ณ สถานีตำรวจ ขณะนี้ตะวันตกดินแล้ว จ่าฟัสริลยังคงง่วนเขียนรายงานปิดเคสของตนอยู่ บนโต๊ะมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปวางอยู่ถ้วยหนึ่ง พร้อมที่เขี่ยบุหรี่ที่ตอนนี้ก้นบุหรี่เต็มแล้ว แต่ควันยังลอยโชยอยู่จากบุหรี่ตัวที่ยังติดไฟ
เขาหยิบหลักฐานเดิมที่เบิกมาจากห้องเก็บหลักฐาน ขึ้นมาทีละชิ้นๆ เหมือนการต่อจิ๊กซอว์ วาดโครงสร้างเรื่องในสมุดคร่าวๆ ถึงความสัมพันธ์ของศพต่างๆ ต่อนายกริชณะและซูซาน ก็ได้ทราบว่า เด็กๆเหล่านั้น เคยเป็นนักเรียนที่เนอสเซอรี่ที่ซูซานเคยทำงานอยู่ และจากที่กริชณะ พูดความรู้สึกบางอย่างออกมาตอนที่ทำนาโค อนาลิซิส ก็สามารถสรุปได้ว่า นายกริชณะ ไม่ต้องการให้ใครมารัก หรือไม่ต้องการให้ซูซานรักใครนอกจากตัวเอง จึงเป็นเหตุให้เขาเริ่มมีพฤติกรรมโฉดเช่นนั้น "แล้วหัวล่ะ หัวไปไหน ฉันไม่น่าถามคำถามอื่นๆเลย ฉันน่าจะถามไปตรงๆเลย ว่ามันเอาหัวไปฝังไว้ที่ไหน?" จ่าฟัสริลโทษตัวเองถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
เขาเริ่มหยิบกล่องที่ได้จากโรงพยาบาลมาเปิดดู เขาหยิบสร้อยคอทำจากเงิน ตรงกลางเป็นล็อกเกตรูปวงรี ฉลุลายดอกไม้ดูสวยงาม ด้านในสามารถใส่สิ่งของได้ขึ้นมาส่องดู
เขาเปิดมันออก ด้านใน มีรูปของสองคน อายุประมาณ 3 ขวบ เป็นเด็กหญิง ที่มีเค้าคล้ายกับซูซาน และอีกด้าน เป็นเด็กชาย อายุประมาณ 7 ขวบ ซึ่งดูก็รู้ ว่าเป็นกริชณะ เพราะหน้าตาไม่ได้แตกต่างไปเลย
ที่ด้านล่างของล็อกเกต สลักคำว่า "รักเรา นิรันดร"
"รักเมียน่าดูเลยเว้ย ไอ้บ้านี่!" จ่าฟัสริลยิ้มออกมา เอ็นดูในความน่ารัก โรแมนติกที่กริชณะมีต่อซูซาน
เขาเริ่มหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาดู หลังจากวางสร้อยนั่นลงในกล่องตามเดิม
สมุดนั้นเป็นสมุดภาพ ที่รวบรวมเรื่อราวต่างๆในชีวิตของกริชณะ
ภายในนั้น ปรากฎภาพครอบครัว ประกอบด้วย พ่อ แม่ เด็กชายและเด็กทารกซึ่งมารดาอุ้มอยู่ ถ่ายที่ริมทะเลแห่งหนึ่ง ในภาพ ทุกคนมีความสุข ยิ้มแย้ม อีกหน้าหนึ่ง เป็นรูปของเด็กชาย หอมหน้าผากน้องสาว ช่างน่าเอ็นดู จ่าฟัสริลน้ำตาไหลออกมาเพราะคิดถึงลูกตนเองขึ้นมาจับใจ
พอเปิดไปอีกหน้าหนึ่ง เป็นภาพของกริชณะกับซูซานในชุดแต่งงานแบบอินเดียสีแดง ซูซานขณะนั้นเธอผอม รูปร่างดี และสวย ซึ่งทำให้จ่าฟัสริล คิดถึงภรรยา ทำให้น้ำตาไหลออกมาอีก ภาพบรรยากาศในงาน เงียบเหงา ไม่มีแขกในงานเลย มีแค่เขาทั้งสอง และผู้ใหญ่ที่เป็นคนทำพิธีคนเดียว กำลังป้อนขนมรันดูให้กริชณะอยู่ ทำไมมันช่างเดียวดายเช่นนี้ แต่แขกเหรื่อในงานแต่งงาน มีหรือจะเทียบกับความรักยิ่งใหญ่ที่คนสองคนมีให้กัน ความรักต่างหาก งานแต่งงานมันเป็นแค่สิ่งที่มนุษย์แต่งเติมมันขึ้นมาเท่านั้น
หลายหน้าถัดไป กริชณะเขียนตัวอักษรบนกระดาษเปล่า
"ซูซาน ฉันจะคิดถึงเธอ"
