ตอนแรกยอมรับว่า ผมไม่ได้มีความรู้สึกอยากดูหนังเรื่องนี้เท่าไหร่ แม้ว่าหนังจะมีกระแสที่ดีในเรื่องการแสดงบทที่ท้าทายของ Eddie Redmayne ก็ตาม แต่พอมีโอกาสได้ดูตัวอย่างหนังแล้ว กลับรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้น่าสนใจ และน่าจะมีอะไรมากกว่าแค่การแสดงของ Eddie จึงทำให้ผมอยากดูหนังเรื่องนี้มากขึ้น
และเมื่อพอดูจบ มันก็เป็นตามที่ผมคาดคิดจริงๆ หนังเรื่องนี้มีดีกว่าแค่พาร์ทการแสดงของ Eddie แน่นอน และผมก็ชอบหนังเรื่องนี้มากเลยทีเดียว
นี่คือผลงานกำกับของ Tom Hooper ซึ่งผมเคยดูแค่ผลงานช่วงหลังของเค้า 2 เรื่อง คือ Les Miserables และ The King's Speech ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกชื่นชอบผู้กำกับท่านนี้เป็นพิเศษแต่อย่างใด แต่ผมรู้สึกว่า แกเก่งในการกำกับการสื่ออารมณ์ที่ซับซ้อนของตัวละคร
พร็อตเรื่องที่แสนธรรมดามากๆของหนังเรื่องนี้ หากเข้าไม่ถึงอารมณ์ของ 2 ตัวละครหลัก ผมว่าจะรู้สึกน่าเบื่อทันที แต่สำหรับตัวผมเอง ผมชอบในการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของ Einar Wegener กับ Gerda Wegener มากๆ มันเล่าได้ถึงอารมณ์และมีมุมที่ผมประทับใจอยู่เยอะมากๆ
การแสดงของ Eddie Redmayne คือสิ่งที่น่าจับตาของหนังเรื่องนี้ และเค้าก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด เค้าเป็น Einar และ Lily ได้อย่างกลมกลืน เรารู้สึกว่าด้านในของเค้าคือผู้หญิงจริงๆ หากเราเข้าข้าง Eddie นิดนึง ก็คือว่า Eddie มีหน้าตาที่หวาน ซึ่งได้เปรียบในการแสดงเป็นตัวละครนี้ แต่นั่นน่าจะเป็นการไม่ให้เกียรติแก่ Eddie เอามากๆ เพราะผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ Eddie สื่อสารออกมาได้จริงขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะหน้าตา แต่น่าจะมาจากข้างในของเค้า ผมว่าเค้าเชื่อว่าเค้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ทุกการขยับตัว การพูด สีหน้า มันทำให้เราเชื่อไปหมด โดยเฉพาะแววตาคือสิ่งที่ตอบทุกอย่างในการแสดงของ Eddie
แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจสุดๆ มากกว่าการแสดงของ Eddie อีก ก็คือการแสดงของ Alicia Vikander ซึ่งตอนต้นเรื่องผมยังเฉยๆกับการแสดงของเธอ แต่พอมาถึงกลางเรื่องไปจนจบ เธอปล่อยพลังแบบสุดๆ ทุกซีนอารมณ์ เธอเอาอยู่ทั้งหมด มันยากนะที่จะคุมพัฒนาการของตัวละครให้เราเชื่อตั้งแต่ต้นจนจบ เธอทำได้ดีมากจริงๆ และแน่นอนว่าปีนี้ผมก็เชียร์เธอให้ได้รางวัล Best Supporting Actress ในเวที Oscar (ผมมีความรู้สึกคล้ายๆกับที่ได้ดูการแสดงของ Felicity Jones ในบทบาท Jane Hawking ในปีที่แล้วเลย)
หากจะมีตินิดหนึ่งในหนังเรื่องนี้ ก็คือการดำเนินเรื่อง ซึ่งผมมีความรู้สึกว่าน่าเบื่อในบางช่วง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่กับหนังมากมายนัก
จะเป็นอย่างไรหากวันนึง คนที่เรารัก เค้าเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม และจะเป็นอย่างไร หากตัวเราเองที่กำลังจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
