ก่อนอื่นต้องขออนุญาตออกตัวว่า รีวิวนี้ เป็นรีวิวครั้งแรกของผม แต่เพราะความประทับใจมันล้นจนไม่อยากจะเก็บไว้ในความทรงจำเพียงคนเดียว อย่าพึ่งถือสาว่าจะเป็นกระทู้แนะนำที่กินที่เที่ยวพิเศษๆอะไรที่เหนือกว่าไกด์บุ๊คเลยนะครับ ขอให้ถือว่าเป็นบันทึกการเดินทางของเพื่อนคนหนึ่งที่รักการเดินทางรักการถ่ายภาพ แล้วได้บรรยายความรู้สึก ณ ขณะนั้นเล่าสู่กันฟัง กับครั้งนี้ในเมืองแห่งมนต์เสน่ห์แห่งนี้…เกียวโต
ผมเคยมีโอกาสเดินทางมาญี่ปุ่นในหลายครั้ง และในหลายๆเมือง ซึ่งแต่ละเมืองจะมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน โดยในครั้งนี้การเดินทางของผมมีแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง Memoirs of a Geisha กับการตามหา Maiko-san ศิลปินกับวิถีดั้งเดิมที่ยังมีชีวิตแห่งย่าน Gion ย่านบันเทิงเก่าแก่ของเมืองเกียวโต ที่ปัจจุบันยังคงแสดงออกถึงอัตลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมได้เป็นอย่างดี
และเพื่อที่จะได้สัมผัสเกียวโตแบบไม่ต้องเบียดเสียดยื้อแย่งกับเพื่อนๆนักท่องเที่ยวให้มากนัก ผมจึงเลือกเดินทางในช่วงฤดูหนาว ฤดูกาลที่มีนักท่องเที่ยวน้อยที่สุดในรอบปีคือปลายเดือนมกราคม 2016 ช่วงเวลาที่มีแต่คนสงสัยว่าจะหาความงามจากอากาศที่น่าหดหู่นี้ได้อย่างไร แต่สำหรับผมเกียวโตในฤดูหนาวจับใจแบบนี้แหละมันทำให้การเดินทางของผมอบอุ่นขึ้นได้ไปทั้งหัวใจ "เอาล่ะ! ทำใจรับความหนาว ซุกมือใต้เสื้อโค้ทให้อุ่นๆ สูดหายใจลึกๆ แล้วค่อยๆเดินช้าๆ ตามผมมาเลยครับ”
"ไม่ต้องไปให้ครบทุกที่ แต่มีความสุขทุกที่ที่ได้ไป" เป้าประสงค์ง่ายๆในการวางแผนท่องเที่ยวของผมในทุกๆครั้ง คราวนี้ผมจึงเลือกพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางย่าน Gion เป็นเวลา 4 คืน เพื่อที่จะสัมผัสบรรยากาศในย่านบันเทิงของเมืองที่ให้ความเป็นญี่ปุ้น...ญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ ทั้งบ้านสไตล์ Machiya, สาวสวยในชุดกิโมโน กับวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมดั้งเดิม และวัฒนธรรมร่วมสมัยที่กำลังดำเนินไปในย่านแห่งนี้ และถ้าหากผมโชคดี คงจะได้พบกับพวกเธอ เหล่า Maiko-san และ Geiko-san บ้างก็ได้นะ
คืนแรก Kyoto Station
ประตูบานใหญ่ ก้าวแรกที่เปิดรับนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศ มาสู่เกียวโต อาคารขนาดใหญ่ตระหง่านสูง11ชั้น กว้างใหญ่เสียจน พร้อมจะทำให้คุณหลงทางได้ทุกเมื่อ
