ตอนที่ 2 – ความทรงจำ
ในห้องเรียนวิชาการงานพื้นฐานอาชีพตอนนี้มีนักเรียนชั้น ป. 6/1 กำลังนั่งเรียนกันอยู่เต็มห้อง คุณครูเจ้าของวิชากำลังชี้แจงถึงผลงานชิ้นต่อไปที่ต้องเริ่มทำกันในสัปดาห์หน้า เป็นงานทำอาหารที่ต้องแบ่งกันทำเป็นกลุ่มๆ โดยแต่ละกลุ่มนั้นจะต้องมีเมนูประจำกลุ่ม และแต่ละกลุ่มต้องมีสมาชิกประมาณเจ็ดถึงแปดคน เวลานี้ฉันและกลุ่มเพื่อนเป็นผู้หญิงล้วนเพียงห้าคนเท่านั้น แต่นั่นก็คงไม่ทำให้เดือดร้อน เมื่อจบคำชี้แจงจากคุณครูพวกเราก็ยังนั่งนิ่งกันอยู่ที่เดิม และรอให้คนอื่นเป็นฝ่ายมาขอเข้ากลุ่มเอง โดยที่พวกเราก็ไม่คิดจะดิ้นรนอะไร ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเมื่อไม่ต้องใช้เวลานั่งรอกันเนิ่นนาน ก็มีเด็กชายสามคนมุ่งตรงมาที่กลุ่มเรา ก่อนที่หนึ่งในสามคนนั้นจะพูดขึ้น
“หมึก! อยู่ด้วยนะ” เด็กผู้ชายร่างสูงผิวขาวเผือกบ่งบอกเชื้อสายจีนที่ผสมเข้ามาในดีเอ็นเอเป็นคนพูดขึ้น ว่าจบก็นั่งลงข้างๆ ฉันโดยไม่รอให้ตอบรับแต่อย่างใด เพราะคงรู้อยู่แล้วว่าฉันจะไม่ปฏิเสธ
หมึก...เป็นชื่อที่พวกเพื่อนๆ ผู้ชายใช้เรียกฉันมาตลอดตั้งแต่ ป.5 ความจริงมันมีที่มาที่ไปอยู่ เพราะมีเพื่อนผู้ชายหนึ่งคนเคยเรียกฉันว่า “แพร ผึก หมึกย่าง” จากนั้นเพื่อนผู้ชายทุกคนก็พากันเรียกฉันว่าหมึกมาตลอด ส่วนมากก็ไม่ค่อยนิยมเรียกชื่อจริงๆ ของฉันเลยสักคน ตามประสาเด็กชั้นประถมฯ ที่ชอบกวนประสาทกันไปมานั่นแหละ
ฉันเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชอบเล่นกีฬา รวมทั้งแก๊งเพื่อนสาวของฉันก็เช่นกันที่เล่นกีฬาเป็นเหมือนกันหมด ทำให้พวกเราสามารถเล่นด้วยกันกับเพื่อนผู้ชายได้อย่างกลมกลืน และส่วนใหญ่เพื่อนผู้ชายพวกนั้นก็มักจะคิดว่าพวกเรามันก็พวกแก๊งทอมดีๆ นี่เอง จึงชอบมาชวนเล่นโน่นเล่นนี่ด้วยกันอยู่บ่อยๆ
บาสเก็ตบอลเป็นอีกหนึ่งประเภทกีฬาประจำกลุ่มของพวกเรา ที่เรามักจะจับกลุ่มกันแบ่งออกเป็นสองทีมเพื่อทำการแข่งขันในช่วงพักเที่ยงของวันอยู่เสมอ หรือบางครั้งพวกเราก็ไม่ได้จริงจังนัก ที่ไม่ได้เล่นบาสฯ อย่างเต็มรูปแบบ เพียงแค่แข่งกันชู้ตลูกให้ลงแป้นแบบยืนนิ่งๆ ประจำจุดเท่านั้น โดยเกมนี้จะวัดผลความแม่นยำในการชู๊ตของแต่ละคน ว่าสามารถชู๊ตได้ใกล้ไกลแค่ไหน และเกมหลังนี่แหละที่ฉันค่อนข้างโปรดปรานเป็นพิเศษ ด้วยความสามารถเฉพาะตัวของฉันเอง ที่สามารถชู๊ตบาสได้ในระยะไกลพอสมควร แม้ในจุดที่ไกลที่สุดของเกม ฉันก็สามารถเอาชนะคนอื่นๆ ได้มาแล้วหลายราย มันเลยทำให้ฉันค่อนข้างชอบที่จะเล่นเกมนี้เป็นพิเศษ
จนกระทั่งในวันหนึ่งที่ฉันยืนชู้ตบาสฯ เล่นอยู่คนเดียว ในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน ระหว่างรอให้แม่มารับกลับบ้าน โดยที่เพื่อนๆ ในกลุ่มของฉันได้กลับบ้านกันไปหมดแล้ว ก็มีใครบางคนเดินมาขอเล่นด้วย หรือจะเรียกว่ามาท้าแข่งก็ได้อีกเช่นกัน
“หมึก! แข่งกันเปล่า ถ้าใครแพ้ต้องเลี้ยงเป๊ปซี่ เอาเปล่า” เสียงนั้นมาพร้อมด้วยใจความท้าแข่งและเดิมพันด้วยเป๊ปซี่หนึ่งถุง เรียกร้องให้ฉันต้องหันมองก็พบกับเขา เด็กผู้ชายตัวสูงขาวคนเดิมนามว่าภัทรที่เดินมาเพียงคนเดียวเท่านั้นไม่มีใครอื่น ในขณะที่ฉันก็อยู่คนเดียวไม่มีใครอื่นเช่นกัน