เมื่อวันที่เราเลือกเดินเคียงคู่กับใครซักคน เราเชื่อว่าความรู้สึกตอนนั้นมันยิ่งใหญ่มาก เราเชื่อว่าตอนนั้น เราพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป ไม่ว่าจะเจอช่วงเวลาที่ยากลำบากแค่ไหน เราก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างกัน พร้อมที่จะผ่านอุปสรรคไปด้วยกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงก็ต้องคืบคลานเข้ามา แล้วเราจะต้องรับมือมันอย่างไร
Gerda พบว่าสามีของเธอไม่ได้เป็นคนในแบบที่เธอคิดอีกแล้ว ทั้งสองไม่ได้มีปัญหาทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน แต่มันเกิดจาก Einar กำลังจะเผยตัวตนที่แท้จริงของเค้าออกมาให้เห็น แล้วพวกเค้าจะเดินทางต่อไปอย่างไร ในเมื่อคนที่ Gerda อยากจะอยู่ด้วย คือ Einar ไม่ใช่ Lily
หนังเล่าให้เห็นถึงความพยายามของทั้งคู่ ที่พยายามจะประคับประคองความสัมพันธ์ให้ดำเนินต่อไปอย่างปกติ แต่มันก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมันเป็นการฝืนธรรมชาติ เราไม่อาจฝืนสิ่งที่เป็นธรรมชาติความจริงได้ เราอาจจะเก็บจะปิดมันได้บางช่วงขณะ แต่ไม่ใช่ตลอดไป สุดท้าย Einar ก็ต้องเลือกเดินทางไปตามสิ่งที่เป็นตัวเองจริงๆ
ผมชอบฉากที่ Einar ทะเลาะกับ Gerda โดย Gerda บอกว่าเค้าอยากอยู่กับ Einar ไม่ใช่ Lily แต่ Einar ก็ยืนยันว่าเค้าคือ Lily จนทำให้ Gerda ต้องหนีออกจากห้องไป แล้วไปหา Hans ที่ดูเหมือนจะชอบ Gerda เช่นกัน ทั้งกำลังจะจูบกัน แต่สุดท้าย Gerda ก็ทำแบบนั้นไม่ได้ แม้ Gerda จะเสียใจผิดหวังแค่ไหน แต่เค้าก็ไม่สามารถไปหาคนอื่นได้ และฉากต่อเนื่องที่เค้ากลับมาที่ห้อง เราเห็น Einar ดึงขนตาออก และแต่งตัวเป็นผู้ชาย เค้าทำแบบนี้ทั้งน้ำตา ฉากนี้มันประทับใจผมมากๆ เราเห็นถึงความพยายามของทั้งคู่ เรารู้สึกว่าทั้งคู่แคร์กันมากๆ แม้สิ่งที่ทำ มันอาจจะไม่ใช่ทางออกแท้จริง แต่มันก็คือการแสดงออกที่ทำให้เรารับรู้ความรู้สึกของทั้งคู่ที่มีต่อกัน
ผมชอบตัวละครอย่าง Gerda Weneger มากๆ เธอทำให้เห็นการมองข้ามสิ่งภายนอกไปได้ แม้ว่าสิ่งที่เธอจะต้องเจอ มันเป็นสิ่งที่ยากลำบากมากๆที่จะก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้ แต่เธอก็ยังยืนหยัดทำในสิ่งที่เธอยังรู้สึกแบบนั้นอยู่ เธอไม่ทิ้ง Einar ไปไหน เธออยู่เคียงข้าง Einar จนวาระสุดท้ายของชีวิต เธอคือผู้หญิงที่ผมยกย่องนับถือมากๆ
ฉากที่ทำให้ผมเสียน้ำตาอย่างหนัก คือ ฉากที่ Gerda มาหา Einar หลังการผ่าตัดครั้งแรก พอเธอมาถึงที่ห้อง เธอรีบโผเข้ามาหา Einar ที่นอนอยู่บนเตียง ผมรู้สึกประทับใจมากๆ แม้เค้าทั้ง 2 จะไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว แต่ผมรู้สึกว่าบางสิ่งที่สำคัญมันยังคงอยู่ และมันยังสวยงามอยู่ตรงนั้นเสมอ เค้ายังมีกันและกันอยู่ตลอดเวลา
ผมชอบฉากสุดท้ายของ Einar และ Gerda มาก ในฉากที่ Einar นอนอยู่บนรถเข็นและมี Gerda อยู่เคียงข้าง ผมรู้สึกว่า แม้ตอนนี้ร่างกาย Einar จะเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ผมกลับยังรู้สึกว่าตอนนี้ ทั้ง 2 คือ Einar และ Gerda คนเดิม เรารับรู้ผ่านทางสายตาที่ทั้ง 2 ส่งถึงกัน ผ่านสัมผัสของมือของทั้ง 2 ที่กุมกันไว้ แหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายของ Gerda ก็อยู่คงสวมอยู่บนนิ้วมือที่เกาะกุมกันไว้อย่างมั่นคง
แม้ตอนจบ ผ้าพันคอผืนนั้นจะปลิวไปกับสายลมแล้ว เราอาจจะปล่อยบางอย่างที่รัดไว้ให้ลอยล่องไปได้ ไม่ไปยึดรั้งมันเอาไว้อีกแล้ว ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้าได้ แต่ผมเชื่อว่า บางสิ่งที่สำคัญจะยังคงอยู่ตลอดไป
