ชื่อหนัง : The Danish Girl
ปีที่เข้าฉาย : 2016
เข้าฉายที่ไทยวันแรก : 4 กุมภาพันธ์ 2016
ประเภท : ชีวประวัติ / ดราม่า / โรแมนซ์
เวลารวม : 1 ชม. 59 นาที
ผู้กำกับ: Tom Hooper
นักแสดงนำ : Alicia Vikander, Amber Heard, Ben Whishaw, Eddie Redmayne, Matthias Schoenaerts
สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปทุกท่านครับ วันนี้วันพฤหัสบดี เรามีนัดกัน รีวิวหนังใหม่กับผม EndCreditMan วันนี้ ผมตัดสินใจระหว่าง The Revenant
และ The Danish Girl และแล้ว ผมก็ละวางป๋าลีโอไว้ข้างๆใจ และเข้าไปสัมผัสกับอีกหนึ่งความมาสเตอร์พีช ของ Eddie Redmayne อีกครั้ง
เพื่อไม่ให้เสียเวลา มาอ่านรีวิวไปพร้อมๆกันดีกว่าครับ...
สายลมแผ่วพริ้วริ้วผ่านใบหญ้าชะล้างรอยน้ำตาแห่งความโศกาอาดูรสังเวชใจ...
ลมทะเลพัดสะบัดไกลกระแดะระตัวไหวไปกับหญ้าลู่เป็นแนวเดียวกับกออันเขียวชอุ่มของละอองน้ำค้าง...
ชีวิตคนเรา เป็นมายาคติ บนผืนผ้าใบของโลก ที่ถูกแต่งแต้มด้วยจิตรกรฝีมือดี นิรนาม... กระนั้นหรือ?
The Danish Girl เปิดโอกาสให้เราได้รู้จักกับ ไอนาร์ เวเกเนอร์ ศิลปินหนุ่มชาวเดนมาร์กที่ครอง รักอยู่กับ ภรรยาสาว เกอร์ด้า เวเกเนอร์
วิถีชีวิตแห่งความเป็นศิลปินของทั้งคู่ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ที่จะเกิดขึ้นในปมปัญหาหลักๆของเรื่องได้แต่ต้น
เนื่องจากเรื่องนี้มีเส้นเรื่องในการบอกเล่าตัวละครแบ่งออกได้ถึง 4 เส้นเรื่อง ผมจึงขอแยกอธิบายแต่ละเส้นเรื่อง ดังนี้
เส้นเรื่องที่ 1 : ปกติสุข...
เส้นเรื่องที่หนังว่าด้วยความปกติสุขในชีวิตอันโสภาของ จิตรกรสองสามีภรรยา ไอนาร์ และ เกอร์ด้า กับหมาตัวน้อยนามว่า แวป
ในเส้นเรื่องนี้ องค์ประกอบความโดดเด่นคงเป็นไปทาง กามารมณ์อันปกติสุข ของคนทั้งสอง และการเป็นที่ปรึกษาแก่กันยามมีปัญหา
ผู้กำกับเลือกใช้ SEX ในการนำเสนอ เหตุเพราะมันเป็นธรรมชาติอันบ่งบอกเพศสภาพได้ดีที่สุด ในหนังที่สร้างปรากฏการณ์สตรีข้ามเพศแบบนี้
แต่สิ่งที่เราจะได้รับรู้ข้อมูลจาก เส้นเรื่องนี้ คือ การสนองความใคร่ของคนทั้งสอง ที่ดูเหมือนกับว่าปูทางไปสู่เส้นเรื่องที่สองไว้เสมอ
ทุกการกระทำ คำพูด การมอง สายตา ไอนาร์(Eddie Redmayne) สื่อเป็นภาษาทางร่างกายออกมาให้เราได้เห็นอยู่เสมอ ซึ่งการตัดภาพในเส้นเรื่องนี้
เป็นไปในทางสรุปความ และบอกเล่าเนื้อหาที่จำเป็น โดยไม่มี Detail อื่นใดมากไปกว่าการปูประวัติคร่าวๆให้เราได้ทราบ เนื่องจาก ความสำคัญของเรื่องราวจะไปแสดงได้อย่างชัดเจนที่สุดในลำดับต่อไป
