ยิ่งรถเก่า ยิ่งต้องดูแล เพราะโอกาสงอแง โอกาสเสีย มันก็เยอะขึ้น

ที่บอกไม่ต้องเข้าศูนย์ เพราะ ค่าใช้จ่ายศูนย์ค่อนข้างแพง และคนพูดมีอู่ Chev ที่ไว้ใจได้ครับ อันนี้ก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าไม่มีอู่ที่ไว้ใจ กะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามปั๊ม ตามร้านเฟรนชายด์ บอกเลยว่า ไม่นานรถคุณก็จะกลายเป็นรถจุกจิก กวนใจ นู่นเสีย นี่พังครับ

กับ Chev ในคู่มือมีบอกว่า แต่ละระยะ ต้องทำอะไรบ้างครับ ก็ตามนั้น รวมถึง ปกติ เวลาเข้าเช็ค อะไหล่ตัวไหน เริ่มเสีย เริ่มจะมีปัญหา เค้าก็จะแจ้งคุณ ก็เปลี่ยนตามนั้น ให้รถกลับมาสมบูรณ์ตลอดครับ

มีเพิ่มเติมนิดนึงก็คือ น้ำมันเกียร์ ขออย่างน้อยทุก 2 หมื่นกม. หรือ ปีละ 1 ครั้งครับ เข้าใจว่า คู่มือกำหนดนานกว่านั้น แต่ค่าซ่อมเกียร์มันแพงกว่าค่าน้ำมันเกียร์เยอะครับ

..................

รถที่บ้านผมทุกคัน เข้าศูนย์ตลอดครับ

คันนึง สิบกว่าปี 2 แสนกว่ากม. ก็เข้าศูนย์ จนวันสุดท้ายก่อนจะขายรถ ... ถึงมันจะเก่า แต่ไม่เคยงอแง ไม่เคยตายกลางทางเลย วิ่งไกลขึ้นเขาลงห้วย อ่างขาง / แม่สลอง ไปมาหมดละ

คันนึง 7 ปี แสนกว่ากม. ก็เข้าศูนย์ครับ ... คันนี้เคยลองนะ ไม่เข้าศูนย์ (รถน้อง) พ่อเอาไปเปลี่ยนน้ำมันตามปั๊ม บอกถูกดี ทำไป 2 รอบ

วันนึงผมมาขับ โหยยยยย สภาพอย่างกะ Taxi ดัง ทั้งคันน่ะครับ ผมเลยเอาเข้าศูนย์ สั่งสั้นๆ "ทำไงก็ได้ ให้มันวิ่งได้เหมือนรถผม" แล้วสิ่งที่เจอก็ ...

พัดลมไฟฟ้าพัง ... ถ้าความร้อนมันขึ้น ตอนรถติดหนักๆ เครื่องพัง จ่ายเท่าไหร่ครับ ?
ลูกหมากกันโคลงพังทั้ง 4 ตัว ... มีผลต่อการทรงตัว ยามหักหลบ ยามเข้าโค้ง ถ้าเกิดเหตุจำเป็นต้องหักหลบ ทำไง ?
ยางแท่นเครื่องทรุด ... สั่นเป็นเจ้าเข้า
น้ำมันเบรคไม่ได้เปลี่ยนดำสนิท ... แล้วถ้าชุดเบรคมันพัง เบรคติดล่ะ ?

และอีกสารพัดรายการครับ รอบนั้นโดนไป 3 หมื่นกว่าบาท ... กลับมาบ้าน เอาบิลให้แม่ดู อธิบายให้ฟัง แค่นั้นแหละ พ่อผม โดนหูชาเลย

ผมถามว่า "เจ้าของรถ มีปัญญาจ่ายค่าซ่อม แลกกับความปลอดภัย แล้วมันจะอะไรกันนักหนา ต้องไปเข้าปั๊มเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเนี่ย ทำจนรถคันละล้านกว่าบาท ขับแล้วเหมือนกับรถ Taxi เนี่ย"

ตบท้ายด้วย "ต่อไปรถคันนี้ (ผม) ดูแลเอง คนอื่นไม่ต้องยุ่ง"