'ดีแทค' ยกเครื่องระบบจัดจำหน่ายนัดเคลียร์ 'แฟรนไชซี' ก.พ.-ตั้งเป้าอัพเกรดบริการ
ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559
"ดีแทค" เขย่าโครงสร้างการจัดจำหน่ายจ้างบริษัทที่ปรึกษาปรับปรุงระบบแฟรนไชส์ ยกกระบิ พร้อมเตรียมนัดคุยทำความเข้าใจเจ้าของแฟรนไชส์รายใหญ่ต้น ก.พ.นี้ หวังอัพเกรดมาตรฐานบริการ "ดีแทค เซ็นเตอร์" ใหม่หมด ขณะที่บางรายไม่รอหันซบอก "ลิงก์ เน็ตเวิร์ก"
นายปัญญา เวชบรรยงรัตน์ ผู้อำนวยการ อาวุโส ธุรกิจภูมิภาค-กรุงเทพฯและปริมณฑล บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตั้งแต่กลางปี 2558 ที่ผ่านมา บริษัทได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาภายนอกให้เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการภายใต้เครือข่ายแฟรนไชส์ "ดีแทค เซ็นเตอร์" เพื่อให้วางกลยุทธ์ใหม่ทั้งหมด และยกระดับมาตรฐานการให้บริการให้ดีขึ้น เนื่องจากมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำให้ลูกค้าในพื้นที่ต่าง ๆ มีโอกาสในการเข้าไปใช้บริการมากกว่าศูนย์บริการ หรือ "ดีแทค ฮอลล์" ที่บริษัทบริหารเอง
"เป็นการประเมินแฟรนไชส์ครั้งใหญ่ เพราะต้องการวัดผลคู่ค้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงยกระดับประสิทธิภาพในการจำหน่ายสินค้าและบริการในอนาคต ประกอบด้วยระบบดิสทริบิวชั่น และการขาย ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อยกเลิก แฟรนไชส์ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ออกไป เพราะดีแทค เซ็นเตอร์ถือเป็นอีกช่องทางการให้บริการลูกค้าที่มีความสำคัญ ดังนั้น บริษัทจึงเน้นการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้คู่ค้า สามารถจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น และเติบโตไปด้วยกันกับดีแทค"
โดยภายในต้นเดือน ก.พ.นี้บริษัท จะมีการนัดคุยกับแฟรนไชซีที่มีสาขาจำนวนหนึ่ง เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับปรุงระบบ และการบริการรูปแบบใหม่ของดีแทค เซ็นเตอร์ด้วย"
ปัจจุบันดีแทค เซ็นเตอร์มีจำนวนกว่า 373 สาขาทั่วประเทศ โดยจะทำหน้าที่จำหน่ายสินค้าและบริการภายใต้แบรนด์ดีแทค มีรายได้มาจากค่าธรรมเนียม ในการให้บริการ เช่น การรับชำระค่าบริการรายเดือน และการเติมเงิน รวมถึง การจัดจำหน่ายสินค้า เช่น โทรศัพท์มือถือ, อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ, ซิมการ์ด, แพ็กเกจ บริการด้านเสียง (Voice) และข้อมูล (Data) ตลอดจนบริการเสริมต่าง ๆ เช่น Entertainment Information และเพลง เป็นต้น
ซึ่งข้อมูลในเว็บไซต์ของบริษัท (dtac.co.th) เปิดให้ผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมเป็นแฟรนไชส์ดีแทค เซ็นเตอร์ได้ โดยระบุคุณสมบัติไว้ เช่น ต้องเป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศไทย และมีทุนจดทะเบียน 5 แสนบาทขึ้นไป, มีใจรักในการประกอบธุรกิจการสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน และธุรกิจค้าปลีกทั้งด้านการขายและการบริการ, ไม่เป็นตัวแทนธุรกิจค้าส่งของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่รายอื่น เป็นต้น
ด้านแหล่งข่าวในธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การปรับปรุงการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการในระบบแฟรนไชส์ของดีแทคเป็นสาเหตุให้ผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งขอยกเลิกการเป็นแฟรนไชส์ดีแทค เซ็นเตอร์ เพราะมองว่าดีแทคมีกฎระเบียบในการบริหารจัดการสินค้า และเป้ายอดขายมากเกินไป ทำให้ผู้ประกอบการมีภาระเพิ่มขึ้นมาก และอาจทำให้รายได้ไม่คุ้มต้นทุนการบริหารงาน จึงมีบางรายหันไปร่วมมือกับบริษัทใหม่ และลงทุนแบรนด์ของตนเอง เนื่องจากอยู่ในวงการธุรกิจโทรศัพท์มือถือ มานาน จึงทำธุรกิจต่อได้ทันทีเพียงแต่ ไม่ผูกติดกับดีแทคอีกต่อไป