“เอาดิ” ครั้งนั้นฉันตอบรับไปอย่างง่ายดายด้วยคำสั้นๆ หลังจากที่เล่นคนเดียวอยู่นานแล้วและเริ่มเบื่อเหมือนกัน
“งั้นก็มา...เริ่มเลย เขาให้แกเริ่มก่อน” เด็กชายตอบรับและเป็นฝ่ายให้ฉันเริ่มก่อน
จากนั้นเกมจึงเริ่มขึ้น ที่ฉันยืนอยู่ในจุดแรกมีลูกบาสอยู่ในมือ ถืออยู่ระดับกลางอกก่อนจะค่อยๆ เลื่อนมือขึ้นเหนือหัว พลางงอข้อมือนิดหน่อยทั้งสายตาก็เพ่งเล็งอยู่ที่แป้นบาสฯ ตรงหน้า และสะบัดข้อมือเพื่อออกแรงกระทำต่อลูกบาสฯ นั้นให้พุ่งทะยานไปยังกลางห่วงเหล็กของแป้น ซึ่งก็ลงฮวบไปอย่างง่ายดาย จากนั้นฉันก็หันไปมองหน้าคู่แข่งทันทีเพื่อยิ้มเยาะ โดยที่เขาก็แสดงยิ้มยียวนกลับมาเช่นกันในทำนองว่าไม่กลัว และไม่แคร์ถึงแม้ฉันจะนำหน้าไปก่อนแล้ว
เกมนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ ในขณะที่ฉันและเขาก็สลับกันชู้ตไปมาเมื่อถึงตา จนกระทั่งมาถึงตอนจบและได้ผู้ชนะ คือฉันที่ชู๊ตสำเร็จลงในจุดสุดท้ายก่อน ฉันจึงรีบออกปากทวงสิทธิของผู้ชนะในทันที
“เย้! เขาชนะแล้ว แกต้องเลี้ยงเป๊ปซี่เขา”
“เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกันนะ” แต่ภัทรกลับบ่ายเบี่ยง เมื่อไม่ยอมทำตามข้อตกลง
“อะไรอะ จะโกงเหรอ” ฉันเองก็ไม่ยอมเช่นกัน จึงรีบพูดดักคอ
“ไม่โกง! โกงไร! เดี๋ยวพรุ่งนี้เลี้ยงจริงๆ สัญญา” เขารีบเถียงและยังให้คำยืนยันกลับมา ทำให้ฉันก็หลงเชื่อไปตามประสา
“จริงนะ” ฉันถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“เออดิ ไม่โกงหรอกน่า ไปละ” ว่าจบภัทรก็เดินหนีหายไปทันทีอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ฉันก็ยังได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นไป ทั้งในใจยังแอบลังเลในคำพูดของเขาอยู่ไม่น้อย แต่ก็คงทำได้แค่...รอวันพรุ่งนี้
เมื่อวันใหม่เริ่มขึ้นสิ่งแรกที่ฉันทำเมื่อเห็นหน้าภัทรก็คือทวงคำสัญญา แต่ทว่าเขากลับบ่ายเบี่ยงเหมือนเดิม เดี๋ยวพรุ่งนี้บ้าง เดี๋ยวทำโน่นก่อนบ้าง ทำนี่ก่อนบ้าง แต่ฉันก็ไม่เลิกราที่จะใช้ความพยายามในการทวงสิทธิต่อไป จนกว่าจะได้ในสิทธินั้น จนกระทั่งในเย็นวันหนึ่งเขาก็ยื่นข้อเสนอที่จะให้แข่งกันอีกครั้งด้วยใจความว่า
“มา! แข่งใหม่ ถ้าครั้งนี้แกชนะนะ เขาเลี้ยงแกสองถุงเลย แต่ถ้าแกแพ้นะ ก็หายกัน เคป่ะ?” หลังข้อเสนอนั้น ฉันก็ตกลง เกมใหม่จึงเริ่มขึ้นอีกครา แต่ทว่าระหว่างที่มันกำลังดำเนินไป กลับมีบางอย่างทำให้เกมสะดุดลง เมื่อฉันหันไปเห็นใครบางคนที่ยืนมองมายังภัทรด้วยรอยยิ้มอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และฉันก็รู้ดีว่าเขาเป็นใครจึงหันไปบอกกับคู่แข่งที่กำลังจดจ่ออยู่กับแป้นบาสฯ จนไม่ทันได้มองอยู่นั้นทันที
“ภัทร! แม่แกมารับแล้ว” หลังคำบอกกล่าวนั้นภัทรก็หันมองไปบ้าง และเมื่อเห็นแม่ตัวเองยืนอยู่ จึงหันมาบอกกับฉันเป็นลำดับ
“ไว้แข่งต่อพรุ่งนี้”
“อีกและ” ฉันกล่าวแสดงอาการงอแงอยู่น้อยๆ เมื่อรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ
“เออน่า! วันนี้กลับบ้านก่อน แม่มารับแล้วเนี่ย” จบคำพูดนั้นเขาก็เดินตรงไปหาแม่เขาทันที โดยที่ฉันก็เดินตามหลังไปห่างๆ จนกระทั่งเข้าใกล้พอสมควร จึงยกมือไหว้เพื่อทักทายผู้ใหญ่ตามมารยาท
