ใครว่าอยู่เมืองนอกสบาย By สะใภ้ฟินแลนด์#2 เมื่อชีวิตถึงจุดพลิกผัน กลายเป็น single mom ในต่างแดน

http://m.ppantip.com/topic/33948300?

สวัสดีค่ะ ลิ้งค์ข้างบน คือ #1 ที่เคยเขียนไว้เมื่อปีที่แล้ว จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาเปลี่ยน ทำคนเราเปลี่ยน ชีวิตและทัศนคติการใช้ชีวิต ของเราก็เปลี่ยนไป อย่างสิ้นเชิง มีเรื่องราว ทั้งดีและร้าย มากมาย เกิดขึ้นกับเรา และลูกสาววัยสามขวบ ที่ประเทศฟินแลนด์ แห่งนี้ ขออนุญาติเล่า แบบรวบรัด ในส่วนของการหย่าร้าง และขอโฟกัส ไปที่ วิธีการติดต่อประสานงาน หน่วยงานของรัฐ ต่างๆ หากวันนึง เรื่องไม่คาดฝันนี้ เกิดขึ้นกับ ตัวคุณเอง หรือกับ คนที่คุณรัก/เพื่อน/คนรู้จัก เราหวังว่า คุณจะสามารถใช้เป็นแนวทาง ในการเอาตัวรอด ชีวิตต่างแดน ที่ไม่มีพ่อแม่ คอยให้ความช่วยเหลือ ยามเกิดเรื่องฉุกเฉิน มันไม่ง่ายเลยนะคะ .. ขอลงรายละเอียดถึง สวัสดิการ ความช่วยเหลือที่เราจะได้รับ จากหน่วยงานของรัฐที่นี่ สิทธิ ผลประโยชน์ การตกลงกันเรื่องสิทธิ์การดูแลลูก และเงินค่าเลี้ยงดู จากพ่อของลูก และอื่นๆ หวังว่า เรื่องราวของเรา จะเป็นประโยชน์ แก่ทุกท่าน ที่เข้ามาอ่าน ไม่มากก็น้อยนะคะ ..

กันยายน ปี 2015 คือ ช่วงวิกฤตที่สุด ในชีวิตของเรา เมื่อชีวิตคู่ไม่เป็นไปดังที่ควรจะเป็น เมื่อความเชื่อใจ ความไว้ใจ ถูกทำลาย ครั้งแล้วครั้งเล่า ความรัก พันธะความผูกพัน ใดๆ ก็ไม่สามารถยื้อเวลา ได้อีกต่อไป แม้จะมีพยานรัก ลูกน้อยที่น่ารัก ด้วยกันก็ตาม .. "สติ" และ "สตรอง" คือ สิ่งที่คุณต้องมี แม้ในใจคุณจะถูกเหยียบย่ำป่นปี้ แต่คุณต้องปาดน้ำตา ลุกขึ้นมา ใช้สมอง วางแผน และจัดการทุกอย่าง ให้ดีที่สุด ไม่ใช่ เพื่อตัวคุณเอง แต่เพื่อลูก อันเป็นแก้วตาดวงใจของคุณ อย่าเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว คร่ำครวญ หรือโทษตัวเอง และใครต่อใคร กับทุกสิ่งเลวร้าย ที่เกิดขึ้น ในชีวิตของคุณ 4 ปีกว่า ใช้ชีวิต กับคนที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของเรา ก็เสียเวลามามากพอแล้ว

"เด็ก สตรี คนพิการ และ คนชรา รัฐบาลฟินแลนด์ ไม่มีวันทอดทิ้งคนเหล่านี้ ท่องจำให้ขึ้นใจไว้เลยค่ะ ในวันที่คุณเดือดร้อน และต้องการความช่วยเหลือ คุณจะได้รับมันทันที เสมอภาค มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน เฉกเช่นเดียว กับพลเมืองชาวฟินแลนด์ และแม่ๆที่มีสัญชาติฟินนิช ทุกคน ... ถึงเราจะยังไม่ใช่ พลเมืองประเทศเค้า แต่ลูกของเรา คือคนของเค้า 100% ดังนั้น เค้ายินดี และเต็มใจ ให้ความช่วยเหลือเราและลูก ให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤต และยืนได้ด้วยตัวเอง 100% เช่นเดียวกัน"

สำคัญที่ ใจคุณพร้อมจะ สู้ หรือเปล่า เท่านั้นเอง !!

ในวันที่เกิดเรื่อง 22 กันยายน 2015 สามีเก่าของเรา เดินทาง ไปทำงานที่ไต้หวัน เราและลูกสาว ถูกลูกชายของสามีเก่า อายุ 19 ปี ข่มขู่(แต่ไม่ได้ทำร้ายร่างกาย) ทำให้รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิต เราสองแม่ลูก ต้องหอบหิ้วกันไปขออาศัย อยู่กับเพื่อนพี่คนไทย ที่สนิทกัน ที่นี่ (โชคดีที่ยังมีเพื่อนที่พึ่งพากันได้อยู่ 2-3 คน)