"จบแล้วสินะ ความรักของแก" ฟัสริลปาดน้ำตาออก มองลงไปบนโต๊ะ หยดน้ำตาเลอะกระดาษรายงานของเขาหลายหยด
เขาเก็บสมุดนั้นไว้ในกล่องเช่นเดิม แล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดดู ภายในนั้นมีเงินจำนวนหนึ่ง นามบัตรของใครก็ไม่รู้อีกสองสามใบ และรูปถ่ายของเขาและซูซานในช่องใส หลังช่องใส มีช่องลับอยู่ ฟัสริลไม่รอช้า ล้วงเข้าไป และพบกระดาษแผ่นหนึ่ง เขารีบดึงมันออกมา
มันคือกระดาษหนังสือพิมพ์ เนื้อหาข่าวเริ่มเลือนลาง กระดาษกลายเป็นสีน้ำตาลแล้ว อ่านใจความสำคัญได้ดังนี้
"เกิดเหตุไฟไหม้บ้านหลังหนึ่งในเขต 7 มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีเด็กรอดชีวิตเพียง 2 คน"
รูปภาพใหญ่ เป็นภาพบ้านที่ถูกไฟไหม้จนเหลือแต่โครงสร้างบ้านเท่านั้น
ส่วนรูปภาพเล็กในข่าว เป็นบ้านหลังใหญ่ขนาด 5 ที่จอดรถ ไม่ทราบจำนวนห้องนอน ดูหรูหรา สมกับเป็นบ้านคนมีฐานะที่อยู่ในเขต 7 นั้น และรูปเด็ก ชายหญิงผู้รอดชีวิตทั้ง 2 คน
จ่าฟัสริลเพ่งไปที่เนื้อหาข่าว เพื่อหาว่าผู้เสียชีวิตคือใคร แต่ไม่พบ พบแต่เพียง ชื่อของผู้รอดชีวิต คือ เด็กชายกริชณะ บุตรนายคเนชณ์ และเด็กหญิงซูซาน บุตรสาวนายคเนชณ์
"
!!!" จ่าฟัสริลสบถออกมา "นี่
เป็นพี่น้องกันเหรอ?" "เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้วะเนี่ย?" "นี่มันอะไรกัน กูทำอะไรอยู่วะเนี่ย ใครบอกกูหน่อยได้ไหม?" จ่าฟัสริลงงงวยกับความสับสนที่อยู่ตรงหน้า
เขาจุดบุหรี่สูบอีกมวน อัดเข้าไปเต็มปอด แล้วปล่อยควันฉุยออกมารมหน้าเขา อารมณ์มึนของเขายังไม่หมดไป แต่ก็ไม่รู้จะสรุปรายงานเรื่องนี้กับนายอย่างไรเช่นกัน
สายวันรุ่งขึ้น จัสมินกำลังละหมาดอยู่ในห้องพัก วันนี้เธอไม่ได้เข้าเวร หลังจากที่ละหมาดเสร็จ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
แม่เธอโทรมา ถามสารทุกข์สุกดิบตามประสา จัสมินไม่คุยนาน เพราะยังอยู่ในอาการตกใจและเสียใจไม่หาย แต่ไม่อยากบอกให้แม่รู้ เพราะกลัวว่าแม่จะให้เธอกลับเมืองไทย
หลังจากวางสายแม่ไปแล้ว เธอเดินลงมาหาอาหารเช้าทานที่โรงอาหารของโรงพยาบาล เห็นรถตำรวจจอดอยู่ที่ลานจอดรถพอดี
จ่าฟัสริลเดินไปที่เค้าน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ขอพบหมอสุไลมาน เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบแล้วว่าวันนี้ หมอสุไลมานออกตรวจที่ตึกไหน เขาเร่งฝีเท้าเดินไปสถานที่นั้นทันที
"อัสลามมุอลัยกุมครับหมอ ขอโทษนะครับ ผมมาไม่ได้นัดหมอก่อน" จ่าฟัสริลทักทาย
"วอลัยกุมมุสลาม นั่งลงก่อนสิ เคสหมดพอดี ช่วงเช้า เดี๋ยวหลังจากนี้จะไปราวน์ต่อ คุณตำรวจมีอะไรอีก" หมอสุไลมานตอบ
"หมอ ผมมีเรื่องมาเล่าใฟ้ฟัง กริชณะกับซูซานเป็นพี่น้องกันครับ!" ฟัสริลพูดแบบไม่คาดคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น
"จริงดิ!