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
The Danish Girl - แม้บางอย่างจะเปลี่ยนแปลง แต่บางสิ่งที่สำคัญจะยังคงอยู่ตลอดไป (Spoil)
และเมื่อพอดูจบ มันก็เป็นตามที่ผมคาดคิดจริงๆ หนังเรื่องนี้มีดีกว่าแค่พาร์ทการแสดงของ Eddie แน่นอน และผมก็ชอบหนังเรื่องนี้มากเลยทีเดียว
นี่คือผลงานกำกับของ Tom Hooper ซึ่งผมเคยดูแค่ผลงานช่วงหลังของเค้า 2 เรื่อง คือ Les Miserables และ The King's Speech ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกชื่นชอบผู้กำกับท่านนี้เป็นพิเศษแต่อย่างใด แต่ผมรู้สึกว่า แกเก่งในการกำกับการสื่ออารมณ์ที่ซับซ้อนของตัวละคร
พร็อตเรื่องที่แสนธรรมดามากๆของหนังเรื่องนี้ หากเข้าไม่ถึงอารมณ์ของ 2 ตัวละครหลัก ผมว่าจะรู้สึกน่าเบื่อทันที แต่สำหรับตัวผมเอง ผมชอบในการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของ Einar Wegener กับ Gerda Wegener มากๆ มันเล่าได้ถึงอารมณ์และมีมุมที่ผมประทับใจอยู่เยอะมากๆ
การแสดงของ Eddie Redmayne คือสิ่งที่น่าจับตาของหนังเรื่องนี้ และเค้าก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด เค้าเป็น Einar และ Lily ได้อย่างกลมกลืน เรารู้สึกว่าด้านในของเค้าคือผู้หญิงจริงๆ หากเราเข้าข้าง Eddie นิดนึง ก็คือว่า Eddie มีหน้าตาที่หวาน ซึ่งได้เปรียบในการแสดงเป็นตัวละครนี้ แต่นั่นน่าจะเป็นการไม่ให้เกียรติแก่ Eddie เอามากๆ เพราะผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ Eddie สื่อสารออกมาได้จริงขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะหน้าตา แต่น่าจะมาจากข้างในของเค้า ผมว่าเค้าเชื่อว่าเค้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ทุกการขยับตัว การพูด สีหน้า มันทำให้เราเชื่อไปหมด โดยเฉพาะแววตาคือสิ่งที่ตอบทุกอย่างในการแสดงของ Eddie
แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจสุดๆ มากกว่าการแสดงของ Eddie อีก ก็คือการแสดงของ Alicia Vikander ซึ่งตอนต้นเรื่องผมยังเฉยๆกับการแสดงของเธอ แต่พอมาถึงกลางเรื่องไปจนจบ เธอปล่อยพลังแบบสุดๆ ทุกซีนอารมณ์ เธอเอาอยู่ทั้งหมด มันยากนะที่จะคุมพัฒนาการของตัวละครให้เราเชื่อตั้งแต่ต้นจนจบ เธอทำได้ดีมากจริงๆ และแน่นอนว่าปีนี้ผมก็เชียร์เธอให้ได้รางวัล Best Supporting Actress ในเวที Oscar (ผมมีความรู้สึกคล้ายๆกับที่ได้ดูการแสดงของ Felicity Jones ในบทบาท Jane Hawking ในปีที่แล้วเลย)
หากจะมีตินิดหนึ่งในหนังเรื่องนี้ ก็คือการดำเนินเรื่อง ซึ่งผมมีความรู้สึกว่าน่าเบื่อในบางช่วง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่กับหนังมากมายนัก
จะเป็นอย่างไรหากวันนึง คนที่เรารัก เค้าเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม และจะเป็นอย่างไร หากตัวเราเองที่กำลังจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
เมื่อวันที่เราเลือกเดินเคียงคู่กับใครซักคน เราเชื่อว่าความรู้สึกตอนนั้นมันยิ่งใหญ่มาก เราเชื่อว่าตอนนั้น เราพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป ไม่ว่าจะเจอช่วงเวลาที่ยากลำบากแค่ไหน เราก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างกัน พร้อมที่จะผ่านอุปสรรคไปด้วยกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงก็ต้องคืบคลานเข้ามา แล้วเราจะต้องรับมือมันอย่างไร