วันรุ่งขึ้น อันดับแรก เราไปติดต่อ เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ ในเขตที่เราอยู่ (Sosiaali toimisto) กว่าจะติดต่อได้ ก็ต้องโทรนัด โดยปกติแล้ว ต้องใช้เวลา 2-3 วันค่ะ กว่าที่เราจะได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่(เพราะเค้าไม่ค่อยว่าง คิวยาว) เราคิดว่า เราโชคดีมาก ที่วันนั้นไปติดต่อ แล้วได้เข้าไปคุยเลย(เรานั่งกดเบอร์โทรหาเจ้าหน้าที่ ที่บันไดหนีไฟชั้นสาม บอกข้อมูลเบื้องต้นของเรา อย่างหมดอาลัยตายอยาก แล้วเจ้าหน้าที่คนที่เราโทรหาคนนั้น ก็ดันเดินมาเจอเราพอดี๊ คือเป็นความบังเอิญ เป็นจังหวะเวลา ที่เหมาะเจาะจริงๆ)

เราเข้าไปคุยกับเค้าในออฟฟิศ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ให้เค้าฟังตามลำดับ (เราเล่าเป็นภาษาอังกฤษค่ะ เจ้าหน้าที่โซเชี่ยลคนนี้ ภาษาอังกฤษดีมาก ก็โชคดีอีกแล้ว เพราะปกติ ถ้าเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ แล้วเราไม่ใช่คนฟินน์ ต้องใช้ล่ามคนไทย ในการเล่าเรื่องสื่อสารเป็นภาษาฟินน์ ที่ถูกต้อง ให้เจ้าหน้าที่ฟัง เพราะจะมีการจดบันทึกหลักฐาน คล้ายๆเวลาเราไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ พิมพ์ไว้ในระบบ ฐานข้อมูลส่วนกลาง ของเค้าค่ะ) เราเล่าไป ก็ร้องไห้ไป ยอมรับว่าเสียใจ และโทษตัวเองมาก ที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเราและลูก เจ้าหน้าที่ ให้เบอร์โทร บ้านพักฉุกเฉิน(Turvakoti) ไว้ สามที่ เราเมมไว้ในมือถือ เตรียมพร้อม เพราะเราคิดแล้วว่า เรื่องมันต้องเลวร้ายกว่านี้แน่นอน ระหว่างตอนสามีเก่า ไม่อยู่บ้านหนึ่งอาทิตย์ แล้วมันก็จริง อย่างที่เราคาดไว้ไม่มีผิด

เย็นวันพฤหัส เราเข้าไปเก็บของใช้ เสื้อผ้าของเราและลูกเพิ่มเติม กะจะไปพักบ้านเพื่อนคนเดิมต่อ รอจนสามีเก่ากลับมาถึงฟินแลนด์ แล้วค่อยเคลียร์ตกลงกันถึงปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่เราและลูก ก็ถูกข่มขู่อีกครั้ง   เราจึงตัดสินใจ เก็บของเราทั้งหมดในบ้าน โทรหา 112(คล้ายๆ 191 บ้านเรา) ตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่า ต้องพาลูกไปอยู่ในที่ปลอดภัย ที่ที่ได้รับความคุ้มครองจากรัฐ โทรไปตอนนั้น คิดว่า จะมีรถตำรวจมารับถึงหน้าบ้าน แล้วไปส่งที่บ้านพักฉุกเฉิน ตามคำบอกของเจ้าหน้าที่โซเชี่ยล ที่ได้คุยวันก่อน แต่มันไม่ใช่เลยค่ะ คราวนี้โชคไม่ดี เค้าไม่มารับ เราต้องหาทางไปเอง เพราะ บ้านพักฉุกเฉิน ที่มีห้องว่างเพียงห้องเดียว เหลืออยู่ตอนนั้น คือ อยู่ที่ Lahti (ในเฮลซิงกิ และ วันตา เต็มทั้งหมด) เมืองละตินี้ ต้องขับรถไปเกือบ สองชั่วโมง แต่โชคยังดีที่รถไฟวิ่งไปถึง ใช้เวลาประมาณ 40 นาที เท่านั้น ตอนนั้นก็เย็นมากแล้ว ทุ่มกว่า เพื่อนและสามีของเพื่อนคนเดิม ขับรถไปส่งเรา สองแม่ลูกที่สถานีรถไฟ ใกล้บ้าน ของใช้และสัมภาระของเรา ก็เยอะเหลือเกิน จะลากไปด้วยก็คงไม่ไหว เราจึงฝากกระเป๋า และของใช้บางส่วน ไปเก็บไว้ที่บ้านเพื่อน

เราจำได้ ไม่มีวันลืม เย็นวันนั้น สองทุ่มครึ่ง ฝนตกปรอยๆ อากาศเย็นชื้น เราเข็นรถเข็นเด็ก ลูกสาวเรานั่งกอดตุ๊กตาหมีในรถ เดินไปรอรถไฟ ที่ชานชาลาเบอร์ 4  เราแบกกระเป๋าเป้ สองใบ ลากกระเป๋าเดินทางใบน้อยมิกกี้เม้าส์ของลูก ที่ใส่ของใช้จำเป็นและเสื้อผ้าของเราสองแม่ลูกเพียงไม่กี่ชุด .. เรา ไม่มีน้ำตาอีกแล้ว ไม่มีเวลาจะอ่อนแอ มีแต่ความเข้มแข็ง ที่เพิ่มขึ้นทุกนาที ทุกเวลา ที่ได้มองหน้าลูกสาวที่ ยิ้มแย้ม แจ่มใส พูดกับแม่ว่า เราไปเที่ยว เดี๋ยวพ่อก็มารับเรา กลับบ้านนะแม่นะ .. เด็กคือผ้าขาว มีแต่ความใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่รู้เลยสักนิด ว่าตอนนี้เกิด อะไรขึ้น ระหว่างพ่อกับแม่ .. ไม่รู้เลยสักนิด ว่าพ่อเค้าทำผิดร้ายแรงกับแม่ มากเท่าไหร่ .. ไม่รู้เลยสักนิด ว่า บ้านหลังเดิมหลังนั้น แม่กลับไปไม่ได้อีกแล้ว เศร้า

