http://www.thairath.co.th/content/572796
กสทช. รับ ทีวีดิจิตอลทั้ง 24 ช่อง ไม่สามารถประสบผลสำเร็จได้ทั้งหมด คาด รอดแค่ 10 ราย ยัน ภายใน 1 ปี ยังไม่เปิดประมูลใหม่ หากผู้ประกอบการคืนใบอนุญาต...
เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 59 พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและ กิจการโทรทัศน์ (กสท.) และ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยถึง แนวโน้มธุรกิจทีวีดิจิตอล ยอมรับว่า ทั้ง 24 ช่องทีวีดิจิตอล ไม่สามารถประสบผลสำเร็จทั้งหมด โดยคาดว่า อย่างน้อยมี 10 ช่องสามารถอยู่รอดและเป็นช่องทีวีในใจผู้บริโภคได้ โดยต้องรอดูอีกระยะหนึ่ง เพราะมีหลายช่องที่กำลังต่อสู้เพื่อให้อยู่รอดได้ ขณะเดียวกัน กสทช. ต้องช่วยให้ผู้ประกอบการอยู่รอดได้
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการแต่ละรายมีความสามารถแตกต่างกันไป รวมทั้งสายป่านยาวสั้นไม่เหมือนกัน เท่าที่สังเกตเห็นจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มแรกที่เป็นรายเดิมที่ประกอบธุรกิจอยู่แล้ว มี 6 ช่อง คือ ช่อง 3 (มี 3 ช่อง), ช่อง 7, ช่อง 9 (มี 2 ช่อง) กลุ่มนี้ยังพอมีกำไรอยู่ แต่กำไรลดลงเพราะถูกชิงส่วนแบ่งจากรายใหม่ที่เข้ามา
กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่เคยเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์รายใหญ่ สามารถยึดครองส่วนแบ่งตลาดในทีวีดิจิตอลได้ มีประมาณ 5-7 ช่อง ได้แก่ บมจ.เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ (WORK POINT), บมจ.อาร์เอส (RS), บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY), ทรูวิชั่นส์ เป็นต้น ซึ่งกลุ่มนี้คาดว่าจะเริ่มทำกำไรได้ภายในปีนี้
กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่เป็นรายใหญ่เฉพาะทาง ส่วนใหญ่เคยเป็นผู้ผลิตรายการข่าวมาก่อน ได้แก่ เนชั่นทีวี สปริงนิวส์ วอยซ์ทีวี และไบรท์ทีวี ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่าลำบากที่สุด เพราะก่อนเข้ามาประมูล มีประสบการณ์เพียงรายการข่าวเท่านั้น
ส่วนกลุ่มที่ 4 เป็นกลุ่มทุนธุรกิจที่มีสายป่านยาว และบางรายก็เคยทำคอนเทนต์มาก่อน ได้แก่ ไทยรัฐทีวี, นิวส์ทีวี, อัมรินทร์ทีวี และ พีพีทีวี เป็นต้น
"กลุ่มช่องเดิมถูกแบ่ง Market Share ออกไป ถ้าต้องการได้กลับมาเหมือนเดิมก็ต้องเพิ่มช่องเข้ามา อย่างช่อง 3 ที่มี ช่อง 3SD ช่อง 3 Family ช่อง 3 HD ส่วนช่อง 9 (MCOT) ได้ใหม่อีก 1 ช่อง (ช่องเด็ก) แต่ช่อง 7 เพิ่มช่องใหม่ไม่ได้ เค้กก็จะเล็กลง"
พ.อ.นที กล่าวด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจทีวีดิจิตอลเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือ ไต้หวัน ก็เหลือ 7-8 ช่อง ซึ่งการที่ กสทช.เปิดประมูล 24 ช่อง เป็นการเปิดโอกาสให้กับทุกราย แต่จากการกำหนดเวลาประมูลไว้ที่ 1 ชั่วโมง ทำให้ไม่ได้แข่งขันกันรุนแรงเหมือนการประมูลคลื่นความถี่โทรคมนาคม
"ปัญหาทีวีดิจิตอลเป็นเพราะมีซัพพลายมากถึง 4 เท่าตัว การเกิดมามากทำให้ช็อกตลาด แต่สุดท้ายระบบการแข่งขันจะคัดไปเอง ทุกคนลองผิดลองถูก แต่ละช่องก็พยายามหาสไตล์ของตัวเอง อาทิ ไทยรัฐทีวี นำการถ่ายทอดฟุตบอลไทย ส่วนแกรมมี่ หันไปจับกลุ่มวัยรุ่น เป็นต้น ซึ่งพยายามจับ Nich Market" พ.อ.นที กล่าว
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการก็ต้องปรับตัว เพราะมีต้นทุนค่าใบอนุญาต การลงทุนคอนเทนต์ เป็นภาระแต่ละช่อง โดยจะรอดูว่ามีรายใดที่ไม่สามารถจ่ายเงินค่าใบอนุญาตงวดที่ 3 ที่จะถึงกำหนดในเดือน พ.ค. 59 นี้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้หากผู้ประกอบการรายใดต้องการคืนใบอนุญาต ก็ต้องยึดแบงก์การันตีตามหลักเกณฑ์ และยืนยันว่า ภายใน 1 ปี จะยังไม่มีการเปิดประมูลรอบใหม่.