ผมนั่งชิงคันเซน 'Nozomi' มาจากเมืองโกเบ (Kobe, Hyogo) เมื่อมาถึงก็เวลาจวนโพล้เพล้ ไฟฟ้าแสงสีร้านรวงต่างๆก็เปิดไฟให้ยลโฉมความงามยามราตรีของเมืองดูดึงดูดใจ เหมือนเจ้าสาวที่แต่งหน้ารอเจ้าบ่าวเข้าพิธีวิวาห์ เมื่อรถไฟเทียบชานชาลา ท้องมันก็ร้องขึ้นมากะทันหัน คงต้องฝากท้องที่นี่แล้วหล่ะ ผมเดินลากกระเป๋าใบใหญ่ ออกจากสถานีฝั่ง Kyoto Tower ที่สูงเด่นสะดุดตา และเป็นจุดที่หาทางไปต่อรถบัส ต่อรถแท็กซี่ ได้ง่ายที่สุด ผมเดินหาร้านอาหารอยู่สักพักจนเริ่มเหนื่อย จึงได้ตัดสินใจ ทานอาหารในห้างใต้ดิน Porta ผมเรียก "พอตา"ละกัน หลังจากที่ผมได้ทดลองทานมาหลายๆวัน และหลายๆขนาน ผมก็พบว่าร้านอาหารในพอตาอร่อยดีและราคาไม่แพง รับประทานได้ไม่รู้เบื่อเลยทีเดียว แล้วที่ขาดไม่ได้สำหรับท่านที่ทานหมู ร้านหมูทอดในตำนานบนชั้น 11ของสถานี อร่อยใช้ได้อย่างที่เค้าร่ำลือกันจริงๆขอบอก
จาก นั้นผมก็นั่งรถบัส สาย 206 เพื่อที่จะไปลงที่ป้ายรถบัส Gion นั่งยาวไปเลยครับ 230 เยน ผมว่าบัส ในเกียวโตนั้นเดินทางง่าย ง่ายพอๆกับฮ่องกง มีป้ายบอกสถานีต่อไปเป็นภาษาอังกฤษ ไม่มีจอดป้ายแถมป้ายให้ปวดหัวใจ คนขับก็ดูดีมีมารยาทและมีน้ำใจกับนักท่องเที่ยวเบลอๆอย่างผมเสมอ ไม่นานนักรถบัสก็จอดเทียบป้าย Gion โรงแรมของผมก็อยู่ตรงหน้านี้เอง เช็คอินเรียบร้อย ก็ได้เวลาคึกคักท่องราตรีย่านบันเทิงสายประวัติศาสตร์กันแล้ว นะวัยรุ่น ...สมองผมคิดเช่นนั้นจริงๆ แต่ร่างกายผมก็เผลอหลับไปในราตรีนั้น ด้วยความอ่อนล้าจากการเดินทางเมื่อใดไม่รู้…
เช้าวันที่1 แสงเช้า เสาโทริอิสีแสด กับจิ้งจอกสีขาว
เช้าวันที่1 แสงเช้า เสาโทริอิสีแสด กับจิ้งจอกสีขาว
ตึ่ง-ติง-ติง-ตึ้ง-ตึง เสียงนาฬิกาจากโทรศัพท์ ฉุดผมให้ตื่นจากโลกแห่งความฝัน ในเวลาตี 5 ของเช้าที่หนาวเหน็บ ผมพุ่งทะยานไปอาบน้ำอย่างรวดเร็ว เพราะเช้านี้ ผมมีแผนในการเดินทางไปยัง สถานที่ที่ผมอยากไปมานาน เสาโทรริอิสีแสด ที่ตราตรึงใจจากภาพยนตร์ Memoirs of a Geisha ฉากที่เด็กน้อยชิโย่ วิ่งผ่านเสาโทริอิสีแดงอมส้ม ต้นแล้วต้นเล่า ด้วยใจอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังเพื่อนำเงินเล็กน้อยที่ท่านประธานผู้ใจดีมอบให้ไปใส่กล่องทำบุญ อธิษฐานขอให้หนูได้เป็น Geisha และให้หนูได้พบกับท่านประธานอีกครั้ง
ผมสวมเครื่องกันหนาว และออกเดินช้าๆ มาจากโรงแรมขณะที่ฟ้าในฤดูหนาวยังมืดอยู่ ผ่านร้านค้าที่ยังไม่เปิดดูเงียบสงัดอย่างกับเมืองร้าง แตกต่างกับความคึกคักในเวลากลางวันสิ้นเชิง ลมหนาวที่พัดแรงริมสะพานข้ามแม่น้ำคาโมกาวะ (Kamogawa River) ทำเอาน้ำมูกไหล แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความมุ่งหวังของหนูน้อยชิโย่ เอ้ย! ของผม ที่จะไปรับแสงรุ่งอรุณที่ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริลดลงแต่อย่างใด ผมเดินไปยังสถานีรถไฟ Gion-Shijo เพื่อขึ้นรถไฟไปยังสถานี Fushimiinari ใช้เวลาเพียง 10 นาที ด้วยค่าโดยสาร 210เยน ผมก็มาถึง สถานี Fushimiinari จุดหมายปลายทาง