เส้นเรื่องที่ 2 : ปลุกจากหลับใหล
ในเส้นเรื่องนี้เราจะได้พบจุดเปลี่ยนสำคัญของ ความเป็น ลิลี่ ในตัวของไอนาร์ มากขึ้น และแน่นอนการสังเกตแต่ไม่สงสัยและไม่อยากรู้เหตุผล
ของ เกอร์ด้า ยิ่งปลุกให้หญิงสาวที่เติบโตสวยงามอยู่ภายในกายของสามีเธอ ได้เบ่งบาน และมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ
จนเมื่อจุดพลิกผันสำคัญ 2 จุด มาถึง ลิลี่ได้โบยบินออกมาจากตัวตนของไอนาร์ และปรากฏชัดอย่างสง่างาม ในงานเลี้ยงออกหน้าออกตาคืนหนึ่ง
การตามใจของ เกอร์ด้า ก็ได้ส่งผล โทนของหนังมีความมืดหม่นทางอารมณ์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อารมณ์ของไอนาร์ จะส่งมาอย่างมีพลังไม่ได้เลย หากไร้ซึ่งคนคอยรับและส่งกลับที่ค่าพลังมากเท่าๆกันอย่าง เกอร์ด้า (Alicia Vikander) ในเส้นเรื่องนี้ เธอมีบทบาทอย่างมาก ที่ช่วยให้เราได้ทำความเข้าใจกับสัมพันธ์อันอธิบายได้ยากของทั้งสองยิ่งขึ้น และ ไอนาร์ ก็ได้อธิบายให้เราเข้าใจสถาพจิตของตัวละคร ลิลี่ ได้เปนอย่างดีว่ามีพัฒนาการขึ้นมาถึงระดับใด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความงดงามอย่างนึง ที่ผมสัมผัสได้จากคนทั้งสอง คือ ความรักถ้าหากมากพอ มันจะหาทางเยียวยาตัวเองอยู่เสมอ...
เส้นเรื่องที่ 3 : พลัดพราก
ในเส้นเรื่องนี้ เราจะเห็นความยุ่งเหยิงในชีวิต ที่เกิดขึ้นพร้อมกับโอกาสที่จะเริ่มใหม่ ของครอยครัว เวเกเนอร์...
หากแต่ปัญหาไม่ได้อยู่เพียง สถาพแวดล้อมเสียแล้ว ไม่ได้อยู่ที่พฤติกรรมทางเพศอีกต่อไป หากแต่มันอยู่ที่ จิตใจของ ไอนาร์ เอง
ในเส้นเรื่องนี้ หนังพาเราไปพบกับตัวละครอีกตัวหนึ่ง คือ ฮานส์ เพื่อนสมัยเด็กของ ไอนาร์ที่ครั้งหนึ่งเคยได้พบกับ ลิลี่ ที่อาศัยอยู่ภายในใจสามีเธอ
ฮานส์ ไม่ได้เพียงเข้ามาในลักษณะ ฉาบฉวยแต่จะ มีบทให้เล่นไปตลอดเส้นเรื่องนี้จนถึงเส้นเรื่องสุดท้ายเลยทีเดียว เป็นทั้งคนปลอบประโลม เพื่อน และผู้ปรารถนาดี แม้ในตอนนี้จะเน้นไปที่การเยียวยา "ลิลี่" แต่ตัวบทยังช่วยให้เราเข้าใจสภาวะอารมณ์ของ "เกอร์ด้า" ไปพร้อมๆกันอีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นจุดแข็งแกร่ง ที่ไม่ได้มุ่งให้เราตีความตัว ลิลี่ เพียงอย่างเดียว แต่ยังได้ช่วยให้คนดูมีอารมณ์ร่วม เอาใจช่วยไปด้วยในคราวเดียวกัน มันเป็นความรู้ที่ประหลาด
ใจหนึ่งเราอยากให้ เกอร์ด้า หมดทุกข์ แต่ใจหนึ่ง... ผมก็อยากให้ ลิลี่ มีความสุข อารมณ์ของหนังได้พาไปไกลถึงจุดๆนั้นเลยทีเดียว...
เส้นเรื่องที่ 4 : "ลิลี่..."