เราพักที่บ้านพักฉุกเฉินทั้งหมด 6 วัน เจ้าหน้าที่ที่นั่น ช่วยเหลือดีมากๆ ในการหาบ้านเช่าให้เราสองแม่ลูก จัดการโทรหาตัวแทนบ้านเช่า ช่วยกรอกใบสมัครในเน็ตให้ ในเขตพื้นที่เดิม ตามที่เราบอกความต้องการไป เหตุผล เพราะเราไม่อยากให้ลูก ต้องปรับตัวใหม่กับทุกสิ่ง ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ของเค้า กับสิ่งแวดล้อมใหม่ ผู้คน ที่อยู่ เมือง เพื่อนใหม่ เดย์แคร์ใหม่ ที่สำคัญที่สุดคือ อยู่ใกล้กับพ่อเค้า พ่อลูกเค้าจะได้ ไปมาหาสู่กันได้ง่าย แม้ในใจของเรา จะเกลียดพ่อเค้า และอยากจะหนีไปให้ไกลที่สุดก็ตาม ถึงเค้าจะเป็นสามีที่แย่และยิ้มมาก แต่เค้าก็เป็นพ่อของลูกที่ดีใช้ได้ คนนึง ..

ที่บ้านพักฉุกเฉิน ห้องพัก สะอาด สะดวกสบาย ขนาดพอดีกับสองคนพัก(เล็กกว่านี้ก็อยู่ได้) มีห้องน้ำในตัว มีอาหารการกินที่ดี มีประโยชน์ให้ ครบสามมื้อ ตามเวลาและสถานที่ ที่บ้านพักกำหนด มีกฏระเบียบ เวลาเข้าออก ชัดเจน จะออกไปไหนต้องบอกเจ้าหน้าที่ จะเข้ามากี่โมง กดออดโทรเรียก เค้าจะลงไปเปิดประตูให้ทุกครั้ง ห้ามคนนอก และที่สำคัญคือ ห้าม ผู้ชาย เข้ามาในตึก ระหว่างที่เราอยู่บ้านพัก สามีเก่าของเราก็ช่วยเหลือเรื่องการ ขนย้ายสัมภาระ และแวะเวียนไปมาหาสู่(ลูกสาว) แทบทุกวัน เพราะเค้าคิดว่า ถ้าเค้าพยายาม น้ำหยดลงหิน ทุกวัน หินยังกร่อน เค้ายังคิดเข้าข้างตัวเอง ไม่เลิก ว่าถ้าเค้าง้อ เค้าตามตื้อ เราอาจจะให้โอกาส และกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับเค้าอีกครั้ง แต่ เราตัดสินใจแล้ว คิดทบทวนดีแล้ว เราจะเดินหน้า และยืนให้ได้ด้วยตัวเอง สักวัน เราจะ ดูแลลูกให้ได้ดีที่สุด โดยที่ไม่ต้องมีเค้าเป็นสามี และเรารู้ดี ว่า เราทำได้!!

หลังจากที่ความจริงทุกอย่างปรากฏ จนถึงวันนี้ เราก็คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ตัดสินใจ พาตัวเองและลูก ออกมาจากบ้านหลังนั้น และวังวนคนพวกนั้น แต่ตามกฏหมาย พ่อก็คือพ่อ ที่ย่อมมีสิทธิ์ จะเจอและใช้เวลาร่วมกับลูกได้ ตามที่ตกลงกัน (Join custody) เอาล่ะค่ะ เรามาว่ากันเป็น ข้อๆเลย ดีกว่า ว่า หลังจากหย่ากันแล้ว เราได้ เราทำ เราต้องทำ ควรทำ หรือ ไม่ควรทำ อะไร อย่างไรบ้าง