ละ แล้วมันเป็นผัวเมียกันได้ไงวะนั่น แถม
บ้าขนาดฆ่าเมียหรือน้องในไส้ตัวเองด้วย โรคจิตสัดๆ" หมอสุไลมานสบถออกมา
ฟัสริลยื่นกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าที่เคยอยู่ในกระเป๋าสตางค์ของกริชณะให้หมอสุไลมานดู หลังจากที่หมออ่านจบ เขาเอามือกุมขมับ ส่ายหัวไปมา
"แล้วคุณหาหัวเด็กๆเจอหรือยัง?" หมอสุไลมานถามจ่าฟัสริล
"เจออะไรล่ะหมอ มันตายก่อนสิ แต่มันพูดนะ บอกอยู่ในที่ที่ผมเจอมัน" จ่าฟัสริลพูดแบบครุ่นคิดในปริศนาที่กริชณะให้ไว้ก่อนตาย
"ผมจะรู้ไหมนั่น ว่ามันที่ไหน?" หมอสุไลมานเย้าเล่น
"ผมว่าผมรู้นะหมอ..." ฟัสริลเริ่มมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้า
"งั้นผมขอตัวไปราวน์คนไข้ก่อน หาเจอแล้วส่งข่าวด้วยนะ ผมรออยู่ สงสารลูกคุณ" หมอสุไลมานขอตัวแล้วเดินจากห้องพักแพทย์ไป
จ่าฟัสริลเดินออกมาที่รถ จัสมินเข้ามาพอดี
"คุณตำรวจ จะไปไหนเหรอคะ?" จัสมินถาม
"ไปที่เกิดเหตุ ผมว่าผมรู้แล้ว ว่าหัวเด็กๆอยู่ที่ไหน" จ่าฟัสริลตอบ
"จริงเหรอ งั้นขอฉันไปด้วยได้ไหม ฉันอยากเจอซีย์ เผื่อเธอจะบอกให้ฉันรู้ ว่าเธออยู่ที่ไหน" จัสมินขอติดรถตามไปเคแอลด้วย
"ไปสิ" แล้วทั้งสองก็ขึ้นรถ มุ่งหน้าไปเขต 7 ในชาอลัม ทันที
"ผมขอจอดที่หน้าบ้านที่เกิดเหตุหน่อยนะ อยากดูอะไรหน่อย" จ่าฟัสริลขับรถไปจอดที่บ้านร้างหลังที่กริชณะก่อเหตุหั่นศพซีย์และซูซาน
ซีย์ยืนอยู่หน้าบ้าน จัสมินเห็นเธอ เธอยืนจับมือกับดาริกาอยู่ สีหน้าของทั้งสองยิ้มแย้ม พลางกวักมือเรียกให้จัสมินลงมาจากรถ
จัสมินเดินตามจ่าฟัสริลเข้ามาถึงรั้วบ้าน จ่าคลี่กระดาษหนังสือพิมพ์ออก เทียบรูปภาพกับบ้านร้างนั้น มันคือบ้านหลังเดียวกัน
"จัสมิน ที่นี่มันฆ่าทุกคน ซีย์ ลิลี่ และลินดา ลูกสาวผม ที่นี่คือบ้านของมัน พ่อแม่มันโดนไฟคลอกตายหมด เหลือแค่มันกับซูซาน แล้วคุณรู้ไหม มันแต่งงานกับน้องสาวของมันเอง บ้าไหม" จ่าฟัสริลพูดอย่างเลื่อนลอย
"เราเข้าไปดูข้างในกันเถอะ เผื่อจะเจออะไร" จ่าฟัสริลเชิญชวน
เมื่อขึ้นไปชั้นสอง ห้องถูกแบ่งเป็นสัดส่วน สภาพยังคงสามารถจินตนาการได้ ว่าห้องไหนเป็นห้องไหน สิ่งของต่างๆ ไม่ได้ถูกเคลื่อนย้าย นอกจากสายไฟ ที่ถูกขโมยไปขายจากคนเก็บของเก่า เตียงเด็กยังคงอยู่ในห้องนอนเล็ก รอยไหม้เหลือแต่โครงเหล็ก ดำเป็นตอตะโกตรงมุมห้อง ภาพถ่ายในกรอบรูปยังคงเห็นเป็นเศษๆ จ่าฟัสริลเดินไปสำรวจที่ห้องนอนใหญ่
ที่ตู้เสื้อผ้าเขาเปิดดู ภายในว่างเปล่า. จัสมินขอตัวลงมาข้างล่างเพราะรู้สึกหดหู่ใจเหลือเกิน
ออกมานอกบ้าน เด็กทั้งสองคนส่ายหัวเป็นเชิงสัญลักษณ์ แต่ไม่ได้พูดอะไร