“แม่ภัทรสวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะ” แม่ของเขาก็รับไหว้ด้วยคำพูดนี้พร้อมทั้งยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะหันไปพูดคุยกับลูกชายตามประสา ฉันจึงเดินไปทางอื่น เพื่อไปหาเพื่อนสนิทที่เล่นอยู่ไม่ไกล
จากนั้นเมื่อมาถึงวันใหม่ก็เริ่มแข่งกันอีกครั้งในช่วงเวลาเดิม กระทั่งได้ข้อสรุป ครั้งนี้ภัทรเป็นฝ่ายชนะ จึงเป็นอันว่าหายกัน ทำให้ฉันอดกินเป๊ปซี่ฟรีไปอย่างน่าเสียดาย พอดิบพอดีในช่วงเวลาหลังจากที่เกมจบ ฉันก็หันไปเห็นแม่ตัวเองกำลังยืนยิ้มมา ในตำแหน่งที่แทบจะเป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่แม่ภัทรมายืนเมื่อวาน
“อ้าวแม่!” ฉันอุทานออกไปทันทีที่เห็น
“อ้าวแม่มาแล้วหมึก” ภัทรเอ่ยขึ้นบ้างเมื่อเห็น
จากนั้นฉันจึงเดินเข้าไปหาแม่ทันที โดยมีภัทรเดินอยู่ข้างๆ เขาเดินไปทางเดียวกันกับฉันพร้อมๆ กัน จนกระทั่งหยุดอยู่ตรงหน้าแม่ เขาก็ยกมือไหว้ก่อนจะกล่าว
“แม่หมึกสวัสดีครับ” ภัทรกล่าวหน้าตาเฉย ก่อนที่ใบหน้าจะแสดงอาการตื่นอยู่น้อยๆ เหมือนเริ่มรู้ตัวในภายหลัง ทำให้ฉันเดาได้ในทันทีว่าภัทรคงลืมตัวในก่อนหน้านั้นจึงเผลอเรียกชื่อบ้าๆ นั่นออกไปต่อหน้าแม่ของฉันแบบหน้าตาเฉย
“แม่ดูมันดิ!” ฉันทำงอแงต่อหน้าแม่ทันทีที่ถูกเพื่อนเรียกแบบนั้น ขณะที่แม่ของฉันกลับหัวเราะชอบใจออกมาก่อนจะตอบรับคำทักทาย
“สวัสดีครับลูก” เป็นแบบนั้นภัทรก็เลยหัวเราะกลบเกลื่อนออกมาบ้างแทนการแก้ตัวก่อนจะเดินหายไปแบบเนียนๆ
ภาพที่ภัทรหัวเราะกลบเกลื่อนต่อหน้าแม่วันนั้น ฉันนึกถึงมันทีไรก็ยังแอบขำคนเดียวทุกที เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวความทรงจำในวัยเด็กที่ไม่ได้น่าปลื้มสักเท่าไหร่ ออกจะน่าขำด้วยซ้ำไป และเมื่อนึกถึงทีไรก็ชอบอกชอบใจทุกที ในความตลกมันก็แฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกดีเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงตัวน้อย เธออาจจะเป็นโรคมโนหรือเพ้อเจ้อมากไปรึเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน ถึงได้เก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านั้นมาจดจำและทำให้ตัวเองยิ้มได้ทุกครั้งที่นึกถึงมัน
ศาลาหลังเล็กหรือเรียกอีกอย่างว่าซุ้มไม้ ในโรงเรียนของฉันแห่งนี้ก็มีอยู่หลายหลังด้วยกัน มันเป็นทั้งที่นั่งเล่น หรือที่วางกระเป๋านักเรียนได้ดีทีเดียว ซึ่งเวลานี้มันก็เต็มไปด้วยกระเป๋านักเรียนของใครต่อใครปะปนกันอยู่มากมาย พร้อมทั้งสัมภาระโน่นนี่ อาทิ เช่นกล่องข้าว กระติกน้ำ และอื่นๆ วางอยู่คู่กันกับกระเป๋าแทบทุกหลัง และมีอยู่หนึ่งหลังที่ในขณะนั้นที่ไม่มีคนนั่งอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งเป็นหลังเดียวกันกับที่ฉันวางกระเป๋านักเรียนของตัวเองเอาไว้
ได้ทีที่เห็นว่ามันคงจะสงบ ฉันจึงเข้าไปนั่งเล่นเพียงลำพังข้างๆ กระเป๋านักเรียนของตัวเอง เมื่อไม่รู้ว่าเพื่อนคนอื่นหายไปไหนกัน ฉันหวังจะนั่งรอแม่มารับเงียบๆ ด้วยอารมณ์ไหนก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะเบื่อกับการละเล่นใดๆ จนอยากนั่งนิ่งๆ ดูบ้าง จนกระทั่งที่ความเงียบนั้นถูกทำลายลงเมื่อมีใครอีกคนเดินตรงมาและหยุดอยู่ที่ทางเข้าของซุ้มไม้นี้