1. เราหย่า 25 กันยา ได้ที่อยู่ใหม่ ทำสัญญาเช่า สัญญาไฟฟ้า ย้ายของเข้าบ้านใหม่ 1 ตุลา เป็น Rivitalo(ห้องแถว,ทาวน์เฮ้าส์, อพาร์ทเม้นท์ ไม่แน่ใจว่าภาษาไทยเรียกว่าอะไร) มี 2 ห้องนอน 1 ห้องครัว 1 ห้องน้ำ ขนาด 68 m2 ถือว่าห้อง ขนาดใหญ่ทีเดียว สำหรับเราสองแม่ลูก ห้องโล่งๆ พื้นไม้ปาเก้ สีน้ำตาล เฟอนิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัว ทีวี ไมโครเวฟ ไม่มีสักอย่าง มีตู้เย็นและตู้แช่แข็ง ตู้เสื้อผ้าใหญ่ เตาไฟฟ้า เตาอบ ให้ ราคาเช่า 786,85€ ต่อเดือน ค่าน้ำรวมแล้ว ค่าไฟ ไม่รวม บิลค่าไฟจะมา 2 เดือนครั้ง รัฐ(เกล่า และ โซเชี่ยล) ช่วยอะไรบ้าง?
       - การย้ายเข้าบ้านใหม่ ของเราต้องจ่ายค่าเช่าบ้านเดือนแรก + ค่ามัดจำหนึ่งเดือน รวมแล้ว เกือบ 1600€ โซเชี่ยลช่วยจ่ายค่าเช่าบ้านเดือนแรกให้(เค้าจะคุยและตกลงกันเองกับตัวแทนขายบ้านเช่า) และสามีเก่าเราจ่ายค่ามัดจำให้ อันนี้ ก็แล้วแต่กรณีไปนะคะ บางคน บางคู่ เลิกกันแล้ว สามีเก่าไม่ช่วยเหลืออะไรเลย ถีบหัวส่ง กลั่นแกล้ง เหยียบให้จมดิน บีบให้กลับไทย เงินเก็บส่วนตัวก็ไม่มี ขอความช่วยเหลือ หยิบยืมเงินจากใครก็ไม่ได้ อันนี้จะลำบากหน่อยค่ะ พอตอนเราไปอยู่บ้านพักฉุกเฉิน เห็นหลายคนแล้ว ที่จนท.เค้าหาบ้านเช่าให้ได้ แต่ย้ายเข้าไปไม่ได้ เพราะ ไม่มีเงินจ่ายค่ามัดจำบ้านให้เค้า ก็รอต่อไป ก็ทำสัญญาเช่าไม่ได้ค่ะ ทางที่ดี เราควรจะมีเงินเก็บ สักก้อนเล็กๆ (1000-2000€) ก่อนจะตัดสินใจย้ายออกมา เผชิญชีวิตข้างนอกกับลูก จะดีที่สุดนะคะ
       - Asumistuki เกล่า ช่วยจ่ายค่าเช่าบ้านให้ 480€ ทุกเดือน ที่เหลือ 306,85€ เราจ่ายเอง ในกรณีที่ ค่าเช่าไม่เกิน 600€ เกล่าช่วยจ่ายให้ทั้งหมดค่ะ แต่กรณีของเรา คือ ไม่อยากรอ หาบ้านเช่าที่ราคาไม่เกิน 600€ อีกแล้ว เพราะเราต้องไปเรียน ไม่อยากขาดเรียนนานกว่านี้ พอ จนท. ถามว่า จ่ายเองเดือนละ เท่านี้ไหวไหม? เราก็ตอบไปเลยว่าไหว(ต้องคิดคำนวณให้ดีๆด้วย ก่อนจะตอบ ว่าเรามีรายได้ รายจ่ายเท่าไหร่ ต่อเดือน ของเราได้เงินโรงเรียน ที่ TE toimisto ให้ทุกเดือน อยู่แล้ว บวกลบคูณหารแล้ว มันน่าจะพอ ถ้าใช้จ่ายอย่างพอดี)
       - โซเชี่ยล ช่วยจ่ายค่าเฟอนิเจอร์ 300€ ตอนย้ายเข้าบ้านแรกๆ แต่ทั้งนี้ เราก็ต้องรู้จักประมาณตนด้วย หาซื้อจากร้านขายของมือสองไปก่อน แล้วพอมีงานทำ มีเงินค่อยหาซื้อเพิ่มเติมทีหลัง แต่กรณีเรา ก็โชคดีอีกแล้วที่ จนท. โซเชี่ยล คนที่เราติดต่อด้วยคนนี้ (ป้าไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ ฟินน์จ๋า 100% เวลาเจอกันต้องใช้ล่ามคนไทย แต่ป้าช่วยเราสองแม่ลูกดีมากๆจริงๆ) ป้าจัดการโทรหา คนดูแล โกดังเก็บของ เฟอนิเจอร์มือสอง ใกล้บ้านให้ บอกให้เรา หาเวลาเข้าไปดูของ แล้วเลือกเอาได้เลยว่า ต้องการอะไรบ้าง ที่นั่นมีเกือบจะครบทั้งหมดค่ะ แล้วป้าจะประสานงาน ให้คนขับรถตู้ ขนของจากโกดัง เอามาส่งให้เราถึงบ้าน(ยกขึ้นมาให้ด้วย บ้านอยู่ชั้น 2) ค่า delivery โซเชี่ยลก็ช่วยจ่ายให้ด้วยค่ะ (ที่นี่จะหารถกระบะ รถตู้ขนของยากมาก และต้องจ่ายค่อนข้างแพง) เราได้เตียง ที่นอน เก้าอี้นวม โต๊ะกินข้าว เก้าอี้กินข้าว หม้อ กะทะ ช้อน ส้อม มีด แก้วน้ำ ได้ของที่จำเป็นต้องใช้ มาเยอะเลยค่ะ มันดีตรงที่ ฟรี และสภาพดี ด้วยนี่แหละค่ะ แหะๆ ยิ้ม
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
แต่ถึงยังงั้น การย้ายบ้าน มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เราก็ยังต้องซื้อของใช้ และเครื่องใช้ไฟฟ้า อื่นๆ อีก (ทีวี ไมโครเวฟ ไดร์เป่าผม หลอดไฟ ถ้วยชาม ผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ ..) เราซื้อจากช้อป อิเกีย(IKEA) และ กิกันติ(Gigantti) หมดไปอีก เกือบ 600€ โซเชี่ยลจ่ายให้ 300€ (สำรองจ่ายก่อน เอาบิลไปเบิกคืนทีหลัง) และสามีเก่าช่วยจ่าย ที่เหลือ ให้ทั้งหมด .. ถึงตอนนี้ บ้านก็ยังไม่สมบูรณ์ ตามที่เราต้องการนะคะ ยังขาดอีก 2-3 ชิ้น หากเราได้งานทำเมื่อไหร่ มีเงินเดือน เมื่อไหร่ เราจะเก็บเงิน ค่อยๆซื้อ มือหนึ่งบางชิ้น ก็ตัดใจซื้อไม่ค่อยลง ของใช้ เฟอฯ มือสองดีๆ จากเว็ป tori.fi มีให้เลือกเยอะแยะมากมายเลยค่ะ เราคงซื้อจากเว็ปนี้ดีกว่า ประหยัดไปได้เย๊อะ ยิ้ม
- ได้เงินโรงเรียน จากเตื้อ ประมาณ แปดร้อยยู อันนี้  คือ เราได้มานานแล้ว(อ่านใน #1 ค่ะ) แต่หากเราไม่ได้เรียน ก็จะได้เงินคนว่างงาน แต่จะได้น้อยกว่า ประมาณเดือนละ 500 ยู
- ได้เงินช่วยเหลือจากโซเชี่ยล ค่าอาหาร(ส่วนนึง) ค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรรถบัส/รถไฟ ใช้เดินทางไปเรียน(kuukausi matkakortti) ค่ายา(ยาคุมก็ช่วยนะคะ เริ่ดป่ะล่ะ!?) ค่าพบหมอ ค่าทำฟัน(terveyskeskus รพ.รัฐ ทั่วไป นะคะไม่ใช่ Aava หรือ คลีนิคเอกชนอื่นๆ) ทุกอย่าง ที่ว่ามา ต้องมีบิล และใบสั่งยาจากหมอ เราสามารถ ทำเรื่อง ทุกสิ้นเดือน เบิกคืนได้ทั้งหมดค่ะ เดือนนึงก็ประมาณ 200€
- ได้รับการยกเว้น เงินค่าเดย์แคร์ ของลูกสาว จากที่(พ่อเค้า)เคยจ่าย เดือนละ 286€ ตอนนี้ ก็ไม่ต้องจ่ายเลยสักยูโรค่ะ ยิ้ม
- ค่าไฟ โซเชี่ยล จ่ายให้ เต็มจำนวน(สองเดือน บิลค่าไฟมา ก็ประมาณ 120€)
- ค่าประกันบ้าน(อันนี้ ต้องมีค่ะ on pakko!) โซเชี่ยลช่วยจ่าย 70%
- ค่า lapsilisää อันนี้เกล่าจ่ายค่ะ เข้าบัญชีทุกวันที่ 26 เดือนละ 144€
- ค่าเลี้ยงดูลูก จาก สามีเก่า เดือนละ 200€ เข้าบัญชีเราทุกวันที่ 1 (ลงลึกรายละเอียดเรื่องนี้ ใน ข้อ 2 ข้างล่างค่ะ)