ร้านรวงระหว่างทางไปศาลเจ้าที่เงียบสงัด มีผู้คนบางตา บ้างก็มาวิ่งออกกำลังกาย บ้างก็ออกเดินเล่นรับลมหนาว บ้างก็กวาดลานศาลเจ้า ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบ Slowlife ของจริง ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ เป็นศาลเจ้าที่สร้างถวายแด่เทพอินาริ เทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์และกสิกรรม มีผู้นำสารเป็นจิ้งจอกขาว สิ่งแรกที่ผู้มาเช้าอย่างผมจะทำคือถ่ายภาพรับแสงเช้ากับเสาโทริอิขนาดใหญ่ที่ว่ากันว่า โตโยมิ ฮิเดโยชิ (Toyomi Hideyoshi) ซามุไรคนสำคัญในอดีต ได้บริจาคประตูโทริอิ ขนาดใหญ่ วางไว้ที่ด้านหน้าทางเข้าศาลเจ้า ซึ่งน่าจะเป็นต้นนี้กระมัง
จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศต้องการเข้ามาเยี่ยมชมคือ เสาโทริอิสีแสด ที่มีเป็นหมื่นๆ ต้น เนื่องจากบริษัทต่างๆของญี่ปุ่นนิยมบริจาคโทริอิ เพื่อความเป็นสิริมงคลและความมั่งคั่งทางการค้า จึงทำให้มีประตูโทริอิมากมาย เรียงรายไปจนถึงยอดเขา
นี่ก็เริ่มสายพอสมควร ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินสำรวจต่อไปแล้ว ไม่เช่นนั้น ผมคงจะต้องร่วมออกเดินขึ้นไปพร้อมกับคณะผู้เดินทางคนอื่นๆ แล้วคงจะต้องเบียดเสียดขอแย่งมุมถ่ายภาพกับเพื่อนร่วมเดินทางคนอื่นๆเป็นแน่
ความรู้สึกของเด็กน้อยชิโย่ จากเรื่อง Memoirs of a Geisha ในฉากวิ่งผ่านเสาโทริอิ คงเป็นเช่นนี้กระมัง
เดี๋ยวมาต่อนะครับ
[CR] Kyoto Slow Walker, เกียวโต เดินช้า ท้าลมหนาว
ก่อนอื่นต้องขออนุญาตออกตัวว่า รีวิวนี้ เป็นรีวิวครั้งแรกของผม แต่เพราะความประทับใจมันล้นจนไม่อยากจะเก็บไว้ในความทรงจำเพียงคนเดียว อย่าพึ่งถือสาว่าจะเป็นกระทู้แนะนำที่กินที่เที่ยวพิเศษๆอะไรที่เหนือกว่าไกด์บุ๊คเลยนะครับ ขอให้ถือว่าเป็นบันทึกการเดินทางของเพื่อนคนหนึ่งที่รักการเดินทางรักการถ่ายภาพ แล้วได้บรรยายความรู้สึก ณ ขณะนั้นเล่าสู่กันฟัง กับครั้งนี้ในเมืองแห่งมนต์เสน่ห์แห่งนี้…เกียวโต
ผมเคยมีโอกาสเดินทางมาญี่ปุ่นในหลายครั้ง และในหลายๆเมือง ซึ่งแต่ละเมืองจะมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน โดยในครั้งนี้การเดินทางของผมมีแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง Memoirs of a Geisha กับการตามหา Maiko-san ศิลปินกับวิถีดั้งเดิมที่ยังมีชีวิตแห่งย่าน Gion ย่านบันเทิงเก่าแก่ของเมืองเกียวโต ที่ปัจจุบันยังคงแสดงออกถึงอัตลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมได้เป็นอย่างดี
และเพื่อที่จะได้สัมผัสเกียวโตแบบไม่ต้องเบียดเสียดยื้อแย่งกับเพื่อนๆนักท่องเที่ยวให้มากนัก ผมจึงเลือกเดินทางในช่วงฤดูหนาว ฤดูกาลที่มีนักท่องเที่ยวน้อยที่สุดในรอบปีคือปลายเดือนมกราคม 2016 ช่วงเวลาที่มีแต่คนสงสัยว่าจะหาความงามจากอากาศที่น่าหดหู่นี้ได้อย่างไร แต่สำหรับผมเกียวโตในฤดูหนาวจับใจแบบนี้แหละมันทำให้การเดินทางของผมอบอุ่นขึ้นได้ไปทั้งหัวใจ "เอาล่ะ! ทำใจรับความหนาว ซุกมือใต้เสื้อโค้ทให้อุ่นๆ สูดหายใจลึกๆ แล้วค่อยๆเดินช้าๆ ตามผมมาเลยครับ”
