ผมยังคงให้ความสำคัญกับน้ำมัน เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันที่ลดลงต่ำสุดที่ราคา 27 us ทำให้หลายคนแตกตื่นในราคาขนาดนี้ว่า ประเทศที่ผลิตจะอยู่รอดกันได้ไหม งั้นเริ่มกันที่ใครอยู่ ใครไปกันก่อน
http://money.cnn.com/interactive/economy/the-cost-to-produce-a-barrel-of-oil/
จากภาพจะแบ่งออกเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุนกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เมื่อรวมกันก็คือต้นทุนในการผลิตน้ำมัน จะเห็นว่าที่ราคา 27 us ประเทศที่ไปก่อนก้คือตั้งแต่ UK ลงมาถึง kazakhstan ส่วนประเทศที่ยังสู้ต่อได้คือ libya ลงมาถึง kuwait โดยประเทศพี่ใหญ่ใน opec อย่างซาอุมีต้นทุนการผลิตแค่ 9.90 us และประเทศคู่กัดอย่างอิหร่านมีต้นทุนที่ 12.60 us คราวนี้มาดูประเทศที่ผลิตน้ำมันออกมามากที่ติดอันดับบนๆ กันบ้าง
http://www.whichcountry.co/top-10-largest-oil-producing-countries-in-the-world/
จากภาพจะเห็นว่ารัสเซียมาเป็นอันดับ 1 ดังนั้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาจะเห็นวิกฤติของค่าเงินรูเบิลที่รูดลงมาตามราคาน้ำมันที่ตกฮวบฮาบ
http://www.bloomberg.com/news/articles/2016-01-20/ruble-trades-at-record-low-as-oil-impact-worse-than-sanctions
และประเทศต่อมาอย่างซาอุก็คงจะเห็นข่าวร้ายออกมาเรื่อยๆ อาจต้องขายหุ้นริษัทน้ำมันหรืออีกไม่เกิน 5 ปีจะต้องกลายเป็นกรีกเพราะพึ่งพาน้ำมันมากเกินไป ช่วงนี้คือการแข่งกับเวลา เพราะตัวเองมีต้นทุนที่ต่ำมากดังนั้นจึงคิดตื้นๆ ที่จะลดราคาลงมาจนประเทศอื่นๆ ที่ผลิตอยู่ไม่ได้
ต่อมาเรามาดูประเทศที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมัน ก็คือประเทศที่ใช้น้ำมันเยอะนั้นเองที่จะได้ราคาที่ถูกลง และประหยัดเงินเข้าประเป๋าไปได้อีกมากโข
1. US 18.5 mb/d
2. china 10.3 mb/d
3. japan 4.7 mb/d
4. india 3.6 mb/d
5. russia 3.2 mb/d
6. saudi arabia 2.86 mb/d
7. brazil 2.8 mb/d
8. german 2.4 mb/d
9. south korea 2.3 mb/d
10. canada 2.28 mb/d
http://www.hydrocarbons-technology.com/features/featurethe-10-biggest-oil-consuming-countries-4141632/
จะเห็นว่าในหลายๆ ประเทศก็เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคในเวลาเดียวกัน ผลกระทบจึงตกอยู่ในกลุ่มส่งออกเป็นหลักมากกว่า และประเทศไทยใช้น้ำมัน 1.25 mb/d โดยน้ำมันส่วนใหญ่มากกว่าครึ่งนำไปผลิตไฟฟ้า เพราะโรงงานไฟฟ้าที่สร้างได้ยาก (สร้างทีไรถูกประท้วงทุกที) และปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากทุกปีไปพร้อมการเติบโตภาคการท่องเที่ยว
สิ่งที่จะเห็นคือผู้นำโลกเก่าอย่างซาอุที่พยายามรักษาอำนาจของตัวเองเอาไว้ เพราะถ้าซาอุไม่ได้เป็นมหาอำนาจด้านน้ำมันแล้วก็จะต้องตกที่นั้งลำบากอย่างแน่นอน เมื่ออิหร่านที่กำลังจะกลับเข้ามาในเกม เดินหน้าท้าทายในทุกด้านเพื่อแย่งชิงตะวันออกกลางกัน และเทคโนโลยีในการผลิตใหม่ๆ ของอเมริกา ทรายน้ำมันของแคนนาดาหรือรถที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งพลังงานสะอากที่เติบโตเรื่อยๆ การลดลงของราคาน้ำมันเป็นเพียงการชะลอการมาของเทคโนโลยีแค่นั้น แต่คงหนีพ้นไม่ได้
ขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านจนจบถ้าชอบบทความนี้ ขอให้ช่วยกดไลค์ กดแชร์เพจเพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้เขียนได้มีผลงานต่อไป
ติดตามเพจได้ที่
https://www.facebook.com/Investment-for-student-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-1519848498288167/