“นั่งด้วยคนนะ” จะเป็นใครที่ไหน เมื่อเขาคือภัทร เพื่อนคนเดิมที่ฉันแอบคิดเข้าข้างตัวเองอยู่เหมือนกันว่าคงจะอยากอยู่ใกล้ๆ ฉันล่ะมั้ง ถึงได้ชอบโผล่มาทุกครั้งที่ฉันอยู่คนเดียวแบบนี้ ว่าจบก็เข้ามานั่งที่มุมหนึ่งในซุ้มทันที ซึ่งห่างกับฉันอยู่พอสมควร มาถึงก็ชวนคุยสองสามคำ จากนั้นก็ลุกหายไปเฉยๆ โดยเหตุการณ์วันนั้นก็เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ฉันจำมาจนถึงทุกวันนี้
ความจริงแล้วไอ้เรื่องขอนั่งด้วยก็ไม่ใช่หนนี้หนแรก เมื่อครั้งในห้องเรียนก็ยังมีอีกหนึ่งหนที่ฉันนั่งอยู่ใกล้กระดาน และเหลือเก้าอี้ว่างอยู่ข้างๆ หนึ่งตัว ภัทรก็เดินมาและนั่งลงตรงนั้นก่อนจะหันบอกกันว่า “ขอนั่งตรงนี้นะ มันใกล้กระดานดี นั่งตรงนั้นมองไม่เห็น” ว่าจบก็หันไปมองกระดาน ทำทีเป็นตั้งใจเรียน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพียงการสร้างภาพหรือเปล่า แต่หนนั้นฉันก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดไปว่าภัทรคงจะอยากอยู่ใกล้กระดานจริงๆ
หลังจากที่มีเหตุการณ์ขอนั่งด้วยถึงสองครั้งสองครา ฉันก็เริ่มคิดนิดๆ แล้วแหละว่ามันมีนัยยะอะไรสำคัญๆ แอบแฝงอยู่รึเปล่า และก็ดูเหมือนว่าฉันเองกำลังหวั่นไหวนิดๆ ในทุกการกระทำของเขาที่สะสมเรื่อยมา
กีฬาโปรดอีกหนึ่งอย่างของฉันคือปิงปอง มันเป็นการละเล่นที่โปรดปรานกันทั้งกลุ่ม และดูเหมือนว่าจะอยู่ในช่วงกำลังฮิตสำหรับเพื่อนคนอื่นๆ ในห้องด้วย เมื่อถึงเวลาตกเย็นก็ต้องลากโต๊ะเขียนหนังสือมาต่อกันให้กลายเป็นโต๊ะปิงปอง และหาวัตถุบางอย่างมาวางกั้นระหว่างกลางให้กลายเป็นเน็ตกันทุกมุมของห้อง จนเสียงกระทบระหว่างลูกปิงปองกับไม้ดังแข่งกันไปหมด
ครั้งนี้ไม่รู้อีท่าไหนที่ฉันกำลังเล่นอยู่กับเพื่อนดีๆ ภัทรก็เอาตัวเข้ามาแทรกและดันเพื่อนของฉันให้ตกขอบจากโต๊ะไป แล้วให้ตัวเองมาแทนที่ในตำแหน่งนั้นหน้าตาเฉย
“ขอตีกับไอ้หมึกหน่อยตานึง” เขากล่าวในขณะที่สายตาจับจ้องมาที่ลูกปิงปองอย่างจดจ่อ เพื่อนของฉันจึงไม่ได้ว่าอะไรและหลบให้แต่โดยดี
เขาดูจะถนัดกีฬาชนิดนี้มากกว่า เพราะว่าฉันเสียเปรียบตั้งแต่เล่นลูกตบไม่เป็น ทั้งในทางส่งและในทางรับ และภาพรวมของปิงปองฉันก็ไม่ได้เล่นเก่งด้วย แค่ตีให้โดนลูกได้ก็เท่านั้น ยังไม่ทันขาดคำภัทรก็หวดลูกนั้นด้วยแรงตบท่าทียังดูสะใจไม่น้อย จนลูกปิงปองกระดอนลงโต๊ะและกระเด็นไปอย่างไร้ทิศทางที่ฉันไม่สามารถโต้ตอบกลับไปได้เลย ทำให้เขาได้คะแนนลูกนี้ไปอย่างง่ายดาย
“ตบอีกแล้วนะ! แกอ่อนให้เขาหน่อยไม่ได้เหรอ เขาเป็นผู้หญิงนะ” เสียงบ่นจากฉันดังขึ้นเมื่อรับลูกตบจากเขาไม่ได้อีกตามเคย แอบโวยวายเสียงดังใส่เล็กน้อยและงอแงอยู่ในที เพื่อขอความเห็นใจ
“ไม่ได้! เกมเป็นเกม ไปเก็บลูกมาเร็วๆ” เขาตอบกลับพลางส่งคำสั่งด้วยการใช้ไม้ปิงปองชี้ไปทางลูกสีส้มที่กำลังกระดอนไปไกล
ฉันไม่รู้ว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ ฉันจะจำทำไม มันเหมือนกับอะไรทุกอย่างที่ฉันพอจะจำได้ในเรื่องราวระหว่างฉันกับเขา ฉันจะเก็บเอามาไว้ในสมองให้หมด นั่นอาจเป็นเพราะฉันให้ความสำคัญกับมันมาก