สักพัก จัสมินตะโกนเรียกจ่าฟัสริลจากด้านนอก เขาลงมา
"ฉันว่าหัวไม่ได้อยู่ที่นี่" จัสมินบอกจ่า พลางป้องมือบังแดดที่ร้อนจ้า ในช่วงกลางวัน
"งั้นก็มีอีกที่นึง ที่น่าจะเป็นไปได้" จ่าฟัสริลรุดขึ้นรถแล้วสตาร์ทเครื่องออกไปทันที
เขาขับผ่านกองขยะในหมู่บ้าน ชี้ให้ดูถึงสถานที่ที่ฆาตรกรหั่นศพแล้วเอามาโยนทิ้ง จัสมินเห็นซีย์ยืนอยู่เช่นกัน เธอโบกมือหย็อยๆ
"ไม่ใช่ที่นี่เหมือนกันค่ะคุณตำรวจ" จัสมินกล่าว
"แล้วที่ไหนอีกล่ะ ที่ที่ผมเจอมัน" ฟัสริลเริ่มหัวเสีย เพราะอากาศร้อนอีกทั้งยังไม่เจอจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่เขาเฝ้าหาอยู่เป็นเวลานาน
"อะฮ้าาาา!! ชั้นว่าฉันไม่โง่ขนาดนั้นนะไอ้โรคจิต" จ่าฟัสริลตบตักดังฉาด แล้วบึ่งรถออกไปทันที
เขาจอดรถตรงริมถนนใหญ่ที่ที่เขาเคยนำตัวกริชณะไปโรงพัก
"นี่คือที่สุดท้าย ที่ผมจับมัน ถ้าไม่ใช่ที่บ้าน" จ่าฟัสริลพูดแบบมีความหวังในดวงตา
เขาลงจากรถ จัสมินตามลงมาติดๆ ข้างทาง เป็นพงหญ้า มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาทึบ เหมาะแก่การซ่อนของยิ่งนัก
"แกชอบการผจญภัยใช่ไหม กริชณะ มาดูกัน ว่าฉันจะเจอสมบัติที่แกซ่อนไว้ไหม" จ่าฟัสริลไม่รอช้า เดินเข้าไปในพงหญ้าทันที เขาแหวกพงหญ้าที่หนาทึบนั้น จัสมินก็เดินตามไปติดๆ หวังจะได้เจออะไรสักอย่าง เขาเดินลึกเข้าไประยะหนึ่ง ก็เป็นกำแพงของบ้านหลังหนึ่งในเขต 7 นั่นแล้ว ฟัสริลเดินเลาะแนวกำแพงไปเรื่อย สายตาลดต่ำลงตามหาร่องรอยการขุดดิน หรือเศษกระดูกหรืออะไรก็ได้ที่อาจจะโผล่ออกมา หรืออย่างน้อย ก็หลักฐานสักอันน่า ที่บอกให้รู้ ว่าเขามาถูกที่แล้ว
ตะวันคล้อยต่ำลงทุกที ห้าโมงครึ่งแล้ว ฟ้าเริ่มมืดลง ทั้งสองเดินออกมาจากพงหญ้ามือเปล่า ไม่มีหลักฐานหรือชิ้นส่วนอะไรที่บ่งบอกเลย ว่าความหวังของเขามีทางจะเป็นจริง พวกเขาเดินออกมานั่งที่ริมฟุตบาท ที่ที่กริชณะเคยนั่งดื่มน้ำตอนก่อนที่เขาจะถูกจ่าฟัสริลจับ
ไฟทางริมถนนเปิดแล้ว จัสมินนั่งลงพักเหนื่อย. ทันใดนั้น สายตาเหลือบไปเห็นหัวของซีย์ยื่นออกมาจากกำแพงต้นชาตรงเกาะกลางถนน สายตาซีย์มองมาที่เธอ แสยะยิ้ม ผมเผ้ายุ่งเหยิง จัสมินตกใจมาก สะดุ้งยืนสุดตัวพลางชี้ไปที่เกาะกลางถนน
"จ่าาาา!!! ตรงนั้น!!" ขาดคำเธอ จ่าฟัสริลวิ่งไปที่เกาะกลางถนนทันที เขารื้อกำแพงต้นชาออก หนามและกิ่งบาดมือเขาเลือดออก แต่เขาหาได้ระคายไม่ ยังคงพังทลายกำแพงนั้นออกอย่างคนเสียสติ
Section 7.2 "Go home together" (7 ตอนสยองขวัญ) ตอนที่ 7.2/7
