ส่วนที่หนึ่ง
http://ppantip.com/topic/34733825
ถนนสีหม่น ความฝัน และจิตวิญญาณ (ส่วนที่สอง)
โดย …. Lady Star
==========* ========== *==========
ดรุณีน้อยสาวเท้าก้าวเดินบนถนนสีหม่นซึ่งทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา แม้ไม่รู้ว่าอีกไกลเท่าไหร่จึงจะถึงจุดหมายปลายทางที่วาดฝันไว้ ความฝันที่ถูกยัดจนเต็มกระเป๋าเป้ จิตวิญญาณที่หล่อหลอมให้เธอออกไล่ล่าฝันทั้งหมดทั้งมวลพาร่างน้อยๆมายืนอยู่บนถนนสีหม่นแห่งนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
โอ๊ย.. ดรุณีน้อยร้องขึ้นอย่างเจ็บปวดเมื่อถูกของแข็งบางอย่างพุ่งมากระทบศีรษะเธอ ดรุณีน้อยหันแลซ้ายขวาเพื่อหาที่มาของก้อนหินลึกลับนี้
โอ๊ย..ดรุณีน้อยร้องขึ้นอีกครั้งเมื่อก้อนหินอีกสามก้อนพุ่งมากระทบศีรษะของเธออย่างต่อเนื่องแบบไม่ลดละ
“หยุดนะ” ดรุณีน้อยตะโกนออกไป ทั้งๆที่ยังไม่เห็นตัวคนปาก้อนหินใส่เธอ
“ฮ่าๆ สมน้ำหน้า อยากมาเดินเล่นแถวนี้ดีนัก” เสียงหนึ่งดังมาจากพุ่มหญ้าฝั่งตรงข้าม ไม่นานร่างของคนปาก้อนหินก็โผล่พ้นพุ่มหญ้าออกมา
“เธอมาปาก้อนหินใส่ฉันทำไม ฉันไปทำอะไรให้เธอ” ดรุณีน้อยท้าวสะเอวหันมาประจันหน้ากับคนปาก้อนหินประกายตาดุเดือดเอาเรื่อง
“ฉันคืออุปสรรค ฉันมีหน้าที่ขัดขวางทุกคนไม่ให้เดินทางไปถึงถนนสีสดใส และฉันก็จะขัดขวางเธอเช่นกัน” คนปาก้อนหินแจ้งชื่อเสียงเรียงนามพร้อมจุดประสงค์อย่างครบถ้วน พร้อมส่งใบหน้ายิ้มแย้มและเสียงหัวเราะร่าอย่างมีความสุขมอบให้ดรุณีน้อย
“เธอว่าเธอขัดขวางทุกคนหรือ ฉันเห็นลุงรถหรูกับสิงห์นักปั่นมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางแล้ว ไม่เห็นอุปสรรคใดๆมาขวางทางเลย เธออย่ามาขี้โม้หน่อยเลย เธอมันแค่ตัวป่วน ทำได้มากแค่ป่วนคนอื่นไปวันๆ” ดรุณีน้อยเชิดหน้าพูดอย่างไม่เกรงกลัวอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้า
“หน็อยแน่! นังหนูปากเสีย หาว่าฉันเป็นแค่ตัวป่วนรึ จะบอกอะไรให้นะไอ้สองคนที่เธอว่าตอนนี้ก็ติดแหง็กอยู่ถนนเส้นนี้แหละไปไหนไม่ได้แล้ว ลุงรถหรูน้ำมันหมดฉันเป็นคนเจาะถังน้ำมันให้มันรั่วออกจนหมด คงขับรถไปต่อไม่ได้แล้ว จะเดินก็คงเดินไม่ไหวเพราะแก่มากแล้ว ได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ในรถหรูไม่นานคงสูญเสียจิตวิญญาณของตัวเองให้ถนนเส้นนี้” อุปสรรคพูดอย่างภาคภูมิใจในผลงานตัวเอง
ดรุณีน้อยถอดสีหน้าประกายตาที่เคยสดใสเศร้าสลดหมองหม่นขึ้นมาทันที ร่างน้อยเริ่มสั่นริกๆเมื่อนึกถึงภาพมนุษย์ที่มีแต่ร่างกายแต่ไร้จิตวิญญาณ เธอเลื่อนมือทั้งสองมาลูบแขนตัวเอง ก่อนจะเอ่ยถามถึงอีกคน