รักข้างเดียว - ตอนที่ 2 ความทรงจำ (1)
ในห้องเรียนวิชาการงานพื้นฐานอาชีพตอนนี้มีนักเรียนชั้น ป. 6/1 กำลังนั่งเรียนกันอยู่เต็มห้อง คุณครูเจ้าของวิชากำลังชี้แจงถึงผลงานชิ้นต่อไปที่ต้องเริ่มทำกันในสัปดาห์หน้า เป็นงานทำอาหารที่ต้องแบ่งกันทำเป็นกลุ่มๆ โดยแต่ละกลุ่มนั้นจะต้องมีเมนูประจำกลุ่ม และแต่ละกลุ่มต้องมีสมาชิกประมาณเจ็ดถึงแปดคน เวลานี้ฉันและกลุ่มเพื่อนเป็นผู้หญิงล้วนเพียงห้าคนเท่านั้น แต่นั่นก็คงไม่ทำให้เดือดร้อน เมื่อจบคำชี้แจงจากคุณครูพวกเราก็ยังนั่งนิ่งกันอยู่ที่เดิม และรอให้คนอื่นเป็นฝ่ายมาขอเข้ากลุ่มเอง โดยที่พวกเราก็ไม่คิดจะดิ้นรนอะไร ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเมื่อไม่ต้องใช้เวลานั่งรอกันเนิ่นนาน ก็มีเด็กชายสามคนมุ่งตรงมาที่กลุ่มเรา ก่อนที่หนึ่งในสามคนนั้นจะพูดขึ้น
“หมึก! อยู่ด้วยนะ” เด็กผู้ชายร่างสูงผิวขาวเผือกบ่งบอกเชื้อสายจีนที่ผสมเข้ามาในดีเอ็นเอเป็นคนพูดขึ้น ว่าจบก็นั่งลงข้างๆ ฉันโดยไม่รอให้ตอบรับแต่อย่างใด เพราะคงรู้อยู่แล้วว่าฉันจะไม่ปฏิเสธ
หมึก...เป็นชื่อที่พวกเพื่อนๆ ผู้ชายใช้เรียกฉันมาตลอดตั้งแต่ ป.5 ความจริงมันมีที่มาที่ไปอยู่ เพราะมีเพื่อนผู้ชายหนึ่งคนเคยเรียกฉันว่า “แพร ผึก หมึกย่าง” จากนั้นเพื่อนผู้ชายทุกคนก็พากันเรียกฉันว่าหมึกมาตลอด ส่วนมากก็ไม่ค่อยนิยมเรียกชื่อจริงๆ ของฉันเลยสักคน ตามประสาเด็กชั้นประถมฯ ที่ชอบกวนประสาทกันไปมานั่นแหละ
ฉันเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชอบเล่นกีฬา รวมทั้งแก๊งเพื่อนสาวของฉันก็เช่นกันที่เล่นกีฬาเป็นเหมือนกันหมด ทำให้พวกเราสามารถเล่นด้วยกันกับเพื่อนผู้ชายได้อย่างกลมกลืน และส่วนใหญ่เพื่อนผู้ชายพวกนั้นก็มักจะคิดว่าพวกเรามันก็พวกแก๊งทอมดีๆ นี่เอง จึงชอบมาชวนเล่นโน่นเล่นนี่ด้วยกันอยู่บ่อยๆ
บาสเก็ตบอลเป็นอีกหนึ่งประเภทกีฬาประจำกลุ่มของพวกเรา ที่เรามักจะจับกลุ่มกันแบ่งออกเป็นสองทีมเพื่อทำการแข่งขันในช่วงพักเที่ยงของวันอยู่เสมอ หรือบางครั้งพวกเราก็ไม่ได้จริงจังนัก ที่ไม่ได้เล่นบาสฯ อย่างเต็มรูปแบบ เพียงแค่แข่งกันชู้ตลูกให้ลงแป้นแบบยืนนิ่งๆ ประจำจุดเท่านั้น โดยเกมนี้จะวัดผลความแม่นยำในการชู๊ตของแต่ละคน ว่าสามารถชู๊ตได้ใกล้ไกลแค่ไหน และเกมหลังนี่แหละที่ฉันค่อนข้างโปรดปรานเป็นพิเศษ ด้วยความสามารถเฉพาะตัวของฉันเอง ที่สามารถชู๊ตบาสได้ในระยะไกลพอสมควร แม้ในจุดที่ไกลที่สุดของเกม ฉันก็สามารถเอาชนะคนอื่นๆ ได้มาแล้วหลายราย มันเลยทำให้ฉันค่อนข้างชอบที่จะเล่นเกมนี้เป็นพิเศษ
จนกระทั่งในวันหนึ่งที่ฉันยืนชู้ตบาสฯ เล่นอยู่คนเดียว ในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน ระหว่างรอให้แม่มารับกลับบ้าน โดยที่เพื่อนๆ ในกลุ่มของฉันได้กลับบ้านกันไปหมดแล้ว ก็มีใครบางคนเดินมาขอเล่นด้วย หรือจะเรียกว่ามาท้าแข่งก็ได้อีกเช่นกัน
“หมึก! แข่งกันเปล่า ถ้าใครแพ้ต้องเลี้ยงเป๊ปซี่ เอาเปล่า” เสียงนั้นมาพร้อมด้วยใจความท้าแข่งและเดิมพันด้วยเป๊ปซี่หนึ่งถุง เรียกร้องให้ฉันต้องหันมองก็พบกับเขา เด็กผู้ชายตัวสูงขาวคนเดิมนามว่าภัทรที่เดินมาเพียงคนเดียวเท่านั้นไม่มีใครอื่น ในขณะที่ฉันก็อยู่คนเดียวไม่มีใครอื่นเช่นกัน