เขาหยิบหลักฐานเดิมที่เบิกมาจากห้องเก็บหลักฐาน ขึ้นมาทีละชิ้นๆ เหมือนการต่อจิ๊กซอว์ วาดโครงสร้างเรื่องในสมุดคร่าวๆ ถึงความสัมพันธ์ของศพต่างๆ ต่อนายกริชณะและซูซาน ก็ได้ทราบว่า เด็กๆเหล่านั้น เคยเป็นนักเรียนที่เนอสเซอรี่ที่ซูซานเคยทำงานอยู่ และจากที่กริชณะ พูดความรู้สึกบางอย่างออกมาตอนที่ทำนาโค อนาลิซิส ก็สามารถสรุปได้ว่า นายกริชณะ ไม่ต้องการให้ใครมารัก หรือไม่ต้องการให้ซูซานรักใครนอกจากตัวเอง จึงเป็นเหตุให้เขาเริ่มมีพฤติกรรมโฉดเช่นนั้น "แล้วหัวล่ะ หัวไปไหน ฉันไม่น่าถามคำถามอื่นๆเลย ฉันน่าจะถามไปตรงๆเลย ว่ามันเอาหัวไปฝังไว้ที่ไหน?" จ่าฟัสริลโทษตัวเองถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
เขาเริ่มหยิบกล่องที่ได้จากโรงพยาบาลมาเปิดดู เขาหยิบสร้อยคอทำจากเงิน ตรงกลางเป็นล็อกเกตรูปวงรี ฉลุลายดอกไม้ดูสวยงาม ด้านในสามารถใส่สิ่งของได้ขึ้นมาส่องดู
เขาเปิดมันออก ด้านใน มีรูปของสองคน อายุประมาณ 3 ขวบ เป็นเด็กหญิง ที่มีเค้าคล้ายกับซูซาน และอีกด้าน เป็นเด็กชาย อายุประมาณ 7 ขวบ ซึ่งดูก็รู้ ว่าเป็นกริชณะ เพราะหน้าตาไม่ได้แตกต่างไปเลย
ที่ด้านล่างของล็อกเกต สลักคำว่า "รักเรา นิรันดร"
"รักเมียน่าดูเลยเว้ย ไอ้บ้านี่!" จ่าฟัสริลยิ้มออกมา เอ็นดูในความน่ารัก โรแมนติกที่กริชณะมีต่อซูซาน
เขาเริ่มหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาดู หลังจากวางสร้อยนั่นลงในกล่องตามเดิม
สมุดนั้นเป็นสมุดภาพ ที่รวบรวมเรื่อราวต่างๆในชีวิตของกริชณะ
ภายในนั้น ปรากฎภาพครอบครัว ประกอบด้วย พ่อ แม่ เด็กชายและเด็กทารกซึ่งมารดาอุ้มอยู่ ถ่ายที่ริมทะเลแห่งหนึ่ง ในภาพ ทุกคนมีความสุข ยิ้มแย้ม อีกหน้าหนึ่ง เป็นรูปของเด็กชาย หอมหน้าผากน้องสาว ช่างน่าเอ็นดู จ่าฟัสริลน้ำตาไหลออกมาเพราะคิดถึงลูกตนเองขึ้นมาจับใจ
พอเปิดไปอีกหน้าหนึ่ง เป็นภาพของกริชณะกับซูซานในชุดแต่งงานแบบอินเดียสีแดง ซูซานขณะนั้นเธอผอม รูปร่างดี และสวย ซึ่งทำให้จ่าฟัสริล คิดถึงภรรยา ทำให้น้ำตาไหลออกมาอีก ภาพบรรยากาศในงาน เงียบเหงา ไม่มีแขกในงานเลย มีแค่เขาทั้งสอง และผู้ใหญ่ที่เป็นคนทำพิธีคนเดียว กำลังป้อนขนมรันดูให้กริชณะอยู่ ทำไมมันช่างเดียวดายเช่นนี้ แต่แขกเหรื่อในงานแต่งงาน มีหรือจะเทียบกับความรักยิ่งใหญ่ที่คนสองคนมีให้กัน ความรักต่างหาก งานแต่งงานมันเป็นแค่สิ่งที่มนุษย์แต่งเติมมันขึ้นมาเท่านั้น
หลายหน้าถัดไป กริชณะเขียนตัวอักษรบนกระดาษเปล่า
"ซูซาน ฉันจะคิดถึงเธอ"
"จบแล้วสินะ ความรักของแก" ฟัสริลปาดน้ำตาออก มองลงไปบนโต๊ะ หยดน้ำตาเลอะกระดาษรายงานของเขาหลายหยด