“แล้วสิงห์นักปั่นล่ะ คนนั้นท่าทางใจดีอยู่นะ ฉันว่าเขาหล่อด้วย เธอคงไม่ได้แกล้งอะไรเขาใช่ไหม”
“หึหึ … โอ๊ย นังหนูจะบอกอะไรให้นะ ถึงจะสวยจะหล่อจะใจดีจะรวยล้นฟ้าก็ต้องผ่านอุปสรรคอย่างฉันไปก่อนทั้งนั้นอยู่ที่ว่าใครจะผ่านไปได้เท่านั้นเอง ใครผ่านไปไม่ได้ก็ตายห่-าอยู่นี่แหละ”
“ฉันไม่ชอบคำว่า ตายห่-า หยาบคายมากช่วยพูดคำอื่นที่ดูดีกว่านี้ได้ป่ะ” ดรุณีน้อยเอ่ยน้ำเสียงแสดงความจริงจัง ทำเอาอุปสรรคที่ยืนฟังถึงกับสะดุ้งโยง มันจะอะไรนักหนากับคำว่าตายห่-า เกิดมาไม่เคยมีใครมาขอให้เขาเปลี่ยนคำพูด เพราะเขาคืออุปสรรค อุปสรรคคือความยุ่งยากของผู้คน แต่ตอนนี้เขาเองกลับรู้สึกยุ่งยากกับดรุณีน้อยนางนี้
“ช่างมันเถอะน่า ฉันจะพูดแบบนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ” อุปสรรคพูดตัดบทเพื่อเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถาม ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“สิงห์นักปั่นนะรึ ตอนนี้ก็มั่วแต่ลุ่มหลงภาพมายา ที่ตัวเองสร้างขึ้นกำลังเสพสุขกับสิ่งจอมปลอมนั่นจนลืมไปแล้วว่าตัวเองต้องออกเดินไปให้ถึงถนนสีสดใส หึหึ!! สะใจฉันยิ่งนัก อยากจิตใจอ่อนแอเอง ช่วยไม่ได้” อุปสรรคพูดเสียงดังฟังชัดเจน ใบหน้าและแววตาเป็นประกายสว่างเจิดจ้า
“เธอมันคนใจร้าย ชอบรังแกคนอื่น” ดรุณีน้อยตะโกนใส่หน้าอุปสรรค แววตาเกรี้ยวโกรธแข็งขึง
“เฮอะ! ฉันไม่สนใจคำด่าของเธอหรอก มันเป็นหน้าที่ฉัน เธอก็จะโดนฉันเล่นงานเหมือนกันเตรียมตัวรับมือได้เลย” พูดจบอุปสรรคก็พุ่งกระโจนใส่ดรุณีน้อยอย่างรวดเร็วราวกับอสูรร้ายที่กำลังตะครุบเหยื่ออันโอชะ
แต่ด้วยความที่ดรุณีน้อยมีรูปร่างผอมตัวเล็กจึงมีความว่องไวในการหลบหลีกการโจมตีจากอีกฝ่าย ดรุณีน้อยกระโดดหลบเงื้อมมืออุปสรรคไปได้อย่างหวุดหวิด และไม่รอช้าเธอออกตัววิ่งหนีอย่างรวดเร็ว โดยมีอุปสรรควิ่งตามมาติดๆ
“เธอหนีฉันไม่พ้นหรอกนังหนู” อุปสรรคตะโกนไล่หลัง พร้อมกับขว้างก้อนหินชุดใหญ่ใส่กลางศีรษะดรุณีน้อย
ฉับพลันอุปสรรคก็ตามมาจนทัน อุปสรรคดึงกระชากกระเป๋าเป้สีชมพูสุดแรงส่งผลให้ดรุณีน้อยล้มตึงก้นจ้ำเบ้า ดรุณีน้อยร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าบิดเบี้ยวน้ำตาคลอเบ้าอย่างสุดจะห้ามได้ มือข้างหนึ่งของเธอปักทิ่มไปโดนก้อนหิน ยกฝ่ามือขึ้นมาดูก็เห็นเลือดสีแดงไหลออกมา ดรุณีน้อยเบือนหน้าหนีเพราะกลัวเลือด เธอปาดน้ำตาจนแห้งสนิทก่อนจะลุกขึ้นยืนประจันหน้าอุปสรรคแบบไม่เกรงกลัว
