดายใต้เงาจอ (เรื่องสั้น ตอนสั้นๆ หลายตอนจบ) 6, 7
ตอนที่ 3 http://ppantip.com/topic/34558097
ตอนที่ 4, 5 http://ppantip.com/topic/34585150
6.
การปะทะกันระหว่าง ตะเกียบ กับ จอกสุรา เมื่อครู่ คล้ายดั่งคำ ‘ยาวหนึ่งนิ้วเข้มแข็งหนึ่งส่วน สั้นหนึ่งนิ้วหวาดเสียวหนึ่งส่วน’ ที่ร่ำลือกันมานาน
สั้นยาวที่ว่า ย่อมหมายถึงศาสตราวุธที่ใช้ หนึ่งมีความยาวมากกว่า ย่อมได้เปรียบในเชิง ระยะ และ กำลัง กระบวนท่าของเรื่องยาวสามารถบรรยายถึงสิ่งต่างๆ ได้อย่างกว้างขวางไร้ขอบเขต ช่วยผลักดันเรื่องราวให้มีน้ำหนัก มีที่มาที่ไป แต่หากผู้ใช้ไม่ชำนาญ อาจกลายเป็นการจู่โจมเปะปะวุ่นวาย จนไม่อาจสำแดงอานุภาพ รวบรวม พันกระบี่หมื่นอักษร ให้หลอมรวมเข้าด้วยกัน ชักนำผู้คนติดตามประกายศาสตราไปจนถึงย่อหน้าสุดท้ายได้
ส่วนอาวุธที่สั้นกว่า ย่อมดีเด่นในเรื่องของความพลิกแพลงคล่องตัวในการใช้ออก กระบวนท่าของเรื่องสั้น จึงต้องทั้งเด็ดขาด ทั้งรวดเร็ว หลอกซ้ายจู่โจมขวา ล่อลวงผู้คนจนคาดไม่ถึง แต่หากไม่ประสบผล จะมีกระบวนท่าเช่นนี้ จะมีเรื่องราวเช่นนี้ถูกขีดเขียนขึ้นหรือไม่ ก็ไม่แตกต่างอันใด ย่อมหมายถึงการพ่ายแพ้อย่างไร้ความหมาย
หลวงจีนชราที่นั่งนิ่งมาตั้งแต่ต้นพลันลืมตา สองตานั้นสาดประกายเจิดจ้าพร้อมเอ่ยคำ “เวรกรรม...เวรกรรม” เสี่ยวเอ้อที่เดินออกมาจากทางด้านในก็ร้องบอกว่า “สุรา...มาแล้ว” ขึ้นพอดี
กิริยาอาการของหลวงจีนเมื่อครู่นับว่ามีความเด่นล้ำอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่จังหวะเวลาไม่เหมาะสม ทำให้กลายเป็นเรื่องน่าหัวร่อไปเสียได้
“สุรา เวรกรรม มาแล้ว เวรกรรม”
เมื่อผสานเข้าด้วยกัน สุรา คือ เวรกรรม ที่ มาแล้ว นับว่ากล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก นักบู๊ไร้นามจำต้องกลั้นหัวร่อเอาไว้อย่างสุดกำลัง ในขณะที่ผู้อื่นต่างทำท่าคล้ายไม่ได้ยินสิ่งใด โดยเฉพาะสารถีที่ราวกับว่าในโลกหิมะน้ำแข็งใบนี้มีมันอยู่เพียงเดียวดายเท่านั้น
เสี่ยวเอ้อใช้สองนิ้วคีบสุรากระปุกเล็กๆ พร้อมกับนิ้วมือที่ว่างอยู่หนีบจอกสุราอีกใบไว้อย่างชำนาญ มืออีกข้างถือเส้นหมี่เนื้อวัวชามใหญ่อย่างมั่นคง ควันร้อนกรุ่น กลิ่นหอมของน้ำแกงกระจายไปทั่ว อาหารชามโตที่มีรสเข้มข้น นับเป็นจุดเด่นของโรงเตี๊ยมประเภทนี้ มันวางชามกระเบื้องลงบนโต๊ะของนักบู๊ไร้นามอย่างไร้เสียง เนื้อย่างที่หั่นขนาดพอดีคำ สุกดิบกำลังดี วางเรียงอยู่บนเส้นบะหมี่สีเหลืองนวล เส้นหมี่ทำเองมีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ด้านบนสุดเป็นต้นหอมซอยสีขาว และเขียว โรยประดับอยู่บนชิ้นเนื้อ ทั้งเรียบง่าย แต่ก็งดงามไปพร้อมกัน