สรุปแล้ว เดือนนึง เรามีค่าใช้จ่าย ที่ต้องจ่ายเอง แบบแน่นอน คือค่าเช่าห้อง 306,85€ เท่านั้นค่ะ นอกนั้น รัฐ โซเชี่ยล และเกล่า ช่วยเหลือเราสองแม่ลูก 95% แต่เราซื้อแพ็คเก็จอินเตอร์เน็ตใช้ที่บ้าน และในมือถือ และค่าโปรแกรมทีวี ช่องดิสนีย์ การ์ตูน และ MTV ให้ลูกสาว เดือนนึงก็ 70€ อันนี้เราจ่ายเองนะคะ รัฐไม่ช่วย เพราะถือเป็นค่าเอ็นเตอร์เทนตัวเอง ไม่ใช่สิ่งจำเป็นพื้นฐานในชีวิต รายรับเรา เท่าไหร่ เราไม่แน่ใจ(มันไม่เท่ากันแต่ละเดือน) แต่ทุกวันนี้ เราสองแม่ลูกกินอยู่ แบบพอดี ไม่ได้ประหยัดเกินไป หรือฟุ่มเฟือยเกินไป ซื้อของเล่น ช้อปปิ้ง ไปเที่ยว ไปดื่ม ซื้อเสื้อผ้าบ้าง ตามโอกาส เราอยู่ได้ แบบสบายๆ ไม่เดือดร้อน เลยค่ะ

2. ว่าด้วยเรื่อง ข้อตกลง เรื่อง การเลี้ยงดูบุตร ร่วมกัน .. หลังจาก เราไปพบ จนท. โซเชี่ยลแล้ว ที่นี่เราต้องนัดพบกับ Lastenvalvoja ค่ะ เพื่อตกลงและทำสัญญาตามกฏหมาย เรื่อง ค่าเลี้ยงดู ที่พ่อของลูกต้องจ่ายให้เรา ทุกเดือน และรวมถึง ตกลงเรื่อง เวลาการได้อยู่กับลูกของแต่ละคน