"ไม่ต้องไปให้ครบทุกที่ แต่มีความสุขทุกที่ที่ได้ไป" เป้าประสงค์ง่ายๆในการวางแผนท่องเที่ยวของผมในทุกๆครั้ง คราวนี้ผมจึงเลือกพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางย่าน Gion เป็นเวลา 4 คืน เพื่อที่จะสัมผัสบรรยากาศในย่านบันเทิงของเมืองที่ให้ความเป็นญี่ปุ้น...ญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ ทั้งบ้านสไตล์ Machiya, สาวสวยในชุดกิโมโน กับวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมดั้งเดิม และวัฒนธรรมร่วมสมัยที่กำลังดำเนินไปในย่านแห่งนี้ และถ้าหากผมโชคดี คงจะได้พบกับพวกเธอ เหล่า Maiko-san และ Geiko-san บ้างก็ได้นะ
คืนแรก Kyoto Station
ประตูบานใหญ่ ก้าวแรกที่เปิดรับนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศ มาสู่เกียวโต อาคารขนาดใหญ่ตระหง่านสูง11ชั้น กว้างใหญ่เสียจน พร้อมจะทำให้คุณหลงทางได้ทุกเมื่อ
ผมนั่งชิงคันเซน 'Nozomi' มาจากเมืองโกเบ (Kobe, Hyogo) เมื่อมาถึงก็เวลาจวนโพล้เพล้ ไฟฟ้าแสงสีร้านรวงต่างๆก็เปิดไฟให้ยลโฉมความงามยามราตรีของเมืองดูดึงดูดใจ เหมือนเจ้าสาวที่แต่งหน้ารอเจ้าบ่าวเข้าพิธีวิวาห์ เมื่อรถไฟเทียบชานชาลา ท้องมันก็ร้องขึ้นมากะทันหัน คงต้องฝากท้องที่นี่แล้วหล่ะ ผมเดินลากกระเป๋าใบใหญ่ ออกจากสถานีฝั่ง Kyoto Tower ที่สูงเด่นสะดุดตา และเป็นจุดที่หาทางไปต่อรถบัส ต่อรถแท็กซี่ ได้ง่ายที่สุด ผมเดินหาร้านอาหารอยู่สักพักจนเริ่มเหนื่อย จึงได้ตัดสินใจ ทานอาหารในห้างใต้ดิน Porta ผมเรียก "พอตา"ละกัน หลังจากที่ผมได้ทดลองทานมาหลายๆวัน และหลายๆขนาน ผมก็พบว่าร้านอาหารในพอตาอร่อยดีและราคาไม่แพง รับประทานได้ไม่รู้เบื่อเลยทีเดียว แล้วที่ขาดไม่ได้สำหรับท่านที่ทานหมู ร้านหมูทอดในตำนานบนชั้น 11ของสถานี อร่อยใช้ได้อย่างที่เค้าร่ำลือกันจริงๆขอบอก
จาก นั้นผมก็นั่งรถบัส สาย 206 เพื่อที่จะไปลงที่ป้ายรถบัส Gion นั่งยาวไปเลยครับ 230 เยน ผมว่าบัส ในเกียวโตนั้นเดินทางง่าย ง่ายพอๆกับฮ่องกง มีป้ายบอกสถานีต่อไปเป็นภาษาอังกฤษ ไม่มีจอดป้ายแถมป้ายให้ปวดหัวใจ คนขับก็ดูดีมีมารยาทและมีน้ำใจกับนักท่องเที่ยวเบลอๆอย่างผมเสมอ ไม่นานนักรถบัสก็จอดเทียบป้าย Gion โรงแรมของผมก็อยู่ตรงหน้านี้เอง เช็คอินเรียบร้อย ก็ได้เวลาคึกคักท่องราตรีย่านบันเทิงสายประวัติศาสตร์กันแล้ว นะวัยรุ่น ...สมองผมคิดเช่นนั้นจริงๆ แต่ร่างกายผมก็เผลอหลับไปในราตรีนั้น ด้วยความอ่อนล้าจากการเดินทางเมื่อใดไม่รู้…
เช้าวันที่1 แสงเช้า เสาโทริอิสีแสด กับจิ้งจอกสีขาว
เช้าวันที่1 แสงเช้า เสาโทริอิสีแสด กับจิ้งจอกสีขาว