Gerda พบว่าสามีของเธอไม่ได้เป็นคนในแบบที่เธอคิดอีกแล้ว ทั้งสองไม่ได้มีปัญหาทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน แต่มันเกิดจาก Einar กำลังจะเผยตัวตนที่แท้จริงของเค้าออกมาให้เห็น แล้วพวกเค้าจะเดินทางต่อไปอย่างไร ในเมื่อคนที่ Gerda อยากจะอยู่ด้วย คือ Einar ไม่ใช่ Lily
หนังเล่าให้เห็นถึงความพยายามของทั้งคู่ ที่พยายามจะประคับประคองความสัมพันธ์ให้ดำเนินต่อไปอย่างปกติ แต่มันก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมันเป็นการฝืนธรรมชาติ เราไม่อาจฝืนสิ่งที่เป็นธรรมชาติความจริงได้ เราอาจจะเก็บจะปิดมันได้บางช่วงขณะ แต่ไม่ใช่ตลอดไป สุดท้าย Einar ก็ต้องเลือกเดินทางไปตามสิ่งที่เป็นตัวเองจริงๆ
ผมชอบฉากที่ Einar ทะเลาะกับ Gerda โดย Gerda บอกว่าเค้าอยากอยู่กับ Einar ไม่ใช่ Lily แต่ Einar ก็ยืนยันว่าเค้าคือ Lily จนทำให้ Gerda ต้องหนีออกจากห้องไป แล้วไปหา Hans ที่ดูเหมือนจะชอบ Gerda เช่นกัน ทั้งกำลังจะจูบกัน แต่สุดท้าย Gerda ก็ทำแบบนั้นไม่ได้ แม้ Gerda จะเสียใจผิดหวังแค่ไหน แต่เค้าก็ไม่สามารถไปหาคนอื่นได้ และฉากต่อเนื่องที่เค้ากลับมาที่ห้อง เราเห็น Einar ดึงขนตาออก และแต่งตัวเป็นผู้ชาย เค้าทำแบบนี้ทั้งน้ำตา ฉากนี้มันประทับใจผมมากๆ เราเห็นถึงความพยายามของทั้งคู่ เรารู้สึกว่าทั้งคู่แคร์กันมากๆ แม้สิ่งที่ทำ มันอาจจะไม่ใช่ทางออกแท้จริง แต่มันก็คือการแสดงออกที่ทำให้เรารับรู้ความรู้สึกของทั้งคู่ที่มีต่อกัน
ผมชอบตัวละครอย่าง Gerda Weneger มากๆ เธอทำให้เห็นการมองข้ามสิ่งภายนอกไปได้ แม้ว่าสิ่งที่เธอจะต้องเจอ มันเป็นสิ่งที่ยากลำบากมากๆที่จะก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้ แต่เธอก็ยังยืนหยัดทำในสิ่งที่เธอยังรู้สึกแบบนั้นอยู่ เธอไม่ทิ้ง Einar ไปไหน เธออยู่เคียงข้าง Einar จนวาระสุดท้ายของชีวิต เธอคือผู้หญิงที่ผมยกย่องนับถือมากๆ
ฉากที่ทำให้ผมเสียน้ำตาอย่างหนัก คือ ฉากที่ Gerda มาหา Einar หลังการผ่าตัดครั้งแรก พอเธอมาถึงที่ห้อง เธอรีบโผเข้ามาหา Einar ที่นอนอยู่บนเตียง ผมรู้สึกประทับใจมากๆ แม้เค้าทั้ง 2 จะไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว แต่ผมรู้สึกว่าบางสิ่งที่สำคัญมันยังคงอยู่ และมันยังสวยงามอยู่ตรงนั้นเสมอ เค้ายังมีกันและกันอยู่ตลอดเวลา
ผมชอบฉากสุดท้ายของ Einar และ Gerda มาก ในฉากที่ Einar นอนอยู่บนรถเข็นและมี Gerda อยู่เคียงข้าง ผมรู้สึกว่า แม้ตอนนี้ร่างกาย Einar จะเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ผมกลับยังรู้สึกว่าตอนนี้ ทั้ง 2 คือ Einar และ Gerda คนเดิม เรารับรู้ผ่านทางสายตาที่ทั้ง 2 ส่งถึงกัน ผ่านสัมผัสของมือของทั้ง 2 ที่กุมกันไว้ แหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายของ Gerda ก็อยู่คงสวมอยู่บนนิ้วมือที่เกาะกุมกันไว้อย่างมั่นคง
แม้ตอนจบ ผ้าพันคอผืนนั้นจะปลิวไปกับสายลมแล้ว เราอาจจะปล่อยบางอย่างที่รัดไว้ให้ลอยล่องไปได้ ไม่ไปยึดรั้งมันเอาไว้อีกแล้ว ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้าได้ แต่ผมเชื่อว่า บางสิ่งที่สำคัญจะยังคงอยู่ตลอดไป
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/