“หมี่เนื้อวัวของท่าน รีบรับทานตอนยังร้อน” มันกล่าวสั้นๆ ก่อนเดินจากไป คล้ายไม่เห็นนักบู๊ไร้นามอยู่ในสายตา
“สุราอุ่นระอุ ช่วยให้คลายเหน็บหนาวในอากาศเช่นนี้” เสี่ยวเอ้อรีบยิ้มประจบ พร้อมวางกระปุกสุราลงบนโต๊ะ แต่จอกสุรายังไม่ทันถูกวางลง สารถีก็คว้าเอากระปุกสุราไปจ่อใส่ปาก ดื่มลงไปก่อนแล้ว เสี่ยวเอ้อแม้ขมวดคิ้วเล้กน้อย แต่ยังคงยิ้มไม่หุบ สุดท้ายจึงได้แต่วางจอกสุราเปล่าลงบนโต๊ะ พร้อมกับจากไปเงียบๆ
“...เวรกรรม เวรกรรม” หลวงจีนชราพูดเช่นเดิมอีกครั้ง เมื่อเห็นผู้อื่นกลับมาให้ความสนใจแล้ว หลวงจีนจึงว่าต่อไป “ชนะแล้วเป็นเช่นไร แพ้แล้วเป็นไฉน ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง ใยต้องยึดติดด้วยเล่า” ยิ่งกล่าว สองตาของท่านก็ยิ่งเป็นประกายเจิดจ้ามากขึ้น “เราควรยืดถือในความดี แสดงซี่งวิถีแห่งธรรมไว้ในเพลงยุทธ ใช้เรื่องราวสอดแทรกในกระบวนท่า หล่อหลอมจิตใจ ไปเพื่อการหลุดพ้น”
“เฮอะ” ทั้งนักพรต และ ผู้หวังพ่าย ต่างส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน
จอกสุราใบใหม่ในมือของผู้หวังพ่ายพลันดีดพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ในเก้ากระบี่เดียวดายย่อมต้องมีกระบวนท่าทำลายอาวุธลับ หากคิดทำลายอาวุธลับ ก็จำต้องเข้าใจวิธีการใช้อาวุธลับเสียก่อน อันใดจึงเรียกว่าอาวุธลับ อาวุธลับย่อมต้องเป็นเรื่องราวที่เมื่อบอกเล่าไปในตอนแรกอาจไม่สะกิดความสนใจของผู้ใด แต่เมื่อทุกสิ่งถูกเปิดเผย ทุกผู้ก็ได้แต่นึกย้อนกลับไปอย่างคาดไม่ถึง
ผู้คนภายในโรงเตี๊ยมจึงล้มลงแล้ว ล้มลงถึงสามคนพร้อมๆ กัน
7.
ที่แท้ใต้เงาศาสตราคมกล้า แฝงเร้นในกระบวนท่าที่ถูกขีดเขียนขึ้น สมควรบรรจุไว้ด้วยเรื่องราวความหมายใด ใช่จำเป็นต้อง รักซึ้งโหยหา แค้นไม่อาจร่วมฟ้า ตื่นเต้นลี้ลับ บรรเจิดเพริดแพร้ว พลิกแพลงเกินคาดเดา หรือ ปล่อยวางว่างคลาย เช่นนั้นหรือไม่
หากเป็นเรื่องราวในชีวิตธรรมดาสามัญของผู้คนทั่วไปที่เพียงบอกเล่าออกมาอย่างสัตย์ซื่อ ใช่จะสามารถกลายเป็นสุดยอดกระบวนท่าหรือไม่
หากเป็นเรื่องราวดำมืด ใช้ท่วงท่าภาษาร้อนเร่ากระตุ้นตัณหาราคะให้ลุกโหมรุนแรงจนเกินจินตนาการ หรือดำดิ่งลึกลงไปสู่ด้านมืดภายใต้จิตใจผู้คน ใช่สมควรใช้ออกเป็นไม้ตายประการหนึ่งได้หรือไม่
เหตุใดจึงไม่ และเหตุใดจึงได้ เหตุใดจึงสมควร และเหตุใดจึงไม่
แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ประการหนึ่งย่อมต้องเป็นหลักการของ เหตุ และ ผล ซึ่งต้องแฝงอยู่ในทุกเรื่องราว เพื่อมิให้ท่ากระบี่เหล่านั้นเหลวไหลไร้สาระจนเกินไป