ในเส้นเรื่องสุดท้ายนี้ หนังได้พาเราไปถึงจุดแห่งการตัดสินใจ อันสำคัญยิ่งในชีวิต ของทั้งคู่
ความสัมพันธ์ไม่อาจลงเอยไปได้ในเพศสภาพที่ไม่ตรงกันเช่นนี้ บางส่วนในหนังได้ทำให้ผมรู้สึกว่า ลิลี่ แคร์เกอร์ด้า มากเพียงใด
การปฏิบัติตัว การกระทำ การวิงวอน และแม้แต่ น้ำตา ..... กระทำลงไป เกิดขึ้น ด้วยเหตุผลบางอย่างที่สำคัญยิ่ง
ซึ่งถ้าเราได้สัมผัสอารมณ์ในระนาบที่ขึ้นลงตลอดทั้งเรื่อง เราจะรู้สึกถึงความวูบวาบที่เกิดขึ้นในจิตใจสองฝั่ง
คือ โกรธไอนาร์ ที่ทอดทิ้งภรรยา แต่ก็ รักและเมตตา ลิลี่ เกินกว่าจะทนเห็นเธอหายไปจากเรื่อง
จุดนี้ ที่ผมคิดว่าสำคัญ ต่อความเป็นอยู่ของ The Danish Girl เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ทุกเส้นเรื่องยีดเป็นสายโยงมาสู่บทสรุป
คือ จิตใจอันเข้มแข็งและแน่วแน่ที่จะค้นพบตัวตนของเราให้ถึงที่สุด คือ สิ่งเดียวที่ทำให้ความมีอยู่ของตัวตนเรา "สมบูรณ์แบบ"
แม้เส้นทางนั้นจะผ่านมาบนทางอันแสนชัน ทุกข์เข็ญ และนองไปด้วยเลือดเพียงใดก็ตาม...
บทสรุป
ผมให้คะแนนที่ 5 / 5 คะแนน
ขอบคุณในฉากจบที่ตราตรึงใจ และทำให้ผมได้สูดลมหายใจ
เพื่อยิ้มไปกับความฝันที่โบยบินออกไปอย่าง "เสรี" ของ ลิลี่ เอลบี
ด้วยหัวใจที่คารวะในความมี "ตัวตน" บนโลกของเธอ...
หากส่วนใดที่จะเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า ข้อด้อย ของ The Danish Girl
ผมขอยกไว้ให้กับบางส่วนของเส้นเรื่องที่ 4 ความละเอียดละออยามเมื่อ ลิลลี่ เป็นตัวตนของเธอเอง
ยังไม่ถูกถ่ายทอดให้ครบในทุกมิติอันสำคัญต่อภาพความจดจำตัวละคร แต่นั่นก็นับเป็นส่วนน้อยในความรู้สึกผมจริงๆ
เอาละครับ เมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ผมขอกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า สิ่งที่คุณจะได้พบใน The Danish Girl ไม่มีคำว่าผิดหวัง...
เพราะคุณจะรู้จักกับ การปลอกเปลือกมายาคติหลายๆอย่างในตัวตนของคนเราได้อย่างดีที่สุด โดยเฉพาะคนที่ปิดกั้นตัวตน หลอกตัวเองไปวันๆ
เหตุด้วยในที่สุดแล้ว... คุณอาจได้พบว่าตัวเองได้กลายเป็นใครอีกคน... ที่ไม่เคยใช่ตัวของคุณมาก่อนเลย... ไม่เคยแม้แค่คิดว่าจะ "ได้เป็น"
ดั่งที่ลิลี่ กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า...
"พระเจ้าสร้างฉันมาเป็นผู้หญิง แต่ร่างกายนี้ไม่ใช่ของฉัน..."
แล้วพบกันอีกครั้งในบทวิเคราะห์ The Danish Girl ของผมกระทู้หน้านะครับ
ผมจะพาทุกท่านตีแผ่ตัวละครสำคัญ วิเคราะห์สภาพจิตใจ
และสรุปเหตุการณ์ภาพรวมให้คนชอบ "อ่าน" ได้เข้ามาเสพแบบ จุใจ
ขอบคุณสำหรับการอ่าน การกด+ การแสดงความรู้สึก และคอมเม้นของทุกท่านครับ...
ด้วยรักและขอบคุณ...