“เอาดิ” ครั้งนั้นฉันตอบรับไปอย่างง่ายดายด้วยคำสั้นๆ หลังจากที่เล่นคนเดียวอยู่นานแล้วและเริ่มเบื่อเหมือนกัน
“งั้นก็มา...เริ่มเลย เขาให้แกเริ่มก่อน” เด็กชายตอบรับและเป็นฝ่ายให้ฉันเริ่มก่อน
จากนั้นเกมจึงเริ่มขึ้น ที่ฉันยืนอยู่ในจุดแรกมีลูกบาสอยู่ในมือ ถืออยู่ระดับกลางอกก่อนจะค่อยๆ เลื่อนมือขึ้นเหนือหัว พลางงอข้อมือนิดหน่อยทั้งสายตาก็เพ่งเล็งอยู่ที่แป้นบาสฯ ตรงหน้า และสะบัดข้อมือเพื่อออกแรงกระทำต่อลูกบาสฯ นั้นให้พุ่งทะยานไปยังกลางห่วงเหล็กของแป้น ซึ่งก็ลงฮวบไปอย่างง่ายดาย จากนั้นฉันก็หันไปมองหน้าคู่แข่งทันทีเพื่อยิ้มเยาะ โดยที่เขาก็แสดงยิ้มยียวนกลับมาเช่นกันในทำนองว่าไม่กลัว และไม่แคร์ถึงแม้ฉันจะนำหน้าไปก่อนแล้ว
เกมนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ ในขณะที่ฉันและเขาก็สลับกันชู้ตไปมาเมื่อถึงตา จนกระทั่งมาถึงตอนจบและได้ผู้ชนะ คือฉันที่ชู๊ตสำเร็จลงในจุดสุดท้ายก่อน ฉันจึงรีบออกปากทวงสิทธิของผู้ชนะในทันที
“เย้! เขาชนะแล้ว แกต้องเลี้ยงเป๊ปซี่เขา”
“เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกันนะ” แต่ภัทรกลับบ่ายเบี่ยง เมื่อไม่ยอมทำตามข้อตกลง
“อะไรอะ จะโกงเหรอ” ฉันเองก็ไม่ยอมเช่นกัน จึงรีบพูดดักคอ
“ไม่โกง! โกงไร! เดี๋ยวพรุ่งนี้เลี้ยงจริงๆ สัญญา” เขารีบเถียงและยังให้คำยืนยันกลับมา ทำให้ฉันก็หลงเชื่อไปตามประสา
“จริงนะ” ฉันถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“เออดิ ไม่โกงหรอกน่า ไปละ” ว่าจบภัทรก็เดินหนีหายไปทันทีอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ฉันก็ยังได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นไป ทั้งในใจยังแอบลังเลในคำพูดของเขาอยู่ไม่น้อย แต่ก็คงทำได้แค่...รอวันพรุ่งนี้
เมื่อวันใหม่เริ่มขึ้นสิ่งแรกที่ฉันทำเมื่อเห็นหน้าภัทรก็คือทวงคำสัญญา แต่ทว่าเขากลับบ่ายเบี่ยงเหมือนเดิม เดี๋ยวพรุ่งนี้บ้าง เดี๋ยวทำโน่นก่อนบ้าง ทำนี่ก่อนบ้าง แต่ฉันก็ไม่เลิกราที่จะใช้ความพยายามในการทวงสิทธิต่อไป จนกว่าจะได้ในสิทธินั้น จนกระทั่งในเย็นวันหนึ่งเขาก็ยื่นข้อเสนอที่จะให้แข่งกันอีกครั้งด้วยใจความว่า
“มา! แข่งใหม่ ถ้าครั้งนี้แกชนะนะ เขาเลี้ยงแกสองถุงเลย แต่ถ้าแกแพ้นะ ก็หายกัน เคป่ะ?” หลังข้อเสนอนั้น ฉันก็ตกลง เกมใหม่จึงเริ่มขึ้นอีกครา แต่ทว่าระหว่างที่มันกำลังดำเนินไป กลับมีบางอย่างทำให้เกมสะดุดลง เมื่อฉันหันไปเห็นใครบางคนที่ยืนมองมายังภัทรด้วยรอยยิ้มอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และฉันก็รู้ดีว่าเขาเป็นใครจึงหันไปบอกกับคู่แข่งที่กำลังจดจ่ออยู่กับแป้นบาสฯ จนไม่ทันได้มองอยู่นั้นทันที
“ภัทร! แม่แกมารับแล้ว” หลังคำบอกกล่าวนั้นภัทรก็หันมองไปบ้าง และเมื่อเห็นแม่ตัวเองยืนอยู่ จึงหันมาบอกกับฉันเป็นลำดับ
“ไว้แข่งต่อพรุ่งนี้”
“อีกและ” ฉันกล่าวแสดงอาการงอแงอยู่น้อยๆ เมื่อรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ
“เออน่า! วันนี้กลับบ้านก่อน แม่มารับแล้วเนี่ย” จบคำพูดนั้นเขาก็เดินตรงไปหาแม่เขาทันที โดยที่ฉันก็เดินตามหลังไปห่างๆ จนกระทั่งเข้าใกล้พอสมควร จึงยกมือไหว้เพื่อทักทายผู้ใหญ่ตามมารยาท