“เธอทำแบบนี้ทำไม” ดรุณีน้อยเอ่ยถามเสียงขุ่น
“ทำแบบนี้แล้วจะทำไม ฉันคืออุปสรรคนะ ทำอะไรก็ไม่ผิดนะเฟ้ยรู้ไว้ซะ นังหนู” อุปสรรคตอบกลับเสียงดังพร้อมกับใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าผากดรุณีน้อยสามที พูดจบก็ดึงกระเป๋าเป้สีชมพูออกมาจากตัวดรุณีน้อยก่อนจะวิ่งหนีหายไปยังกลุ่มหมอกควันสีขาวเบื้องหน้า
“เฮ้ย! นั่นมันกระเป๋าฉันนะ” ดรุณีน้อยร้องตะโกนขึ้น เธอออกตัววิ่งตามอุปสรรคแต่วิ่งได้ไม่นานเธอก็สะดุดขาตัวเองหกล้มไปกองที่พื้นอีกครั้ง ดรุณีน้อยส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด มือหนึ่งกุมข้อเท้าด้านซ้ายไว้ เมื่ออาการเจ็บเริ่มเบาลงเธอจึงคลายมือออกจนเห็นรอยสีเขียวคล้ำที่ข้อเท้า มาเท้าแพลงอะไรตอนนี้ ดรุณีน้อยสบถคนเดียว ก่อนจะค่อยๆจับเท้าตัวเองดู ก็พบว่ายิ่งเคลื่อนไหวยิ่งทำให้เธอเจ็บมากขึ้น
ดรุณีน้อยนั่งพ่นลมหายใจแรงๆด้วยความหงุดหงิด นึกหาหนทางไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เสบียงอาหาร ยารักษาโรค และความฝันถูกยัดอยู่ในกระเป๋าเป้สีชมพูใบนั้น แต่ตอนนี้ถูกช่วงชิงไปต่อหน้าต่อตา ดรุณีนั่งก้มหน้ามองพื้นมือทั้งสองกุมขมับตัวเอง แม้อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก หมดสิ้นกันความฝันของเธอถูกขโมย ได้แต่นั่งซึมเศร้ามองพื้นถนนแตกระแหง เนิ่นนานเหลือเกินที่เธอนั่งก้มหน้ามองพื้นถนน ความสิ้นหวังไร้หนทางไปต่อเริ่มเข้ามาเกาะกุมตัวเธอ ไม่นานน้ำตาหลายหยดก็ร่วงหล่นลงบนพื้นถนนสีหม่น และผ่านไปเนิ่นนานเหลือเกินที่เธอนั่งสะอึกสะอื้นร้องไห้ กลืนกินน้ำตาตัวเอง
โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้มีกลุ่มหมอกควันสีขาวเคลื่อนตัวมาปกคลุมเธอแล้ว….
ถนนสีหม่นไม่มีกลางวันไม่มีกลางคืน ไม่มีหมู่ก้อนเมฆสีสันสดใส มีเพียงท้องฟ้าสีเทาปกคลุมไปตลอดเส้นทางของถนนสายนี้ กลุ่มหมอกควันสีขาวลอยฟุ้งกระจายเต็มท้องถนนราวกับควันไฟที่เกิดจากการเผาไหม้กองฟาง
หมอกควันสีขาวบนถนนสีหม่นนี้ไม่มีกลิ่นเหม็นจากการเผาไหม้ เป็นหมอกควันที่เกิดขึ้นเองไม่มีใครรู้ว่ามันมีทิศทางมาจากไหน เพราะมันกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
ว่ากันว่าหมอกควันสีขาวนี้เกิดจากการร่ายคาถาของมารดำ สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นกลลวงหลอกล่อให้นักเดินทางคนล่าฝัน เดินทางไปผิดทิศ เป็นกำแพงแห่งภาพมายาสกัดกั้นเหล่านักเดินทางคนล่าฝันไม่ให้เดินทางไปถึงจุดหมายที่ตนตั้งใจเอาไว้ เมื่อพวกเขาหลงทางติดอยู่ในถนนสีหม่น มารดำจะค่อยๆกลืนกินความฝันและจิตวิญญาณของพวกเขาเหล่านั้นไปจนหมดสิ้น