- C r e a t e d B y E n d C r e d i t M a n -
รีวิว The Danish Girl : ซาบซึมทุกอณูและแง่มุมแห่ง "มายาคติ" ของชีวิตมนุษย์...
ปีที่เข้าฉาย : 2016
เข้าฉายที่ไทยวันแรก : 4 กุมภาพันธ์ 2016
ประเภท : ชีวประวัติ / ดราม่า / โรแมนซ์
เวลารวม : 1 ชม. 59 นาที
ผู้กำกับ: Tom Hooper
นักแสดงนำ : Alicia Vikander, Amber Heard, Ben Whishaw, Eddie Redmayne, Matthias Schoenaerts
สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปทุกท่านครับ วันนี้วันพฤหัสบดี เรามีนัดกัน รีวิวหนังใหม่กับผม EndCreditMan วันนี้ ผมตัดสินใจระหว่าง The Revenant
และ The Danish Girl และแล้ว ผมก็ละวางป๋าลีโอไว้ข้างๆใจ และเข้าไปสัมผัสกับอีกหนึ่งความมาสเตอร์พีช ของ Eddie Redmayne อีกครั้ง
เพื่อไม่ให้เสียเวลา มาอ่านรีวิวไปพร้อมๆกันดีกว่าครับ...
สายลมแผ่วพริ้วริ้วผ่านใบหญ้าชะล้างรอยน้ำตาแห่งความโศกาอาดูรสังเวชใจ...
ลมทะเลพัดสะบัดไกลกระแดะระตัวไหวไปกับหญ้าลู่เป็นแนวเดียวกับกออันเขียวชอุ่มของละอองน้ำค้าง...
ชีวิตคนเรา เป็นมายาคติ บนผืนผ้าใบของโลก ที่ถูกแต่งแต้มด้วยจิตรกรฝีมือดี นิรนาม... กระนั้นหรือ?
The Danish Girl เปิดโอกาสให้เราได้รู้จักกับ ไอนาร์ เวเกเนอร์ ศิลปินหนุ่มชาวเดนมาร์กที่ครอง รักอยู่กับ ภรรยาสาว เกอร์ด้า เวเกเนอร์
วิถีชีวิตแห่งความเป็นศิลปินของทั้งคู่ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ที่จะเกิดขึ้นในปมปัญหาหลักๆของเรื่องได้แต่ต้น
เนื่องจากเรื่องนี้มีเส้นเรื่องในการบอกเล่าตัวละครแบ่งออกได้ถึง 4 เส้นเรื่อง ผมจึงขอแยกอธิบายแต่ละเส้นเรื่อง ดังนี้
เส้นเรื่องที่ 1 : ปกติสุข...
เส้นเรื่องที่หนังว่าด้วยความปกติสุขในชีวิตอันโสภาของ จิตรกรสองสามีภรรยา ไอนาร์ และ เกอร์ด้า กับหมาตัวน้อยนามว่า แวป
ในเส้นเรื่องนี้ องค์ประกอบความโดดเด่นคงเป็นไปทาง กามารมณ์อันปกติสุข ของคนทั้งสอง และการเป็นที่ปรึกษาแก่กันยามมีปัญหา
ผู้กำกับเลือกใช้ SEX ในการนำเสนอ เหตุเพราะมันเป็นธรรมชาติอันบ่งบอกเพศสภาพได้ดีที่สุด ในหนังที่สร้างปรากฏการณ์สตรีข้ามเพศแบบนี้
แต่สิ่งที่เราจะได้รับรู้ข้อมูลจาก เส้นเรื่องนี้ คือ การสนองความใคร่ของคนทั้งสอง ที่ดูเหมือนกับว่าปูทางไปสู่เส้นเรื่องที่สองไว้เสมอ
ทุกการกระทำ คำพูด การมอง สายตา ไอนาร์(Eddie Redmayne) สื่อเป็นภาษาทางร่างกายออกมาให้เราได้เห็นอยู่เสมอ ซึ่งการตัดภาพในเส้นเรื่องนี้
เป็นไปในทางสรุปความ และบอกเล่าเนื้อหาที่จำเป็น โดยไม่มี Detail อื่นใดมากไปกว่าการปูประวัติคร่าวๆให้เราได้ทราบ เนื่องจาก ความสำคัญของเรื่องราวจะไปแสดงได้อย่างชัดเจนที่สุดในลำดับต่อไป