“แม่ภัทรสวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะ” แม่ของเขาก็รับไหว้ด้วยคำพูดนี้พร้อมทั้งยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะหันไปพูดคุยกับลูกชายตามประสา ฉันจึงเดินไปทางอื่น เพื่อไปหาเพื่อนสนิทที่เล่นอยู่ไม่ไกล
จากนั้นเมื่อมาถึงวันใหม่ก็เริ่มแข่งกันอีกครั้งในช่วงเวลาเดิม กระทั่งได้ข้อสรุป ครั้งนี้ภัทรเป็นฝ่ายชนะ จึงเป็นอันว่าหายกัน ทำให้ฉันอดกินเป๊ปซี่ฟรีไปอย่างน่าเสียดาย พอดิบพอดีในช่วงเวลาหลังจากที่เกมจบ ฉันก็หันไปเห็นแม่ตัวเองกำลังยืนยิ้มมา ในตำแหน่งที่แทบจะเป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่แม่ภัทรมายืนเมื่อวาน
“อ้าวแม่!” ฉันอุทานออกไปทันทีที่เห็น
“อ้าวแม่มาแล้วหมึก” ภัทรเอ่ยขึ้นบ้างเมื่อเห็น
จากนั้นฉันจึงเดินเข้าไปหาแม่ทันที โดยมีภัทรเดินอยู่ข้างๆ เขาเดินไปทางเดียวกันกับฉันพร้อมๆ กัน จนกระทั่งหยุดอยู่ตรงหน้าแม่ เขาก็ยกมือไหว้ก่อนจะกล่าว
“แม่หมึกสวัสดีครับ” ภัทรกล่าวหน้าตาเฉย ก่อนที่ใบหน้าจะแสดงอาการตื่นอยู่น้อยๆ เหมือนเริ่มรู้ตัวในภายหลัง ทำให้ฉันเดาได้ในทันทีว่าภัทรคงลืมตัวในก่อนหน้านั้นจึงเผลอเรียกชื่อบ้าๆ นั่นออกไปต่อหน้าแม่ของฉันแบบหน้าตาเฉย
“แม่ดูมันดิ!” ฉันทำงอแงต่อหน้าแม่ทันทีที่ถูกเพื่อนเรียกแบบนั้น ขณะที่แม่ของฉันกลับหัวเราะชอบใจออกมาก่อนจะตอบรับคำทักทาย
“สวัสดีครับลูก” เป็นแบบนั้นภัทรก็เลยหัวเราะกลบเกลื่อนออกมาบ้างแทนการแก้ตัวก่อนจะเดินหายไปแบบเนียนๆ
ภาพที่ภัทรหัวเราะกลบเกลื่อนต่อหน้าแม่วันนั้น ฉันนึกถึงมันทีไรก็ยังแอบขำคนเดียวทุกที เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวความทรงจำในวัยเด็กที่ไม่ได้น่าปลื้มสักเท่าไหร่ ออกจะน่าขำด้วยซ้ำไป และเมื่อนึกถึงทีไรก็ชอบอกชอบใจทุกที ในความตลกมันก็แฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกดีเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงตัวน้อย เธออาจจะเป็นโรคมโนหรือเพ้อเจ้อมากไปรึเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน ถึงได้เก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านั้นมาจดจำและทำให้ตัวเองยิ้มได้ทุกครั้งที่นึกถึงมัน
ศาลาหลังเล็กหรือเรียกอีกอย่างว่าซุ้มไม้ ในโรงเรียนของฉันแห่งนี้ก็มีอยู่หลายหลังด้วยกัน มันเป็นทั้งที่นั่งเล่น หรือที่วางกระเป๋านักเรียนได้ดีทีเดียว ซึ่งเวลานี้มันก็เต็มไปด้วยกระเป๋านักเรียนของใครต่อใครปะปนกันอยู่มากมาย พร้อมทั้งสัมภาระโน่นนี่ อาทิ เช่นกล่องข้าว กระติกน้ำ และอื่นๆ วางอยู่คู่กันกับกระเป๋าแทบทุกหลัง และมีอยู่หนึ่งหลังที่ในขณะนั้นที่ไม่มีคนนั่งอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งเป็นหลังเดียวกันกับที่ฉันวางกระเป๋านักเรียนของตัวเองเอาไว้
ได้ทีที่เห็นว่ามันคงจะสงบ ฉันจึงเข้าไปนั่งเล่นเพียงลำพังข้างๆ กระเป๋านักเรียนของตัวเอง เมื่อไม่รู้ว่าเพื่อนคนอื่นหายไปไหนกัน ฉันหวังจะนั่งรอแม่มารับเงียบๆ ด้วยอารมณ์ไหนก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะเบื่อกับการละเล่นใดๆ จนอยากนั่งนิ่งๆ ดูบ้าง จนกระทั่งที่ความเงียบนั้นถูกทำลายลงเมื่อมีใครอีกคนเดินตรงมาและหยุดอยู่ที่ทางเข้าของซุ้มไม้นี้