และใครก็ตามที่ได้ยินเสียงประหลาดแว่วผ่านกลุ่มหมอกควันสีขาวดังก้องออกมา หันไปสนใจเสียงนั่นจนกระทั่งติดตามเสียงที่ได้ยิน พวกเขาเหล่านั้นจะติดอยู่บนถนนสีหม่นแห่งนี้ไปตลอดกาล
แต่เรื่องทั้งหมดนี้ดรุณีน้อยไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งก็เหมือนกับนักเดินทางคนล่าฝันทุกคนที่ไม่เคยรู้ พวกเขาจึงติดอยู่บนถนนสีหม่นเส้นนี้และไม่เคยได้ออกไปเล่าให้ใครได้ฟังอีกเลย
ดรุณีน้อยปาดน้ำตาตัวจนแห้งสนิท เงยหน้ามองไปยังถนนเบื้องหน้าซึ่งถูกหมอกควันสีขาวปกคลุมจนบดบังวิสัยทัศน์การมองเห็น เธอก้มลงดูนาฬิกาที่ข้อมือเพื่อดูเวลา แต่นาฬิกากลับไม่เดินเข็มสั้นค้างอยู่ที่เลขแปดส่วนเข็มยาวค้างอยู่ที่เลขหก
ดรุณีน้อยงุนงงกับเวลาที่หยุดนิ่งอยู่กับเดิม เธอเขย่าข้อมือตัวเองเพียงหวังว่านาฬิกาจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนาฬิกายังคงบอกเวลาที่แปดนาฬิกาสามสิบนาที
เพิ่งเปลี่ยนถ่านใหม่ ถ่านจะหมดได้ไงเนี่ย .. ดรุณีพึมพำกับตัวเองยังคงไม่คลายสงสัยกับนาฬิกาที่หยุดเดิน แต่เธอคงไม่รู้ว่านาฬิกาหยุดเดินตั้งแต่ก้าวแรกที่เธอเหยียบลงบนถนนสีหม่น ถนนเส้นนี้ไม่มีช่วงเวลา ไม่มีจุดเริ่มต้นของเวลาและไม่มีจุดสิ้นสุดของเวลา
ดรุณีน้อยผู้มาใหม่จะไปรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร เธอได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนนึกท้อแท้ในใจ หมดสิ้นแล้วความฝันที่ตั้งใจจะเดินไปถนนสีสดใส ขนาดนาฬิกายังไม่สามารถบอกเวลาเธอได้ว่าผ่านมาเนิ่นนานเท่าไรแล้ว
และเพียงไม่นานที่เธอก้มมองดูนาฬิกา ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังแว่วออกมาจากกลุ่มหมอกควันสีขาวเบื้องหน้า ทำให้ดรุณีน้อยตื่นจากภวังค์ เธอหันแลซ้ายขวาเพื่อหาต้นตอของเสียง
ฮือ…. ฮือ….
เสียงร้องไห้ดังขึ้นเรื่อยๆเหมือนจะจงใจให้ผู้ที่มองหาจับทิศทางเสียงให้ได้ และก็เป็นไปตามคาดดรุณีเมื่อรู้ว่าเสียงมาจากทิศทางใดเธอก็คลานตามเสียงร้องไห้นั่นไป คลานมาไม่นานดรุณีน้อยก็เจอกับหญิงสาวผมสีดำยาวสลวยจนถึงกลางหลังเธอสวมชุดเสื้อคลุมสีขาว นั่งชันเข่าก้มหน้าซบที่เข่า ร่างกายสั่นไหวและยังคงส่งเสียงร้องไห้อย่างน่าเวทนา
สายลมเย็นยะเยือกพัดปลิวมากระทบผิวกายชวนให้ขนลุกตั้งชัน ดรุณีน้อยเลื่อนมือมากอดอกตัวเองเพื่อเพิ่มความอบอุ่นก่อนจะลูบไล้แขนตัวเอง สายตาจ้องมองไปยังหญิงสาวลึกลับในชุดสีขาวเบื้องหน้า ……….
..........^_^..........