เขาเก็บสมุดนั้นไว้ในกล่องเช่นเดิม แล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดดู ภายในนั้นมีเงินจำนวนหนึ่ง นามบัตรของใครก็ไม่รู้อีกสองสามใบ และรูปถ่ายของเขาและซูซานในช่องใส หลังช่องใส มีช่องลับอยู่ ฟัสริลไม่รอช้า ล้วงเข้าไป และพบกระดาษแผ่นหนึ่ง เขารีบดึงมันออกมา
มันคือกระดาษหนังสือพิมพ์ เนื้อหาข่าวเริ่มเลือนลาง กระดาษกลายเป็นสีน้ำตาลแล้ว อ่านใจความสำคัญได้ดังนี้
"เกิดเหตุไฟไหม้บ้านหลังหนึ่งในเขต 7 มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีเด็กรอดชีวิตเพียง 2 คน"
รูปภาพใหญ่ เป็นภาพบ้านที่ถูกไฟไหม้จนเหลือแต่โครงสร้างบ้านเท่านั้น
ส่วนรูปภาพเล็กในข่าว เป็นบ้านหลังใหญ่ขนาด 5 ที่จอดรถ ไม่ทราบจำนวนห้องนอน ดูหรูหรา สมกับเป็นบ้านคนมีฐานะที่อยู่ในเขต 7 นั้น และรูปเด็ก ชายหญิงผู้รอดชีวิตทั้ง 2 คน
จ่าฟัสริลเพ่งไปที่เนื้อหาข่าว เพื่อหาว่าผู้เสียชีวิตคือใคร แต่ไม่พบ พบแต่เพียง ชื่อของผู้รอดชีวิต คือ เด็กชายกริชณะ บุตรนายคเนชณ์ และเด็กหญิงซูซาน บุตรสาวนายคเนชณ์
" !!!" จ่าฟัสริลสบถออกมา "นี่เป็นพี่น้องกันเหรอ?" "เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้วะเนี่ย?" "นี่มันอะไรกัน กูทำอะไรอยู่วะเนี่ย ใครบอกกูหน่อยได้ไหม?" จ่าฟัสริลงงงวยกับความสับสนที่อยู่ตรงหน้า
เขาจุดบุหรี่สูบอีกมวน อัดเข้าไปเต็มปอด แล้วปล่อยควันฉุยออกมารมหน้าเขา อารมณ์มึนของเขายังไม่หมดไป แต่ก็ไม่รู้จะสรุปรายงานเรื่องนี้กับนายอย่างไรเช่นกัน
สายวันรุ่งขึ้น จัสมินกำลังละหมาดอยู่ในห้องพัก วันนี้เธอไม่ได้เข้าเวร หลังจากที่ละหมาดเสร็จ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
แม่เธอโทรมา ถามสารทุกข์สุกดิบตามประสา จัสมินไม่คุยนาน เพราะยังอยู่ในอาการตกใจและเสียใจไม่หาย แต่ไม่อยากบอกให้แม่รู้ เพราะกลัวว่าแม่จะให้เธอกลับเมืองไทย
หลังจากวางสายแม่ไปแล้ว เธอเดินลงมาหาอาหารเช้าทานที่โรงอาหารของโรงพยาบาล เห็นรถตำรวจจอดอยู่ที่ลานจอดรถพอดี
จ่าฟัสริลเดินไปที่เค้าน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ขอพบหมอสุไลมาน เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบแล้วว่าวันนี้ หมอสุไลมานออกตรวจที่ตึกไหน เขาเร่งฝีเท้าเดินไปสถานที่นั้นทันที
"อัสลามมุอลัยกุมครับหมอ ขอโทษนะครับ ผมมาไม่ได้นัดหมอก่อน" จ่าฟัสริลทักทาย
"วอลัยกุมมุสลาม นั่งลงก่อนสิ เคสหมดพอดี ช่วงเช้า เดี๋ยวหลังจากนี้จะไปราวน์ต่อ คุณตำรวจมีอะไรอีก" หมอสุไลมานตอบ