ทีนี้ ข้อนี้ ละเอียดอ่อนมากนะคะ ควรระวัง และเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ให้ดี กรณีเรานั้น พ่อของลูกเรา เค้าทำผิดกับเรา เค้ายอมรับผิดแต่โดยดี และรู้สึกผิด(ในตอนแรกๆ) เค้าจึงทำให้ทุกอย่าง ช่วยเหลือทุกอย่าง ตามกำลังที่เค้าจะทำได้ ซึ่งเราก็รู้สึกขอบคุณ และซาบซึ้งในน้ำจิตน้ำใจของเค้ามากค่ะ

เราได้นัดพูดคุยกับ lastenvalvoja ด้วยกันครั้งแรก 24 พฤศจิกา หลังจากหย่าไปแล้ว 2 เดือน เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ตอนทำสัญญา เซ็นต์สัญญากัน ต่อหน้า จนท. เราสองคน ไม่ได้ มีปัญหาใดๆเลย พูดจาดี ไม่มีทะเลาะ จนท. ถามเรา ว่า พ่อของลูก ให้เดือนละ 200€ คุณพอใจไหม? เราก็ตอบ ว่า พอใจ .. เค้าถามเราว่า คุณอยากจะเขียนไว้ไหม ว่า พ่อต้องอยู่กับลูก มารับลูกทุกวัน ศุกร์ แล้วส่งลูกคืนคุณ วันอาทิตย์? หรือ อยากเขียนไว้ไหม ว่า วันหยุดยาวไหนบ้าง ที่ลูกต้องอยู่กับพ่อ และ แม่? เราก็ตอบไปว่า ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องเขียนก็ได้ เพราะเราสองคนไม่ได้มีปัญหากัน ให้เขียนแค่ว่า เดือนละ 200€ โอนเข้าบัญชี ทุกวันที่ 1 เท่านี้ก็พอ เพราะ เราเชื่อใจ และนึกถึง ความดีที่อย่างน้อย เค้าก็ให้ความช่วยเหลือเราและลูก อย่างดี มาตลอด หลังจากหย่ากัน ...

แต่วันเดียวกันนั้น หลังจากจบมีทติ้ง สามีเก่าเราบอกเราหน้าตาเฉยว่า เค้าจะไปพักผ่อนเมืองนอก 5 อาทิตย์ ช่วงก่อนคริสมาสต์ กลับมาหลังปีใหม่ เค้าจองตั๋ว จ่ายเงินจองโรงแรมทุกอย่างไว้หมดแล้ว ... วัทททท?? ... เราสตันท์สิคะ รู้เลยว่า นี่ชั้นพลาดแล้ว โดนเอาเปรียบเข้าแล้ว โดนจนได้ .. แต่เราก็ปล่อยให้เค้าไป ไม่ประท้วง ไม่โวยวาย เพราะคิดว่า จะนัดประชุม ทำสัญญากันใหม่อีกรอบ ตอนเค้ากลับมา แต่ก็นั่นแหละค่ะ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ทำ เพราะเค้าโทรไปเลื่อนเวลาอีก .. รายละเอียดเยอะค่ะ เล่าไม่ไหว มันดราม่า 55 แต่ตอนนี้เค้าคงเลื่อนไม่ได้แล้วค่ะ เราเอาจริงแล้ว หงายไพ่ใบสุดท้ายแล้ว เค้าต้องมาแน่นอนค่ะ ;)

จะบอกว่า มี written agreement ในมือ มันย่อมดีกว่า verbal agreement เสมอ เราต้องทำค่ะ ต้องให้ จนท. เขียนไว้เลย ลงวันที่ ไว้เลย ว่าจะให้ลูกไปเจอพ่อ ช่วงไหน วันที่เท่าไหร่บ้าง เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยนนะคะ อย่าลืม!! ย้ำเป็นรอบที่ 139 แล้วเนียะ ฮะๆๆ ยิ้ม

ส่วนในเรื่องของค่าเลี้ยงดู เค้าพิจารณาจากเงินเดือน และรายได้รายจ่าย ทั้งหมด ของฝ่ายที่ต้องจ่าย(ถ้าลูกอยู่กับพ่อ แม่ก็ต้องจ่าย แต่ส่วนมาก ฝ่ายหญิงมักจะได้รับการยกเว้น บอกแล้วว่า กฏหมายที่นี่เค้าเอื้อ สตรีเพศ มาก ซึ่งดีงามพระรามแปด) อย่างของเรา สามีเก่าถือว่าเงินเดือนเยอะมาก(เกือบ 6000 ยูโร หลังหักภาษี) หน้าที่การงานเค้าดี แต่รายจ่ายเค้าก็เยอะมากเช่นกัน ที่เราโอเคที่ 200 เพราะเค้าก็จ่าย ให้ลูกสาวคนเล็ก ที่มีกับเมียเก่าเค้า 200 เหมือนกัน .. แต่เราพลาด ณ จุดนี้ค่ะ ... ลืมคิดไปว่า มันคนละสถานการณ์กัน เรายังเรียนอยู่ ไม่มีงาน ไม่มีรายได้ แต่เมียเก่า เค้าทำงาน มีรายได้ 200 คือโอเค ... Minimum ค่าเลี้ยงดูบุตร(alimony) ที่ต้องจ่ายตามกฏหมายที่นี่ คือ 157€ แต่นั่น มันสำหรับคนที่เค้าว่างงาน หรือเงินเดือนน้อยมากๆ มีภาระความจำเป็นอื่นในชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ แต่สามีเก่าเรา คือให้เรา 200€ ต่อเดือนนี่ ถือว่า น้อยเกินไป .. น้อยมากกกกก ...