==========*==========
โปรดติดตามต่อส่วนที่สาม เสนอเป็นตอนจบค่ะ
ขอให้ทุกท่านผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายไปได้อย่างมีความสุขค่ะ
แด่…. ทุกคนที่มีความฝันอยู่ในหัวใจ^^
==========*==========
ขอขอบคุณ
คุณนลินมณี
คุณสายป่านสีชมพู
คุณLazy return
คุณแมวอ้วนตัวนั้น ชื่อO-iamBear
คุณturtle_cheesecake
คุณPsycho man
คุณSusisiri
และขอขอบคุณนักอ่านเงาทุกท่านด้วยค่ะ
ถนนสีหม่น ความฝัน และจิตวิญญาณ (ส่วนที่สอง)
ถนนสีหม่น ความฝัน และจิตวิญญาณ (ส่วนที่สอง)
โดย …. Lady Star
==========* ========== *==========
ดรุณีน้อยสาวเท้าก้าวเดินบนถนนสีหม่นซึ่งทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา แม้ไม่รู้ว่าอีกไกลเท่าไหร่จึงจะถึงจุดหมายปลายทางที่วาดฝันไว้ ความฝันที่ถูกยัดจนเต็มกระเป๋าเป้ จิตวิญญาณที่หล่อหลอมให้เธอออกไล่ล่าฝันทั้งหมดทั้งมวลพาร่างน้อยๆมายืนอยู่บนถนนสีหม่นแห่งนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
โอ๊ย.. ดรุณีน้อยร้องขึ้นอย่างเจ็บปวดเมื่อถูกของแข็งบางอย่างพุ่งมากระทบศีรษะเธอ ดรุณีน้อยหันแลซ้ายขวาเพื่อหาที่มาของก้อนหินลึกลับนี้
โอ๊ย..ดรุณีน้อยร้องขึ้นอีกครั้งเมื่อก้อนหินอีกสามก้อนพุ่งมากระทบศีรษะของเธออย่างต่อเนื่องแบบไม่ลดละ
“หยุดนะ” ดรุณีน้อยตะโกนออกไป ทั้งๆที่ยังไม่เห็นตัวคนปาก้อนหินใส่เธอ
“ฮ่าๆ สมน้ำหน้า อยากมาเดินเล่นแถวนี้ดีนัก” เสียงหนึ่งดังมาจากพุ่มหญ้าฝั่งตรงข้าม ไม่นานร่างของคนปาก้อนหินก็โผล่พ้นพุ่มหญ้าออกมา
“เธอมาปาก้อนหินใส่ฉันทำไม ฉันไปทำอะไรให้เธอ” ดรุณีน้อยท้าวสะเอวหันมาประจันหน้ากับคนปาก้อนหินประกายตาดุเดือดเอาเรื่อง
“ฉันคืออุปสรรค ฉันมีหน้าที่ขัดขวางทุกคนไม่ให้เดินทางไปถึงถนนสีสดใส และฉันก็จะขัดขวางเธอเช่นกัน” คนปาก้อนหินแจ้งชื่อเสียงเรียงนามพร้อมจุดประสงค์อย่างครบถ้วน พร้อมส่งใบหน้ายิ้มแย้มและเสียงหัวเราะร่าอย่างมีความสุขมอบให้ดรุณีน้อย
“เธอว่าเธอขัดขวางทุกคนหรือ ฉันเห็นลุงรถหรูกับสิงห์นักปั่นมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางแล้ว ไม่เห็นอุปสรรคใดๆมาขวางทางเลย เธออย่ามาขี้โม้หน่อยเลย เธอมันแค่ตัวป่วน ทำได้มากแค่ป่วนคนอื่นไปวันๆ” ดรุณีน้อยเชิดหน้าพูดอย่างไม่เกรงกลัวอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้า
“หน็อยแน่! นังหนูปากเสีย หาว่าฉันเป็นแค่ตัวป่วนรึ จะบอกอะไรให้นะไอ้สองคนที่เธอว่าตอนนี้ก็ติดแหง็กอยู่ถนนเส้นนี้แหละไปไหนไม่ได้แล้ว ลุงรถหรูน้ำมันหมดฉันเป็นคนเจาะถังน้ำมันให้มันรั่วออกจนหมด คงขับรถไปต่อไม่ได้แล้ว จะเดินก็คงเดินไม่ไหวเพราะแก่มากแล้ว ได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ในรถหรูไม่นานคงสูญเสียจิตวิญญาณของตัวเองให้ถนนเส้นนี้” อุปสรรคพูดอย่างภาคภูมิใจในผลงานตัวเอง