"หมอ ผมมีเรื่องมาเล่าใฟ้ฟัง กริชณะกับซูซานเป็นพี่น้องกันครับ!" ฟัสริลพูดแบบไม่คาดคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น
"จริงดิ! ละ แล้วมันเป็นผัวเมียกันได้ไงวะนั่น แถมบ้าขนาดฆ่าเมียหรือน้องในไส้ตัวเองด้วย โรคจิตสัดๆ" หมอสุไลมานสบถออกมา
ฟัสริลยื่นกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าที่เคยอยู่ในกระเป๋าสตางค์ของกริชณะให้หมอสุไลมานดู หลังจากที่หมออ่านจบ เขาเอามือกุมขมับ ส่ายหัวไปมา
"แล้วคุณหาหัวเด็กๆเจอหรือยัง?" หมอสุไลมานถามจ่าฟัสริล
"เจออะไรล่ะหมอ มันตายก่อนสิ แต่มันพูดนะ บอกอยู่ในที่ที่ผมเจอมัน" จ่าฟัสริลพูดแบบครุ่นคิดในปริศนาที่กริชณะให้ไว้ก่อนตาย
"ผมจะรู้ไหมนั่น ว่ามันที่ไหน?" หมอสุไลมานเย้าเล่น
"ผมว่าผมรู้นะหมอ..." ฟัสริลเริ่มมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้า
"งั้นผมขอตัวไปราวน์คนไข้ก่อน หาเจอแล้วส่งข่าวด้วยนะ ผมรออยู่ สงสารลูกคุณ" หมอสุไลมานขอตัวแล้วเดินจากห้องพักแพทย์ไป
จ่าฟัสริลเดินออกมาที่รถ จัสมินเข้ามาพอดี
"คุณตำรวจ จะไปไหนเหรอคะ?" จัสมินถาม
"ไปที่เกิดเหตุ ผมว่าผมรู้แล้ว ว่าหัวเด็กๆอยู่ที่ไหน" จ่าฟัสริลตอบ
"จริงเหรอ งั้นขอฉันไปด้วยได้ไหม ฉันอยากเจอซีย์ เผื่อเธอจะบอกให้ฉันรู้ ว่าเธออยู่ที่ไหน" จัสมินขอติดรถตามไปเคแอลด้วย
"ไปสิ" แล้วทั้งสองก็ขึ้นรถ มุ่งหน้าไปเขต 7 ในชาอลัม ทันที
"ผมขอจอดที่หน้าบ้านที่เกิดเหตุหน่อยนะ อยากดูอะไรหน่อย" จ่าฟัสริลขับรถไปจอดที่บ้านร้างหลังที่กริชณะก่อเหตุหั่นศพซีย์และซูซาน
ซีย์ยืนอยู่หน้าบ้าน จัสมินเห็นเธอ เธอยืนจับมือกับดาริกาอยู่ สีหน้าของทั้งสองยิ้มแย้ม พลางกวักมือเรียกให้จัสมินลงมาจากรถ
จัสมินเดินตามจ่าฟัสริลเข้ามาถึงรั้วบ้าน จ่าคลี่กระดาษหนังสือพิมพ์ออก เทียบรูปภาพกับบ้านร้างนั้น มันคือบ้านหลังเดียวกัน
"จัสมิน ที่นี่มันฆ่าทุกคน ซีย์ ลิลี่ และลินดา ลูกสาวผม ที่นี่คือบ้านของมัน พ่อแม่มันโดนไฟคลอกตายหมด เหลือแค่มันกับซูซาน แล้วคุณรู้ไหม มันแต่งงานกับน้องสาวของมันเอง บ้าไหม" จ่าฟัสริลพูดอย่างเลื่อนลอย
"เราเข้าไปดูข้างในกันเถอะ เผื่อจะเจออะไร" จ่าฟัสริลเชิญชวน
เมื่อขึ้นไปชั้นสอง ห้องถูกแบ่งเป็นสัดส่วน สภาพยังคงสามารถจินตนาการได้ ว่าห้องไหนเป็นห้องไหน สิ่งของต่างๆ ไม่ได้ถูกเคลื่อนย้าย นอกจากสายไฟ ที่ถูกขโมยไปขายจากคนเก็บของเก่า เตียงเด็กยังคงอยู่ในห้องนอนเล็ก รอยไหม้เหลือแต่โครงเหล็ก ดำเป็นตอตะโกตรงมุมห้อง ภาพถ่ายในกรอบรูปยังคงเห็นเป็นเศษๆ จ่าฟัสริลเดินไปสำรวจที่ห้องนอนใหญ่