“นั่งด้วยคนนะ” จะเป็นใครที่ไหน เมื่อเขาคือภัทร เพื่อนคนเดิมที่ฉันแอบคิดเข้าข้างตัวเองอยู่เหมือนกันว่าคงจะอยากอยู่ใกล้ๆ ฉันล่ะมั้ง ถึงได้ชอบโผล่มาทุกครั้งที่ฉันอยู่คนเดียวแบบนี้ ว่าจบก็เข้ามานั่งที่มุมหนึ่งในซุ้มทันที ซึ่งห่างกับฉันอยู่พอสมควร มาถึงก็ชวนคุยสองสามคำ จากนั้นก็ลุกหายไปเฉยๆ โดยเหตุการณ์วันนั้นก็เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ฉันจำมาจนถึงทุกวันนี้
ความจริงแล้วไอ้เรื่องขอนั่งด้วยก็ไม่ใช่หนนี้หนแรก เมื่อครั้งในห้องเรียนก็ยังมีอีกหนึ่งหนที่ฉันนั่งอยู่ใกล้กระดาน และเหลือเก้าอี้ว่างอยู่ข้างๆ หนึ่งตัว ภัทรก็เดินมาและนั่งลงตรงนั้นก่อนจะหันบอกกันว่า “ขอนั่งตรงนี้นะ มันใกล้กระดานดี นั่งตรงนั้นมองไม่เห็น” ว่าจบก็หันไปมองกระดาน ทำทีเป็นตั้งใจเรียน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพียงการสร้างภาพหรือเปล่า แต่หนนั้นฉันก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดไปว่าภัทรคงจะอยากอยู่ใกล้กระดานจริงๆ
หลังจากที่มีเหตุการณ์ขอนั่งด้วยถึงสองครั้งสองครา ฉันก็เริ่มคิดนิดๆ แล้วแหละว่ามันมีนัยยะอะไรสำคัญๆ แอบแฝงอยู่รึเปล่า และก็ดูเหมือนว่าฉันเองกำลังหวั่นไหวนิดๆ ในทุกการกระทำของเขาที่สะสมเรื่อยมา
กีฬาโปรดอีกหนึ่งอย่างของฉันคือปิงปอง มันเป็นการละเล่นที่โปรดปรานกันทั้งกลุ่ม และดูเหมือนว่าจะอยู่ในช่วงกำลังฮิตสำหรับเพื่อนคนอื่นๆ ในห้องด้วย เมื่อถึงเวลาตกเย็นก็ต้องลากโต๊ะเขียนหนังสือมาต่อกันให้กลายเป็นโต๊ะปิงปอง และหาวัตถุบางอย่างมาวางกั้นระหว่างกลางให้กลายเป็นเน็ตกันทุกมุมของห้อง จนเสียงกระทบระหว่างลูกปิงปองกับไม้ดังแข่งกันไปหมด
ครั้งนี้ไม่รู้อีท่าไหนที่ฉันกำลังเล่นอยู่กับเพื่อนดีๆ ภัทรก็เอาตัวเข้ามาแทรกและดันเพื่อนของฉันให้ตกขอบจากโต๊ะไป แล้วให้ตัวเองมาแทนที่ในตำแหน่งนั้นหน้าตาเฉย
“ขอตีกับไอ้หมึกหน่อยตานึง” เขากล่าวในขณะที่สายตาจับจ้องมาที่ลูกปิงปองอย่างจดจ่อ เพื่อนของฉันจึงไม่ได้ว่าอะไรและหลบให้แต่โดยดี
เขาดูจะถนัดกีฬาชนิดนี้มากกว่า เพราะว่าฉันเสียเปรียบตั้งแต่เล่นลูกตบไม่เป็น ทั้งในทางส่งและในทางรับ และภาพรวมของปิงปองฉันก็ไม่ได้เล่นเก่งด้วย แค่ตีให้โดนลูกได้ก็เท่านั้น ยังไม่ทันขาดคำภัทรก็หวดลูกนั้นด้วยแรงตบท่าทียังดูสะใจไม่น้อย จนลูกปิงปองกระดอนลงโต๊ะและกระเด็นไปอย่างไร้ทิศทางที่ฉันไม่สามารถโต้ตอบกลับไปได้เลย ทำให้เขาได้คะแนนลูกนี้ไปอย่างง่ายดาย
“ตบอีกแล้วนะ! แกอ่อนให้เขาหน่อยไม่ได้เหรอ เขาเป็นผู้หญิงนะ” เสียงบ่นจากฉันดังขึ้นเมื่อรับลูกตบจากเขาไม่ได้อีกตามเคย แอบโวยวายเสียงดังใส่เล็กน้อยและงอแงอยู่ในที เพื่อขอความเห็นใจ
“ไม่ได้! เกมเป็นเกม ไปเก็บลูกมาเร็วๆ” เขาตอบกลับพลางส่งคำสั่งด้วยการใช้ไม้ปิงปองชี้ไปทางลูกสีส้มที่กำลังกระดอนไปไกล
ฉันไม่รู้ว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ ฉันจะจำทำไม มันเหมือนกับอะไรทุกอย่างที่ฉันพอจะจำได้ในเรื่องราวระหว่างฉันกับเขา ฉันจะเก็บเอามาไว้ในสมองให้หมด นั่นอาจเป็นเพราะฉันให้ความสำคัญกับมันมาก