เส้นเรื่องที่ 2 : ปลุกจากหลับใหล
ในเส้นเรื่องนี้เราจะได้พบจุดเปลี่ยนสำคัญของ ความเป็น ลิลี่ ในตัวของไอนาร์ มากขึ้น และแน่นอนการสังเกตแต่ไม่สงสัยและไม่อยากรู้เหตุผล
ของ เกอร์ด้า ยิ่งปลุกให้หญิงสาวที่เติบโตสวยงามอยู่ภายในกายของสามีเธอ ได้เบ่งบาน และมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ
จนเมื่อจุดพลิกผันสำคัญ 2 จุด มาถึง ลิลี่ได้โบยบินออกมาจากตัวตนของไอนาร์ และปรากฏชัดอย่างสง่างาม ในงานเลี้ยงออกหน้าออกตาคืนหนึ่ง
การตามใจของ เกอร์ด้า ก็ได้ส่งผล โทนของหนังมีความมืดหม่นทางอารมณ์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อารมณ์ของไอนาร์ จะส่งมาอย่างมีพลังไม่ได้เลย หากไร้ซึ่งคนคอยรับและส่งกลับที่ค่าพลังมากเท่าๆกันอย่าง เกอร์ด้า (Alicia Vikander) ในเส้นเรื่องนี้ เธอมีบทบาทอย่างมาก ที่ช่วยให้เราได้ทำความเข้าใจกับสัมพันธ์อันอธิบายได้ยากของทั้งสองยิ่งขึ้น และ ไอนาร์ ก็ได้อธิบายให้เราเข้าใจสถาพจิตของตัวละคร ลิลี่ ได้เปนอย่างดีว่ามีพัฒนาการขึ้นมาถึงระดับใด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความงดงามอย่างนึง ที่ผมสัมผัสได้จากคนทั้งสอง คือ ความรักถ้าหากมากพอ มันจะหาทางเยียวยาตัวเองอยู่เสมอ...
เส้นเรื่องที่ 3 : พลัดพราก
ในเส้นเรื่องนี้ เราจะเห็นความยุ่งเหยิงในชีวิต ที่เกิดขึ้นพร้อมกับโอกาสที่จะเริ่มใหม่ ของครอยครัว เวเกเนอร์...
หากแต่ปัญหาไม่ได้อยู่เพียง สถาพแวดล้อมเสียแล้ว ไม่ได้อยู่ที่พฤติกรรมทางเพศอีกต่อไป หากแต่มันอยู่ที่ จิตใจของ ไอนาร์ เอง
ในเส้นเรื่องนี้ หนังพาเราไปพบกับตัวละครอีกตัวหนึ่ง คือ ฮานส์ เพื่อนสมัยเด็กของ ไอนาร์ที่ครั้งหนึ่งเคยได้พบกับ ลิลี่ ที่อาศัยอยู่ภายในใจสามีเธอ
ฮานส์ ไม่ได้เพียงเข้ามาในลักษณะ ฉาบฉวยแต่จะ มีบทให้เล่นไปตลอดเส้นเรื่องนี้จนถึงเส้นเรื่องสุดท้ายเลยทีเดียว เป็นทั้งคนปลอบประโลม เพื่อน และผู้ปรารถนาดี แม้ในตอนนี้จะเน้นไปที่การเยียวยา "ลิลี่" แต่ตัวบทยังช่วยให้เราเข้าใจสภาวะอารมณ์ของ "เกอร์ด้า" ไปพร้อมๆกันอีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นจุดแข็งแกร่ง ที่ไม่ได้มุ่งให้เราตีความตัว ลิลี่ เพียงอย่างเดียว แต่ยังได้ช่วยให้คนดูมีอารมณ์ร่วม เอาใจช่วยไปด้วยในคราวเดียวกัน มันเป็นความรู้ที่ประหลาด
ใจหนึ่งเราอยากให้ เกอร์ด้า หมดทุกข์ แต่ใจหนึ่ง... ผมก็อยากให้ ลิลี่ มีความสุข อารมณ์ของหนังได้พาไปไกลถึงจุดๆนั้นเลยทีเดียว...
เส้นเรื่องที่ 4 : "ลิลี่..."