นักบู๊ไร้นามมองดูจอกสุราที่ถูกซัดขว้างออกจากมือของผู้หวังพ่าย มันมิได้แตกออกเป็นชิ้น แต่จอกทั้งใบจมลึกหายเข้าไปในผนังไม้ของโรงเตี๊ยมเบี่ยงเบนจากศีรษะของเสี่ยวเอ้อชราไปเพียงเล็กน้อย นักพรต หลวงจีน และแม้แต่ผู้หวังพ่ายเอง ตอนนี้ต่างพากันล้มลงบนพื้นจนหมดสิ้น
หลวงจีนชรากัดฟันลุกขึ้นนั่งพนมมือ “...พิษ...” แต่กล่าวออกมาได้เพียงแค่นั้นก็มีโลหิตสีแดงคล้ำไหลซึมออกจากมุมปากได้แต่นั่งนิ่ง ส่วนพวกที่เหลือแม้แต่คิดจะกระดิกปลายนิ้วก็ยังไม่อาจกระทำ ใบหน้าของทั้งสามตอนนี้เปลี่ยนกลายเป็นสีเขียวคล้ำ ด้วยระดับฝีมือของพวกเหล่านี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกแพร่พิษทำร้ายพร้อมกันได้
นับเป็นพิษที่ร้ายกาจ วิธีการแพร่พิษยิ่งร้ายกาจลี้ลับยิ่งกว่า
“พวกเจ้าย่อมคิดสงสัย ว่าที่แท้ถูกเราผู้เฒ่าแพร่พิษได้อย่างไร ใช่มีพิษไร้กลิ่น ไร้สี ไร้รส ปะปนอยู่ในสุราอาหาร หรืออาจเป็นส่วนประกอบธรรมดาที่จำต้องกินร่วมกันจึงกลายเป็นพิษขึ้นมาหรือไม่ ใช่ฉาบอยู่บนภาชนะ หรือสิ่งของต่างๆ ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ หรือแม้กระทั่งอาจกระจายแฝงไปพร้อมกับกลิ่นหอมของเส้นหมี่เนื้อวัวชามนั้น”
คำพูดของเสี่ยวเอ้อชราทำให้นักบู๊ไร้นามต้องรีบตรวจสอบว่าตนเองใช่ถูกพิษด้วยหรือไม่ แต่ร่างกายของมันก็ไม่มีอันใดผิดปกติ บางทีทั้งหมดที่กล่าวออกมา อาจไม่ใช่วิธีการแท้จริงที่ถูกใช้ในการแพร่พิษก็เป็นได้
“เหตุใดท่านจึงไม่ถูกพิษของเรา” คำถามของเสี่ยวเอ้อชราพุ่งเป้าไปที่สารถี ราวกับมิได้เห็นนักบู๊ไร้นามอยู่ในสายตา ในสถานที่แห่งนี้จะมีมันอยู่ด้วยหรือไม่คงไม่แตกต่างอันใด “หรือท่านทราบแต่แรกว่าเราแพร่พิษด้วยวิธีการเช่นใด”
สารถียังคงนั่งเหม่อมองออกไปเบื้องนอก “...เราย่อมไม่ทราบ” มันตอบเพียงแค่นั้น
เสี่ยวเอ้อแย้มยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่จะทำให้ท่านต้องขนหัวลุก “ถูกต้อง ท่านย่อมไม่ทราบ เพราะหากทราบ ท่านย่อมเป็นเช่นเดียวกับพวกยอดฝีมือเหล่านี้แล้ว”
หากคิดว่าตนเองไม่อาจถูกแพร่พิษ ท่านย่อมต้องถูกพิษ หากคิดว่าตนเองรู้วิธีในการแพร่พิษ ท่านย่อมต้องถูกพิษ มีเพียงผู้ที่คิดว่าตนเองอาจถูกพิษ และไม่รู้วิธีการแพร่พิษ จึงอาจรอดจากการถูกพิษไปได้ แต่ก็ใช่ว่าบุคคลเช่นนี้จะไม่มีวันถูกพิษ จะไม่มีจุดอ่อนให้จู่โจมได้
“แต่ว่า...ท่านไม่ได้ถูกพิษของเราจริงหรือ” สองตาของเสี่ยวเอ้อชราพลันหรี่เล็กลง รอยยิ้มกลับลึกซึ้งชั่วร้ายยิ่งขึ้น