ดรุณีน้อยถอดสีหน้าประกายตาที่เคยสดใสเศร้าสลดหมองหม่นขึ้นมาทันที ร่างน้อยเริ่มสั่นริกๆเมื่อนึกถึงภาพมนุษย์ที่มีแต่ร่างกายแต่ไร้จิตวิญญาณ เธอเลื่อนมือทั้งสองมาลูบแขนตัวเอง ก่อนจะเอ่ยถามถึงอีกคน
“แล้วสิงห์นักปั่นล่ะ คนนั้นท่าทางใจดีอยู่นะ ฉันว่าเขาหล่อด้วย เธอคงไม่ได้แกล้งอะไรเขาใช่ไหม”
“หึหึ … โอ๊ย นังหนูจะบอกอะไรให้นะ ถึงจะสวยจะหล่อจะใจดีจะรวยล้นฟ้าก็ต้องผ่านอุปสรรคอย่างฉันไปก่อนทั้งนั้นอยู่ที่ว่าใครจะผ่านไปได้เท่านั้นเอง ใครผ่านไปไม่ได้ก็ตายห่-าอยู่นี่แหละ”
“ฉันไม่ชอบคำว่า ตายห่-า หยาบคายมากช่วยพูดคำอื่นที่ดูดีกว่านี้ได้ป่ะ” ดรุณีน้อยเอ่ยน้ำเสียงแสดงความจริงจัง ทำเอาอุปสรรคที่ยืนฟังถึงกับสะดุ้งโยง มันจะอะไรนักหนากับคำว่าตายห่-า เกิดมาไม่เคยมีใครมาขอให้เขาเปลี่ยนคำพูด เพราะเขาคืออุปสรรค อุปสรรคคือความยุ่งยากของผู้คน แต่ตอนนี้เขาเองกลับรู้สึกยุ่งยากกับดรุณีน้อยนางนี้
“ช่างมันเถอะน่า ฉันจะพูดแบบนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ” อุปสรรคพูดตัดบทเพื่อเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถาม ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“สิงห์นักปั่นนะรึ ตอนนี้ก็มั่วแต่ลุ่มหลงภาพมายา ที่ตัวเองสร้างขึ้นกำลังเสพสุขกับสิ่งจอมปลอมนั่นจนลืมไปแล้วว่าตัวเองต้องออกเดินไปให้ถึงถนนสีสดใส หึหึ!! สะใจฉันยิ่งนัก อยากจิตใจอ่อนแอเอง ช่วยไม่ได้” อุปสรรคพูดเสียงดังฟังชัดเจน ใบหน้าและแววตาเป็นประกายสว่างเจิดจ้า
“เธอมันคนใจร้าย ชอบรังแกคนอื่น” ดรุณีน้อยตะโกนใส่หน้าอุปสรรค แววตาเกรี้ยวโกรธแข็งขึง
“เฮอะ! ฉันไม่สนใจคำด่าของเธอหรอก มันเป็นหน้าที่ฉัน เธอก็จะโดนฉันเล่นงานเหมือนกันเตรียมตัวรับมือได้เลย” พูดจบอุปสรรคก็พุ่งกระโจนใส่ดรุณีน้อยอย่างรวดเร็วราวกับอสูรร้ายที่กำลังตะครุบเหยื่ออันโอชะ
แต่ด้วยความที่ดรุณีน้อยมีรูปร่างผอมตัวเล็กจึงมีความว่องไวในการหลบหลีกการโจมตีจากอีกฝ่าย ดรุณีน้อยกระโดดหลบเงื้อมมืออุปสรรคไปได้อย่างหวุดหวิด และไม่รอช้าเธอออกตัววิ่งหนีอย่างรวดเร็ว โดยมีอุปสรรควิ่งตามมาติดๆ
“เธอหนีฉันไม่พ้นหรอกนังหนู” อุปสรรคตะโกนไล่หลัง พร้อมกับขว้างก้อนหินชุดใหญ่ใส่กลางศีรษะดรุณีน้อย
ฉับพลันอุปสรรคก็ตามมาจนทัน อุปสรรคดึงกระชากกระเป๋าเป้สีชมพูสุดแรงส่งผลให้ดรุณีน้อยล้มตึงก้นจ้ำเบ้า ดรุณีน้อยร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าบิดเบี้ยวน้ำตาคลอเบ้าอย่างสุดจะห้ามได้ มือข้างหนึ่งของเธอปักทิ่มไปโดนก้อนหิน ยกฝ่ามือขึ้นมาดูก็เห็นเลือดสีแดงไหลออกมา ดรุณีน้อยเบือนหน้าหนีเพราะกลัวเลือด เธอปาดน้ำตาจนแห้งสนิทก่อนจะลุกขึ้นยืนประจันหน้าอุปสรรคแบบไม่เกรงกลัว