ในเส้นเรื่องสุดท้ายนี้ หนังได้พาเราไปถึงจุดแห่งการตัดสินใจ อันสำคัญยิ่งในชีวิต ของทั้งคู่
ความสัมพันธ์ไม่อาจลงเอยไปได้ในเพศสภาพที่ไม่ตรงกันเช่นนี้ บางส่วนในหนังได้ทำให้ผมรู้สึกว่า ลิลี่ แคร์เกอร์ด้า มากเพียงใด
การปฏิบัติตัว การกระทำ การวิงวอน และแม้แต่ น้ำตา ..... กระทำลงไป เกิดขึ้น ด้วยเหตุผลบางอย่างที่สำคัญยิ่ง
ซึ่งถ้าเราได้สัมผัสอารมณ์ในระนาบที่ขึ้นลงตลอดทั้งเรื่อง เราจะรู้สึกถึงความวูบวาบที่เกิดขึ้นในจิตใจสองฝั่ง
คือ โกรธไอนาร์ ที่ทอดทิ้งภรรยา แต่ก็ รักและเมตตา ลิลี่ เกินกว่าจะทนเห็นเธอหายไปจากเรื่อง
จุดนี้ ที่ผมคิดว่าสำคัญ ต่อความเป็นอยู่ของ The Danish Girl เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ทุกเส้นเรื่องยีดเป็นสายโยงมาสู่บทสรุป
คือ จิตใจอันเข้มแข็งและแน่วแน่ที่จะค้นพบตัวตนของเราให้ถึงที่สุด คือ สิ่งเดียวที่ทำให้ความมีอยู่ของตัวตนเรา "สมบูรณ์แบบ"
แม้เส้นทางนั้นจะผ่านมาบนทางอันแสนชัน ทุกข์เข็ญ และนองไปด้วยเลือดเพียงใดก็ตาม...
ผมให้คะแนนที่ 5 / 5 คะแนน
ขอบคุณในฉากจบที่ตราตรึงใจ และทำให้ผมได้สูดลมหายใจ
เพื่อยิ้มไปกับความฝันที่โบยบินออกไปอย่าง "เสรี" ของ ลิลี่ เอลบี
ด้วยหัวใจที่คารวะในความมี "ตัวตน" บนโลกของเธอ...
หากส่วนใดที่จะเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า ข้อด้อย ของ The Danish Girl
ผมขอยกไว้ให้กับบางส่วนของเส้นเรื่องที่ 4 ความละเอียดละออยามเมื่อ ลิลลี่ เป็นตัวตนของเธอเอง
ยังไม่ถูกถ่ายทอดให้ครบในทุกมิติอันสำคัญต่อภาพความจดจำตัวละคร แต่นั่นก็นับเป็นส่วนน้อยในความรู้สึกผมจริงๆ
เอาละครับ เมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ผมขอกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า สิ่งที่คุณจะได้พบใน The Danish Girl ไม่มีคำว่าผิดหวัง...
เพราะคุณจะรู้จักกับ การปลอกเปลือกมายาคติหลายๆอย่างในตัวตนของคนเราได้อย่างดีที่สุด โดยเฉพาะคนที่ปิดกั้นตัวตน หลอกตัวเองไปวันๆ
เหตุด้วยในที่สุดแล้ว... คุณอาจได้พบว่าตัวเองได้กลายเป็นใครอีกคน... ที่ไม่เคยใช่ตัวของคุณมาก่อนเลย... ไม่เคยแม้แค่คิดว่าจะ "ได้เป็น"
ดั่งที่ลิลี่ กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า... "พระเจ้าสร้างฉันมาเป็นผู้หญิง แต่ร่างกายนี้ไม่ใช่ของฉัน..."
แล้วพบกันอีกครั้งในบทวิเคราะห์ The Danish Girl ของผมกระทู้หน้านะครับ
ผมจะพาทุกท่านตีแผ่ตัวละครสำคัญ วิเคราะห์สภาพจิตใจ
และสรุปเหตุการณ์ภาพรวมให้คนชอบ "อ่าน" ได้เข้ามาเสพแบบ จุใจ
ขอบคุณสำหรับการอ่าน การกด+ การแสดงความรู้สึก และคอมเม้นของทุกท่านครับ...
- C r e a t e d B y E n d C r e d i t M a n -