*** ทีวีดิจิตอลรอดแค่ 10 ราย! กสทช. ยัน ไม่ประมูลใหม่หากมีคืนไลเซ่นส์ ***
กสทช. รับ ทีวีดิจิตอลทั้ง 24 ช่อง ไม่สามารถประสบผลสำเร็จได้ทั้งหมด คาด รอดแค่ 10 ราย ยัน ภายใน 1 ปี ยังไม่เปิดประมูลใหม่ หากผู้ประกอบการคืนใบอนุญาต...
เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 59 พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและ กิจการโทรทัศน์ (กสท.) และ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยถึง แนวโน้มธุรกิจทีวีดิจิตอล ยอมรับว่า ทั้ง 24 ช่องทีวีดิจิตอล ไม่สามารถประสบผลสำเร็จทั้งหมด โดยคาดว่า อย่างน้อยมี 10 ช่องสามารถอยู่รอดและเป็นช่องทีวีในใจผู้บริโภคได้ โดยต้องรอดูอีกระยะหนึ่ง เพราะมีหลายช่องที่กำลังต่อสู้เพื่อให้อยู่รอดได้ ขณะเดียวกัน กสทช. ต้องช่วยให้ผู้ประกอบการอยู่รอดได้
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการแต่ละรายมีความสามารถแตกต่างกันไป รวมทั้งสายป่านยาวสั้นไม่เหมือนกัน เท่าที่สังเกตเห็นจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรกที่เป็นรายเดิมที่ประกอบธุรกิจอยู่แล้ว มี 6 ช่อง คือ ช่อง 3 (มี 3 ช่อง), ช่อง 7, ช่อง 9 (มี 2 ช่อง) กลุ่มนี้ยังพอมีกำไรอยู่ แต่กำไรลดลงเพราะถูกชิงส่วนแบ่งจากรายใหม่ที่เข้ามา
กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่เคยเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์รายใหญ่ สามารถยึดครองส่วนแบ่งตลาดในทีวีดิจิตอลได้ มีประมาณ 5-7 ช่อง ได้แก่ บมจ.เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ (WORK POINT), บมจ.อาร์เอส (RS), บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY), ทรูวิชั่นส์ เป็นต้น ซึ่งกลุ่มนี้คาดว่าจะเริ่มทำกำไรได้ภายในปีนี้
กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่เป็นรายใหญ่เฉพาะทาง ส่วนใหญ่เคยเป็นผู้ผลิตรายการข่าวมาก่อน ได้แก่ เนชั่นทีวี สปริงนิวส์ วอยซ์ทีวี และไบรท์ทีวี ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่าลำบากที่สุด เพราะก่อนเข้ามาประมูล มีประสบการณ์เพียงรายการข่าวเท่านั้น
ส่วนกลุ่มที่ 4 เป็นกลุ่มทุนธุรกิจที่มีสายป่านยาว และบางรายก็เคยทำคอนเทนต์มาก่อน ได้แก่ ไทยรัฐทีวี, นิวส์ทีวี, อัมรินทร์ทีวี และ พีพีทีวี เป็นต้น
"กลุ่มช่องเดิมถูกแบ่ง Market Share ออกไป ถ้าต้องการได้กลับมาเหมือนเดิมก็ต้องเพิ่มช่องเข้ามา อย่างช่อง 3 ที่มี ช่อง 3SD ช่อง 3 Family ช่อง 3 HD ส่วนช่อง 9 (MCOT) ได้ใหม่อีก 1 ช่อง (ช่องเด็ก) แต่ช่อง 7 เพิ่มช่องใหม่ไม่ได้ เค้กก็จะเล็กลง"
พ.อ.นที กล่าวด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจทีวีดิจิตอลเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือ ไต้หวัน ก็เหลือ 7-8 ช่อง ซึ่งการที่ กสทช.เปิดประมูล 24 ช่อง เป็นการเปิดโอกาสให้กับทุกราย แต่จากการกำหนดเวลาประมูลไว้ที่ 1 ชั่วโมง ทำให้ไม่ได้แข่งขันกันรุนแรงเหมือนการประมูลคลื่นความถี่โทรคมนาคม
"ปัญหาทีวีดิจิตอลเป็นเพราะมีซัพพลายมากถึง 4 เท่าตัว การเกิดมามากทำให้ช็อกตลาด แต่สุดท้ายระบบการแข่งขันจะคัดไปเอง ทุกคนลองผิดลองถูก แต่ละช่องก็พยายามหาสไตล์ของตัวเอง อาทิ ไทยรัฐทีวี นำการถ่ายทอดฟุตบอลไทย ส่วนแกรมมี่ หันไปจับกลุ่มวัยรุ่น เป็นต้น ซึ่งพยายามจับ Nich Market" พ.อ.นที กล่าว
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการก็ต้องปรับตัว เพราะมีต้นทุนค่าใบอนุญาต การลงทุนคอนเทนต์ เป็นภาระแต่ละช่อง โดยจะรอดูว่ามีรายใดที่ไม่สามารถจ่ายเงินค่าใบอนุญาตงวดที่ 3 ที่จะถึงกำหนดในเดือน พ.ค. 59 นี้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้หากผู้ประกอบการรายใดต้องการคืนใบอนุญาต ก็ต้องยึดแบงก์การันตีตามหลักเกณฑ์ และยืนยันว่า ภายใน 1 ปี จะยังไม่มีการเปิดประมูลรอบใหม่.