ตอนเรารู้แรกๆ ก็เฉยๆ เพราะทุกวันนี้ มันก็พอใช้ มันก็ไม่เดือดร้อน ขัดสนอะไร ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับลูก เพียงเก็บบิลไว้ แล้วถ่ายรูปส่งให้เค้าดู เค้าก็จ่ายคืนให้ โดยไม่โต้แย้ง แต่เอ๊ะ ยังไง? พอกลับมาจากเมืองนอก พักผ่อนยาวนี่ เริ่มกวนตีน เริ่มมีเตะถ่วง เริ่มมีขอลดราคา จ่ายครึ่งๆได้ไหม ต่อมความ 'กวนตีนกุใช่ไหม' ของเรา มันเลยเริ่มทำงานเลยค่ะ 55  ไปส่องดูในเฟส เค้าเลยถึงบางอ้อ (ตั้งแต่เลิกกันไม่เคยส่องเลยสาบานได้) อะฮ้าาา มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ในการบำรุงบำเรอ เมียใหม่นั่นเอง .. แหม่ ทีนี้ ต่อมน้องนุดีนางร้ายแอ๊บดีช่อง 7 สี มาเลยค่ะ 55 ... เราเลยตัดสินใจจะขอเพิ่ม ไม่รู้ว่าจะได้ไหม เอาจริงๆก็ไม่ได้หวังว่าจะได้ แต่ถ้าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ 200 ก็โอเค เพราะเราคิดว่า เค้าก็คงจะหาหลักฐานรายจ่ายอื่นๆมางัด ลบรายได้เค้าลง เพื่อจะไม่จ่ายตามที่เราขอไปเหมือนกัน

คนฟินน์นะคะ ยอมมากไป ก็เอาเปรียบเราได้ เราต้องศึกษาข้อมูลให้แน่น แล้วไฟท์กลับไปค่ะ อย่าไปยอม งานสวยสตรอง น้องติช่า ต้องมา!!

3. นี่ค่ะ ข้อนี้ สำคัญ เราต้องเห็นคุณค่าในตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองโทรม หลังถูกเท เด็ดขาด!!! ลุกขึ้นมาทำสิ่งที่คุณอยากจะทำ เชียร์อิทอัพค่ะ อย่าปล่อยให้ตัวเองดาวน์ แต่งตัว แต่งหน้า ให้ฉ่ำให้เต็ม เพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเอง แต่อย่าคาดหวัง ว่าชั้นจะมีผัวใหม่ทีเดียว 2 คน พรุ่งนี้เลย คือ บางทีมันก็ทำไม่ได้นะคะ ถ้าคุณไม่ฮ็อตจริง 555 คืองี้ค่ะ เรื่องคู่ เรื่องผัวเนียะ คือถ้ามันมี มันใช่ มันจะมา จะเป็นของมันเองนะคะ แต่ถ้ามันไม่ใช่ ต่อให้คุณนั่งทับไว้ เค้าก็เอาไปใส่คนอื่นได้อยู่ดี ดังนั้น ไม่ต้องรีบค่ะ แค่เดินไฟนอลวอล์คเชิดๆสวยๆ เก็บไปทีละคน 555 นี่ปากดีไปงั้นแหละค่ะ นี่ไม่ได้รีบซักนิด แค่ตอนนี้ มีแฟนใหม่คบกันมาสองเดือนแล้ว เท่านั้นเอง ใสๆ 55

4. มีลูกแล้ว ทำอะไร ก็ควรจะนึกถึงลูกก่อนเสมอ ตอนถูกเท รู้ถึงความยิ้มของอดีตสามี ใหม่ๆ ก็ผิดหวัง ช็อค เสียใจแทบคลั่ง โลกจะถล่มทลายให้ได้ แต่เชื่อไหมคะ ว่า ไม่เคย มีความคิด ที่จะพาลูก หอบลูก หนีช้ำกลับไปอยู่เมืองไทยเลย ไม่มีความคิดนั้นเลยยยย .. เพราะอะไร หรอคะ!? เพราะเราคิดถึงอนาคตของลูกเรา หากคุณได้ติดตามข่าวการศึกษาบ้าง คงได้เห็นได้อ่าน ข่าวความสำเร็จด้านการศึกษาของประเทศฟินแลนด์ ว่าที่นี่ จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก ... จะเหนื่อย จะหนัก จะคิดถึงบ้านแค่ไหน เราทนได้ ทั้งนั้น ขอแค่ให้ลูกเรา ได้รับการศึกษา จบการศึกษาจากที่นี่ คือการศึกษา ที่ไทยก็ดีนะคะ ไม่ได้บอกว่า ไม่ดี แต่คุณต้องมีเงิน ถึงจะสามารถ provide ให้ลูกคุณได้การศึกษาที่ดีระดับนั้น .. แต่ที่นี่ เรียนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ทุกโรงเรียนคือเท่าเทียม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ ระบบการวางแผนการศึกษาคือ ล้ำลึก ยั่งยืน มีประสิทธิภาพ เด็กมีการพัฒนาความคิด และความเข้าใจ ที่ชัดเจน .. จะว่าเหตุผลหลักที่อยู่ต่อที่นี่ ไม่กลับไทย ก็คือเหตุผลนี้ เลยก็ว่าได้ค่ะ