“เธอทำแบบนี้ทำไม” ดรุณีน้อยเอ่ยถามเสียงขุ่น
“ทำแบบนี้แล้วจะทำไม ฉันคืออุปสรรคนะ ทำอะไรก็ไม่ผิดนะเฟ้ยรู้ไว้ซะ นังหนู” อุปสรรคตอบกลับเสียงดังพร้อมกับใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าผากดรุณีน้อยสามที พูดจบก็ดึงกระเป๋าเป้สีชมพูออกมาจากตัวดรุณีน้อยก่อนจะวิ่งหนีหายไปยังกลุ่มหมอกควันสีขาวเบื้องหน้า
“เฮ้ย! นั่นมันกระเป๋าฉันนะ” ดรุณีน้อยร้องตะโกนขึ้น เธอออกตัววิ่งตามอุปสรรคแต่วิ่งได้ไม่นานเธอก็สะดุดขาตัวเองหกล้มไปกองที่พื้นอีกครั้ง ดรุณีน้อยส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด มือหนึ่งกุมข้อเท้าด้านซ้ายไว้ เมื่ออาการเจ็บเริ่มเบาลงเธอจึงคลายมือออกจนเห็นรอยสีเขียวคล้ำที่ข้อเท้า มาเท้าแพลงอะไรตอนนี้ ดรุณีน้อยสบถคนเดียว ก่อนจะค่อยๆจับเท้าตัวเองดู ก็พบว่ายิ่งเคลื่อนไหวยิ่งทำให้เธอเจ็บมากขึ้น
ดรุณีน้อยนั่งพ่นลมหายใจแรงๆด้วยความหงุดหงิด นึกหาหนทางไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เสบียงอาหาร ยารักษาโรค และความฝันถูกยัดอยู่ในกระเป๋าเป้สีชมพูใบนั้น แต่ตอนนี้ถูกช่วงชิงไปต่อหน้าต่อตา ดรุณีนั่งก้มหน้ามองพื้นมือทั้งสองกุมขมับตัวเอง แม้อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก หมดสิ้นกันความฝันของเธอถูกขโมย ได้แต่นั่งซึมเศร้ามองพื้นถนนแตกระแหง เนิ่นนานเหลือเกินที่เธอนั่งก้มหน้ามองพื้นถนน ความสิ้นหวังไร้หนทางไปต่อเริ่มเข้ามาเกาะกุมตัวเธอ ไม่นานน้ำตาหลายหยดก็ร่วงหล่นลงบนพื้นถนนสีหม่น และผ่านไปเนิ่นนานเหลือเกินที่เธอนั่งสะอึกสะอื้นร้องไห้ กลืนกินน้ำตาตัวเอง
โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้มีกลุ่มหมอกควันสีขาวเคลื่อนตัวมาปกคลุมเธอแล้ว….
ถนนสีหม่นไม่มีกลางวันไม่มีกลางคืน ไม่มีหมู่ก้อนเมฆสีสันสดใส มีเพียงท้องฟ้าสีเทาปกคลุมไปตลอดเส้นทางของถนนสายนี้ กลุ่มหมอกควันสีขาวลอยฟุ้งกระจายเต็มท้องถนนราวกับควันไฟที่เกิดจากการเผาไหม้กองฟาง
หมอกควันสีขาวบนถนนสีหม่นนี้ไม่มีกลิ่นเหม็นจากการเผาไหม้ เป็นหมอกควันที่เกิดขึ้นเองไม่มีใครรู้ว่ามันมีทิศทางมาจากไหน เพราะมันกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
ว่ากันว่าหมอกควันสีขาวนี้เกิดจากการร่ายคาถาของมารดำ สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นกลลวงหลอกล่อให้นักเดินทางคนล่าฝัน เดินทางไปผิดทิศ เป็นกำแพงแห่งภาพมายาสกัดกั้นเหล่านักเดินทางคนล่าฝันไม่ให้เดินทางไปถึงจุดหมายที่ตนตั้งใจเอาไว้ เมื่อพวกเขาหลงทางติดอยู่ในถนนสีหม่น มารดำจะค่อยๆกลืนกินความฝันและจิตวิญญาณของพวกเขาเหล่านั้นไปจนหมดสิ้น
และใครก็ตามที่ได้ยินเสียงประหลาดแว่วผ่านกลุ่มหมอกควันสีขาวดังก้องออกมา หันไปสนใจเสียงนั่นจนกระทั่งติดตามเสียงที่ได้ยิน พวกเขาเหล่านั้นจะติดอยู่บนถนนสีหม่นแห่งนี้ไปตลอดกาล