"บางรายทำดีแทค เซ็นเตอร์เกือบ 10 แห่งก็ยังเลิก เพราะไม่พอใจเรื่องนี้ กับอีกบางส่วนโดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการ รวมตัวกันตั้งบริษัทใหม่ลิงก์เน็ตเวิร์กขึ้นมาดูแลการบริหารจัดการระบบงานหลังบ้าง คลังสินค้า และดิวกับแบรนด์ต่าง ๆ โดยไม่ได้ผูกติดอยู่แค่การขายมือถือ แต่รวมไปถึงสินค้าอุปโภค, บริการชำระเงินออนไลน์, สินค้าท้องถิ่นอื่น ๆ ด้วย ซึ่งนอกจากจะมีสินค้าที่หลากหลายกว่าแล้ว ยังไม่มีกฎระเบียบหรือเงื่อนไขเข้มงวด เหมือนระบบแฟรนไชส์เดิมด้วย"
แหล่งข่าวอีกรายในธุรกิจโทรศัพท์ มือถือกล่าวว่า การปรับระบบการจัดจำหน่ายสินค้าครั้งใหญ่ของดีแทค ส่งผลกระทบถึงผู้ประกอบการรายเดิมบางส่วนที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามการประเมินภายใต้เงื่อนไขใหม่ แม้จะทำยอดขายได้ตามเป้า ขณะที่บางส่วนผ่านเกณฑ์มาตรฐานแต่ไม่พอใจที่ต้องปรับระบบภายในใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานใหม่ของดีแทค และไม่ใช่จะไม่ต้องการปรับตัว เชื่อว่าทุกรายพร้อมปรับเปลี่ยนเพียงแต่ไม่พอใจสไตล์การบริหารงานของทีมงานปัจจุบัน
"ถ้ามีการปรับเปลี่ยนแบบละมุนละม่อมกว่านี้ก็คงไม่มีเรื่อง ขณะที่การปรับครั้งนี้เป็นการปรับครั้งใหญ่ ทำให้ทุกคนได้รับผลกระทบ แม้จะเข้าใจว่าทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง และต้องหาทางปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้นก็ตาม จึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละรายว่าจะยังคงทำธุรกิจกับดีแทคต่อไป หรือหันไปหารายใหม่ดีกว่า"
แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559 (หน้า 28)
'ดีแทค' ยกเครื่องระบบจัดจำหน่ายนัดเคลียร์ 'แฟรนไชซี' ก.พ.-ตั้งเป้าอัพเกรดบริการ
'ดีแทค' ยกเครื่องระบบจัดจำหน่ายนัดเคลียร์ 'แฟรนไชซี' ก.พ.-ตั้งเป้าอัพเกรดบริการ
ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559
"ดีแทค" เขย่าโครงสร้างการจัดจำหน่ายจ้างบริษัทที่ปรึกษาปรับปรุงระบบแฟรนไชส์ ยกกระบิ พร้อมเตรียมนัดคุยทำความเข้าใจเจ้าของแฟรนไชส์รายใหญ่ต้น ก.พ.นี้ หวังอัพเกรดมาตรฐานบริการ "ดีแทค เซ็นเตอร์" ใหม่หมด ขณะที่บางรายไม่รอหันซบอก "ลิงก์ เน็ตเวิร์ก"
นายปัญญา เวชบรรยงรัตน์ ผู้อำนวยการ อาวุโส ธุรกิจภูมิภาค-กรุงเทพฯและปริมณฑล บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตั้งแต่กลางปี 2558 ที่ผ่านมา บริษัทได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาภายนอกให้เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการภายใต้เครือข่ายแฟรนไชส์ "ดีแทค เซ็นเตอร์" เพื่อให้วางกลยุทธ์ใหม่ทั้งหมด และยกระดับมาตรฐานการให้บริการให้ดีขึ้น เนื่องจากมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำให้ลูกค้าในพื้นที่ต่าง ๆ มีโอกาสในการเข้าไปใช้บริการมากกว่าศูนย์บริการ หรือ "ดีแทค ฮอลล์" ที่บริษัทบริหารเอง
"เป็นการประเมินแฟรนไชส์ครั้งใหญ่ เพราะต้องการวัดผลคู่ค้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงยกระดับประสิทธิภาพในการจำหน่ายสินค้าและบริการในอนาคต ประกอบด้วยระบบดิสทริบิวชั่น และการขาย ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อยกเลิก แฟรนไชส์ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ออกไป เพราะดีแทค เซ็นเตอร์ถือเป็นอีกช่องทางการให้บริการลูกค้าที่มีความสำคัญ ดังนั้น บริษัทจึงเน้นการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้คู่ค้า สามารถจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น และเติบโตไปด้วยกันกับดีแทค"