เฮ้ออออ จบสักที โล่งมากเลย 55 ขอบคุณท่านที่อ่านกันมาจนถึงบรรทัดนี้ Ep. ต่อไป จะว่าด้วยเรื่อง การเรียน และการงาน ที่นี่นะคะ แต่ขอเวลารวบรวมข้อมูล สักหน่อย เราจะกลับมาในไม่ช้า ขอเวลาอีกไม่นาน ฮะๆๆ ขอบคุณบางท่าน ที่ติดตามอ่านกัน และติดตามกันไปจนถึงเฟสบุ๊ค ยินดีที่ได้รู้จัก และฝากติดตาม กันไปนานๆนะคะ ขอบคุณและสวัสดีค่ะ ยิ้ม
ความคิดเห็นที่ 52
อืมม คุณ สมช. 948872 คะ ดิฉันคิดว่า คุณคงแปลจุดประสงค์ของการเขียนแชร์เรื่องราวส่วนตัวของ ตัวดิฉันเอง และลูก ลงในกระทู้ครั้งนี้ ไปคนละอย่างกับที่ดิฉันตั้งใจแล้วล่ะค่ะ

ดิฉันตั้งกระทู้นี้ ไม่ได้ใช้ลูก เพื่อดึงคะแนนความสงสาร จากโลกอินเตอร์เน็ต แบบที่คุณเข้าใจ และดิฉันก็ยังงง ณ ตอนนี้ ว่าจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร? ในเมื่อดิฉันหย่ากับอดีตสามีมาได้สี่เดือนกว่าแล้ว อยากดัง? อยากเรียกร้องความสนใจจากสังคม? อยากให้สังคมตัดสินให้?(คือ งงมากอ่ะค่ะ ว่าจะทำเพื่อ?)

กระทู้นี้ตั้งขึ้น จุดประสงค์คือ สร้างกำลังใจ ให้คนอ่าน "บางกลุ่ม" หรือ คุณแม่เลี้ยงลูกเดี่ยว ที่กำลังมีปัญหา ท้อแท้ กับชีวิต อย่างที่ได้บอกไป การมีปัญหาหย่าร้างในต่างแดน ที่มีแค่คุณและลูก มันไม่ใช่เรื่องดี เรื่องง่าย และแน่นอน ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น

สมัยนี้  อะไรๆก็สามารถค้นหาได้ง่ายๆ จากโลกอินเน็ต ดิฉันคิดเพียงแค่ว่า มันคงจะดีไม่น้อย หากอย่างน้อย เรื่องราวชีวิตส่วนตัว"บางส่วน" ของดิฉัน มีส่วนช่วย ให้คนที่กำลังเผชิญปัญหาเดียวกัน หรือคล้ายๆกันกับที่ดิฉันเคยเจอ ให้เค้ามีกำลังใจต่อสู้กับชีวิตต่อไป ให้เค้าอย่างน้อยรู้สึกว่า ไม่โดดเดี่ยว มีแนวทาง ว่าควรจะไปติดต่อ ใคร ที่ไหน อย่างไรดี

ตอนนี้ดิฉันเรียนอยู่ค่ะ และคาดว่า คงจะได้งานทำในไม่ช้านี้ เป้าหมายในชีวิต มีชัดเจน ไม่ได้คิดจะใช้ลูก เพื่อเป็นเครื่องมือ ในการเรียกร้องอะไร ใดๆ จากใครทั้งสิ้น

เชื่อว่า คนเรา ร้อยพ่อพันแม่ เติบโตมาในสภาวะแวดล้อมทางสังคม และการอบรมสั่งสอนจากผู้ใหญ่ที่ต่างกัน ลิมิต  ความรู้สึก และคำจำกัดความ ของคำว่า "ความเป็นส่วนตัว" ของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ไม่เช่นนั้นเฟสบุ๊ค เค้าคงไม่มี "ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว" ให้แต่ละผู้ใช้ ได้เลือกใช้ ต่างกรรมต่างวาระกันไป คุณเห็นด้วยไหมคะ?

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ และความเป็นห่วง ที่กลัวว่าลูกดิฉันจะมีปมด้อยตอนโตนะคะ ยินดีน้อมรับไว้ ด้วยความขอบคุณ แต่ดิฉัน เชื่อว่า ลูกสาวของดิฉัน คงจะภูมิใจ ในตัวแม่คนนี้ มากกว่ารู้สึกว่า มีปมด้อย หากในวันนึงที่เค้าโตขึ้น แล้วได้มาอ่านกระทู้ที่แม่เค้าเขียนอันนี้ และเชื่อว่า จะภูมิใจมากกว่าอีกหลายเท่า หากเค้าได้รับฟัง เรื่องราวทุกอย่างจากปากแม่ ว่าแม่เค้ารัก เลี้ยงดู และทำทุกอย่างเพื่อเค้า มากเท่าไร ...

ความเป็นส่วนตัวของดิฉันและลูก ยังเหลืออยู่อีกมากค่ะ และในอนาคต หากมีเรื่องราวที่น่าสนใจ ให้แง่คิด และมีประโยชน์ ต่อเพื่อนมนุษย์ อื่นใด เกิดขึ้นในชีวิตของเราแม่ลูกอีก เราก็ยินดี ที่จะสละ ความเป็นส่วนตัวบางส่วน มาเล่า มาแชร์ สู่กันฟัง ในเว็ปพันทิป คลังการค้นหาแห่งนี้อีก แน่นอนค่ะ ;)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่