แต่เรื่องทั้งหมดนี้ดรุณีน้อยไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งก็เหมือนกับนักเดินทางคนล่าฝันทุกคนที่ไม่เคยรู้ พวกเขาจึงติดอยู่บนถนนสีหม่นเส้นนี้และไม่เคยได้ออกไปเล่าให้ใครได้ฟังอีกเลย
ดรุณีน้อยปาดน้ำตาตัวจนแห้งสนิท เงยหน้ามองไปยังถนนเบื้องหน้าซึ่งถูกหมอกควันสีขาวปกคลุมจนบดบังวิสัยทัศน์การมองเห็น เธอก้มลงดูนาฬิกาที่ข้อมือเพื่อดูเวลา แต่นาฬิกากลับไม่เดินเข็มสั้นค้างอยู่ที่เลขแปดส่วนเข็มยาวค้างอยู่ที่เลขหก
ดรุณีน้อยงุนงงกับเวลาที่หยุดนิ่งอยู่กับเดิม เธอเขย่าข้อมือตัวเองเพียงหวังว่านาฬิกาจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนาฬิกายังคงบอกเวลาที่แปดนาฬิกาสามสิบนาที
เพิ่งเปลี่ยนถ่านใหม่ ถ่านจะหมดได้ไงเนี่ย .. ดรุณีพึมพำกับตัวเองยังคงไม่คลายสงสัยกับนาฬิกาที่หยุดเดิน แต่เธอคงไม่รู้ว่านาฬิกาหยุดเดินตั้งแต่ก้าวแรกที่เธอเหยียบลงบนถนนสีหม่น ถนนเส้นนี้ไม่มีช่วงเวลา ไม่มีจุดเริ่มต้นของเวลาและไม่มีจุดสิ้นสุดของเวลา
ดรุณีน้อยผู้มาใหม่จะไปรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร เธอได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนนึกท้อแท้ในใจ หมดสิ้นแล้วความฝันที่ตั้งใจจะเดินไปถนนสีสดใส ขนาดนาฬิกายังไม่สามารถบอกเวลาเธอได้ว่าผ่านมาเนิ่นนานเท่าไรแล้ว
และเพียงไม่นานที่เธอก้มมองดูนาฬิกา ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังแว่วออกมาจากกลุ่มหมอกควันสีขาวเบื้องหน้า ทำให้ดรุณีน้อยตื่นจากภวังค์ เธอหันแลซ้ายขวาเพื่อหาต้นตอของเสียง
ฮือ…. ฮือ….
เสียงร้องไห้ดังขึ้นเรื่อยๆเหมือนจะจงใจให้ผู้ที่มองหาจับทิศทางเสียงให้ได้ และก็เป็นไปตามคาดดรุณีเมื่อรู้ว่าเสียงมาจากทิศทางใดเธอก็คลานตามเสียงร้องไห้นั่นไป คลานมาไม่นานดรุณีน้อยก็เจอกับหญิงสาวผมสีดำยาวสลวยจนถึงกลางหลังเธอสวมชุดเสื้อคลุมสีขาว นั่งชันเข่าก้มหน้าซบที่เข่า ร่างกายสั่นไหวและยังคงส่งเสียงร้องไห้อย่างน่าเวทนา
สายลมเย็นยะเยือกพัดปลิวมากระทบผิวกายชวนให้ขนลุกตั้งชัน ดรุณีน้อยเลื่อนมือมากอดอกตัวเองเพื่อเพิ่มความอบอุ่นก่อนจะลูบไล้แขนตัวเอง สายตาจ้องมองไปยังหญิงสาวลึกลับในชุดสีขาวเบื้องหน้า ……….
..........^_^..........
==========*==========
โปรดติดตามต่อส่วนที่สาม เสนอเป็นตอนจบค่ะ
ขอให้ทุกท่านผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายไปได้อย่างมีความสุขค่ะ
แด่…. ทุกคนที่มีความฝันอยู่ในหัวใจ^^
==========*==========
ขอขอบคุณ
คุณนลินมณี
คุณสายป่านสีชมพู
คุณLazy return
คุณแมวอ้วนตัวนั้น ชื่อO-iamBear
คุณturtle_cheesecake
คุณPsycho man
คุณSusisiri
และขอขอบคุณนักอ่านเงาทุกท่านด้วยค่ะ