หรือกดค้นหา Investment for student - ตัวอ่อนนักลงทุน
โลกใหม่ของน้ำมัน
http://money.cnn.com/interactive/economy/the-cost-to-produce-a-barrel-of-oil/
จากภาพจะแบ่งออกเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุนกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เมื่อรวมกันก็คือต้นทุนในการผลิตน้ำมัน จะเห็นว่าที่ราคา 27 us ประเทศที่ไปก่อนก้คือตั้งแต่ UK ลงมาถึง kazakhstan ส่วนประเทศที่ยังสู้ต่อได้คือ libya ลงมาถึง kuwait โดยประเทศพี่ใหญ่ใน opec อย่างซาอุมีต้นทุนการผลิตแค่ 9.90 us และประเทศคู่กัดอย่างอิหร่านมีต้นทุนที่ 12.60 us คราวนี้มาดูประเทศที่ผลิตน้ำมันออกมามากที่ติดอันดับบนๆ กันบ้าง
http://www.whichcountry.co/top-10-largest-oil-producing-countries-in-the-world/
จากภาพจะเห็นว่ารัสเซียมาเป็นอันดับ 1 ดังนั้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาจะเห็นวิกฤติของค่าเงินรูเบิลที่รูดลงมาตามราคาน้ำมันที่ตกฮวบฮาบ
http://www.bloomberg.com/news/articles/2016-01-20/ruble-trades-at-record-low-as-oil-impact-worse-than-sanctions
และประเทศต่อมาอย่างซาอุก็คงจะเห็นข่าวร้ายออกมาเรื่อยๆ อาจต้องขายหุ้นริษัทน้ำมันหรืออีกไม่เกิน 5 ปีจะต้องกลายเป็นกรีกเพราะพึ่งพาน้ำมันมากเกินไป ช่วงนี้คือการแข่งกับเวลา เพราะตัวเองมีต้นทุนที่ต่ำมากดังนั้นจึงคิดตื้นๆ ที่จะลดราคาลงมาจนประเทศอื่นๆ ที่ผลิตอยู่ไม่ได้
ต่อมาเรามาดูประเทศที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมัน ก็คือประเทศที่ใช้น้ำมันเยอะนั้นเองที่จะได้ราคาที่ถูกลง และประหยัดเงินเข้าประเป๋าไปได้อีกมากโข
2. china 10.3 mb/d
3. japan 4.7 mb/d
4. india 3.6 mb/d
5. russia 3.2 mb/d
6. saudi arabia 2.86 mb/d
7. brazil 2.8 mb/d
8. german 2.4 mb/d
9. south korea 2.3 mb/d
10. canada 2.28 mb/d
http://www.hydrocarbons-technology.com/features/featurethe-10-biggest-oil-consuming-countries-4141632/
จะเห็นว่าในหลายๆ ประเทศก็เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคในเวลาเดียวกัน ผลกระทบจึงตกอยู่ในกลุ่มส่งออกเป็นหลักมากกว่า และประเทศไทยใช้น้ำมัน 1.25 mb/d โดยน้ำมันส่วนใหญ่มากกว่าครึ่งนำไปผลิตไฟฟ้า เพราะโรงงานไฟฟ้าที่สร้างได้ยาก (สร้างทีไรถูกประท้วงทุกที) และปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากทุกปีไปพร้อมการเติบโตภาคการท่องเที่ยว
สิ่งที่จะเห็นคือผู้นำโลกเก่าอย่างซาอุที่พยายามรักษาอำนาจของตัวเองเอาไว้ เพราะถ้าซาอุไม่ได้เป็นมหาอำนาจด้านน้ำมันแล้วก็จะต้องตกที่นั้งลำบากอย่างแน่นอน เมื่ออิหร่านที่กำลังจะกลับเข้ามาในเกม เดินหน้าท้าทายในทุกด้านเพื่อแย่งชิงตะวันออกกลางกัน และเทคโนโลยีในการผลิตใหม่ๆ ของอเมริกา ทรายน้ำมันของแคนนาดาหรือรถที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งพลังงานสะอากที่เติบโตเรื่อยๆ การลดลงของราคาน้ำมันเป็นเพียงการชะลอการมาของเทคโนโลยีแค่นั้น แต่คงหนีพ้นไม่ได้
ขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านจนจบถ้าชอบบทความนี้ ขอให้ช่วยกดไลค์ กดแชร์เพจเพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้เขียนได้มีผลงานต่อไป
ติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/Investment-for-student-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-1519848498288167/
หรือกดค้นหา Investment for student - ตัวอ่อนนักลงทุน