ที่ตู้เสื้อผ้าเขาเปิดดู ภายในว่างเปล่า. จัสมินขอตัวลงมาข้างล่างเพราะรู้สึกหดหู่ใจเหลือเกิน
ออกมานอกบ้าน เด็กทั้งสองคนส่ายหัวเป็นเชิงสัญลักษณ์ แต่ไม่ได้พูดอะไร
สักพัก จัสมินตะโกนเรียกจ่าฟัสริลจากด้านนอก เขาลงมา
"ฉันว่าหัวไม่ได้อยู่ที่นี่" จัสมินบอกจ่า พลางป้องมือบังแดดที่ร้อนจ้า ในช่วงกลางวัน
"งั้นก็มีอีกที่นึง ที่น่าจะเป็นไปได้" จ่าฟัสริลรุดขึ้นรถแล้วสตาร์ทเครื่องออกไปทันที
เขาขับผ่านกองขยะในหมู่บ้าน ชี้ให้ดูถึงสถานที่ที่ฆาตรกรหั่นศพแล้วเอามาโยนทิ้ง จัสมินเห็นซีย์ยืนอยู่เช่นกัน เธอโบกมือหย็อยๆ
"ไม่ใช่ที่นี่เหมือนกันค่ะคุณตำรวจ" จัสมินกล่าว
"แล้วที่ไหนอีกล่ะ ที่ที่ผมเจอมัน" ฟัสริลเริ่มหัวเสีย เพราะอากาศร้อนอีกทั้งยังไม่เจอจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่เขาเฝ้าหาอยู่เป็นเวลานาน
"อะฮ้าาาา!! ชั้นว่าฉันไม่โง่ขนาดนั้นนะไอ้โรคจิต" จ่าฟัสริลตบตักดังฉาด แล้วบึ่งรถออกไปทันที
เขาจอดรถตรงริมถนนใหญ่ที่ที่เขาเคยนำตัวกริชณะไปโรงพัก
"นี่คือที่สุดท้าย ที่ผมจับมัน ถ้าไม่ใช่ที่บ้าน" จ่าฟัสริลพูดแบบมีความหวังในดวงตา
เขาลงจากรถ จัสมินตามลงมาติดๆ ข้างทาง เป็นพงหญ้า มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาทึบ เหมาะแก่การซ่อนของยิ่งนัก
"แกชอบการผจญภัยใช่ไหม กริชณะ มาดูกัน ว่าฉันจะเจอสมบัติที่แกซ่อนไว้ไหม" จ่าฟัสริลไม่รอช้า เดินเข้าไปในพงหญ้าทันที เขาแหวกพงหญ้าที่หนาทึบนั้น จัสมินก็เดินตามไปติดๆ หวังจะได้เจออะไรสักอย่าง เขาเดินลึกเข้าไประยะหนึ่ง ก็เป็นกำแพงของบ้านหลังหนึ่งในเขต 7 นั่นแล้ว ฟัสริลเดินเลาะแนวกำแพงไปเรื่อย สายตาลดต่ำลงตามหาร่องรอยการขุดดิน หรือเศษกระดูกหรืออะไรก็ได้ที่อาจจะโผล่ออกมา หรืออย่างน้อย ก็หลักฐานสักอันน่า ที่บอกให้รู้ ว่าเขามาถูกที่แล้ว
ตะวันคล้อยต่ำลงทุกที ห้าโมงครึ่งแล้ว ฟ้าเริ่มมืดลง ทั้งสองเดินออกมาจากพงหญ้ามือเปล่า ไม่มีหลักฐานหรือชิ้นส่วนอะไรที่บ่งบอกเลย ว่าความหวังของเขามีทางจะเป็นจริง พวกเขาเดินออกมานั่งที่ริมฟุตบาท ที่ที่กริชณะเคยนั่งดื่มน้ำตอนก่อนที่เขาจะถูกจ่าฟัสริลจับ
ไฟทางริมถนนเปิดแล้ว จัสมินนั่งลงพักเหนื่อย. ทันใดนั้น สายตาเหลือบไปเห็นหัวของซีย์ยื่นออกมาจากกำแพงต้นชาตรงเกาะกลางถนน สายตาซีย์มองมาที่เธอ แสยะยิ้ม ผมเผ้ายุ่งเหยิง จัสมินตกใจมาก สะดุ้งยืนสุดตัวพลางชี้ไปที่เกาะกลางถนน
"จ่าาาา!!! ตรงนั้น!!" ขาดคำเธอ จ่าฟัสริลวิ่งไปที่เกาะกลางถนนทันที เขารื้อกำแพงต้นชาออก หนามและกิ่งบาดมือเขาเลือดออก แต่เขาหาได้ระคายไม่ ยังคงพังทลายกำแพงนั้นออกอย่างคนเสียสติ