ตึ่ง-ติง-ติง-ตึ้ง-ตึง เสียงนาฬิกาจากโทรศัพท์ ฉุดผมให้ตื่นจากโลกแห่งความฝัน ในเวลาตี 5 ของเช้าที่หนาวเหน็บ ผมพุ่งทะยานไปอาบน้ำอย่างรวดเร็ว เพราะเช้านี้ ผมมีแผนในการเดินทางไปยัง สถานที่ที่ผมอยากไปมานาน เสาโทรริอิสีแสด ที่ตราตรึงใจจากภาพยนตร์ Memoirs of a Geisha ฉากที่เด็กน้อยชิโย่ วิ่งผ่านเสาโทริอิสีแดงอมส้ม ต้นแล้วต้นเล่า ด้วยใจอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังเพื่อนำเงินเล็กน้อยที่ท่านประธานผู้ใจดีมอบให้ไปใส่กล่องทำบุญ อธิษฐานขอให้หนูได้เป็น Geisha และให้หนูได้พบกับท่านประธานอีกครั้ง
ผมสวมเครื่องกันหนาว และออกเดินช้าๆ มาจากโรงแรมขณะที่ฟ้าในฤดูหนาวยังมืดอยู่ ผ่านร้านค้าที่ยังไม่เปิดดูเงียบสงัดอย่างกับเมืองร้าง แตกต่างกับความคึกคักในเวลากลางวันสิ้นเชิง ลมหนาวที่พัดแรงริมสะพานข้ามแม่น้ำคาโมกาวะ (Kamogawa River) ทำเอาน้ำมูกไหล แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความมุ่งหวังของหนูน้อยชิโย่ เอ้ย! ของผม ที่จะไปรับแสงรุ่งอรุณที่ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริลดลงแต่อย่างใด ผมเดินไปยังสถานีรถไฟ Gion-Shijo เพื่อขึ้นรถไฟไปยังสถานี Fushimiinari ใช้เวลาเพียง 10 นาที ด้วยค่าโดยสาร 210เยน ผมก็มาถึง สถานี Fushimiinari จุดหมายปลายทาง
ร้านรวงระหว่างทางไปศาลเจ้าที่เงียบสงัด มีผู้คนบางตา บ้างก็มาวิ่งออกกำลังกาย บ้างก็ออกเดินเล่นรับลมหนาว บ้างก็กวาดลานศาลเจ้า ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบ Slowlife ของจริง ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ เป็นศาลเจ้าที่สร้างถวายแด่เทพอินาริ เทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์และกสิกรรม มีผู้นำสารเป็นจิ้งจอกขาว สิ่งแรกที่ผู้มาเช้าอย่างผมจะทำคือถ่ายภาพรับแสงเช้ากับเสาโทริอิขนาดใหญ่ที่ว่ากันว่า โตโยมิ ฮิเดโยชิ (Toyomi Hideyoshi) ซามุไรคนสำคัญในอดีต ได้บริจาคประตูโทริอิ ขนาดใหญ่ วางไว้ที่ด้านหน้าทางเข้าศาลเจ้า ซึ่งน่าจะเป็นต้นนี้กระมัง
จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศต้องการเข้ามาเยี่ยมชมคือ เสาโทริอิสีแสด ที่มีเป็นหมื่นๆ ต้น เนื่องจากบริษัทต่างๆของญี่ปุ่นนิยมบริจาคโทริอิ เพื่อความเป็นสิริมงคลและความมั่งคั่งทางการค้า จึงทำให้มีประตูโทริอิมากมาย เรียงรายไปจนถึงยอดเขา
นี่ก็เริ่มสายพอสมควร ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินสำรวจต่อไปแล้ว ไม่เช่นนั้น ผมคงจะต้องร่วมออกเดินขึ้นไปพร้อมกับคณะผู้เดินทางคนอื่นๆ แล้วคงจะต้องเบียดเสียดขอแย่งมุมถ่ายภาพกับเพื่อนร่วมเดินทางคนอื่นๆเป็นแน่
ความรู้สึกของเด็กน้อยชิโย่ จากเรื่อง Memoirs of a Geisha ในฉากวิ่งผ่านเสาโทริอิ คงเป็นเช่นนี้กระมัง
เดี๋ยวมาต่อนะครับ