โดยภายในต้นเดือน ก.พ.นี้บริษัท จะมีการนัดคุยกับแฟรนไชซีที่มีสาขาจำนวนหนึ่ง เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับปรุงระบบ และการบริการรูปแบบใหม่ของดีแทค เซ็นเตอร์ด้วย"
ปัจจุบันดีแทค เซ็นเตอร์มีจำนวนกว่า 373 สาขาทั่วประเทศ โดยจะทำหน้าที่จำหน่ายสินค้าและบริการภายใต้แบรนด์ดีแทค มีรายได้มาจากค่าธรรมเนียม ในการให้บริการ เช่น การรับชำระค่าบริการรายเดือน และการเติมเงิน รวมถึง การจัดจำหน่ายสินค้า เช่น โทรศัพท์มือถือ, อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ, ซิมการ์ด, แพ็กเกจ บริการด้านเสียง (Voice) และข้อมูล (Data) ตลอดจนบริการเสริมต่าง ๆ เช่น Entertainment Information และเพลง เป็นต้น
ซึ่งข้อมูลในเว็บไซต์ของบริษัท (dtac.co.th) เปิดให้ผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมเป็นแฟรนไชส์ดีแทค เซ็นเตอร์ได้ โดยระบุคุณสมบัติไว้ เช่น ต้องเป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศไทย และมีทุนจดทะเบียน 5 แสนบาทขึ้นไป, มีใจรักในการประกอบธุรกิจการสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน และธุรกิจค้าปลีกทั้งด้านการขายและการบริการ, ไม่เป็นตัวแทนธุรกิจค้าส่งของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่รายอื่น เป็นต้น
ด้านแหล่งข่าวในธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การปรับปรุงการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการในระบบแฟรนไชส์ของดีแทคเป็นสาเหตุให้ผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งขอยกเลิกการเป็นแฟรนไชส์ดีแทค เซ็นเตอร์ เพราะมองว่าดีแทคมีกฎระเบียบในการบริหารจัดการสินค้า และเป้ายอดขายมากเกินไป ทำให้ผู้ประกอบการมีภาระเพิ่มขึ้นมาก และอาจทำให้รายได้ไม่คุ้มต้นทุนการบริหารงาน จึงมีบางรายหันไปร่วมมือกับบริษัทใหม่ และลงทุนแบรนด์ของตนเอง เนื่องจากอยู่ในวงการธุรกิจโทรศัพท์มือถือ มานาน จึงทำธุรกิจต่อได้ทันทีเพียงแต่ ไม่ผูกติดกับดีแทคอีกต่อไป
"บางรายทำดีแทค เซ็นเตอร์เกือบ 10 แห่งก็ยังเลิก เพราะไม่พอใจเรื่องนี้ กับอีกบางส่วนโดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการ รวมตัวกันตั้งบริษัทใหม่ลิงก์เน็ตเวิร์กขึ้นมาดูแลการบริหารจัดการระบบงานหลังบ้าง คลังสินค้า และดิวกับแบรนด์ต่าง ๆ โดยไม่ได้ผูกติดอยู่แค่การขายมือถือ แต่รวมไปถึงสินค้าอุปโภค, บริการชำระเงินออนไลน์, สินค้าท้องถิ่นอื่น ๆ ด้วย ซึ่งนอกจากจะมีสินค้าที่หลากหลายกว่าแล้ว ยังไม่มีกฎระเบียบหรือเงื่อนไขเข้มงวด เหมือนระบบแฟรนไชส์เดิมด้วย"
แหล่งข่าวอีกรายในธุรกิจโทรศัพท์ มือถือกล่าวว่า การปรับระบบการจัดจำหน่ายสินค้าครั้งใหญ่ของดีแทค ส่งผลกระทบถึงผู้ประกอบการรายเดิมบางส่วนที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามการประเมินภายใต้เงื่อนไขใหม่ แม้จะทำยอดขายได้ตามเป้า ขณะที่บางส่วนผ่านเกณฑ์มาตรฐานแต่ไม่พอใจที่ต้องปรับระบบภายในใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานใหม่ของดีแทค และไม่ใช่จะไม่ต้องการปรับตัว เชื่อว่าทุกรายพร้อมปรับเปลี่ยนเพียงแต่ไม่พอใจสไตล์การบริหารงานของทีมงานปัจจุบัน
"ถ้ามีการปรับเปลี่ยนแบบละมุนละม่อมกว่านี้ก็คงไม่มีเรื่อง ขณะที่การปรับครั้งนี้เป็นการปรับครั้งใหญ่ ทำให้ทุกคนได้รับผลกระทบ แม้จะเข้าใจว่าทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง และต้องหาทางปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้นก็ตาม จึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละรายว่าจะยังคงทำธุรกิจกับดีแทคต่อไป หรือหันไปหารายใหม่ดีกว่า"
แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559 (หน้า 28)