สะเดาลำต้น ใบ และดอก มีส่วนประกอบของ Polysaccharides และ Lumoniod ซึ่งจากการศึกาพบว่า Polysaccharides มีส่วนสำคัญในการยับยั่งกิจกรรมที่ก่อให้มะเร็งและยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพตัวยาในการใช้บำบัดผู้ป่วยมะเร็งโดยใช้วิธีเคมีบำบัดอีกด้วย
โครงสร้างทางเคมีของ Polysaccharides
โครงสร้างทางเคมีของ Lumoniod
จากการค้นคว้ายังพบอีกว่า Limonoidในใบสะเดา มีความสามารถในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก และ มะเร็งในเชิงเคมีได้ จากการทดลองกับผู้ป่วยที่เป้นเนื้องอกพบว่า มันสามารถลดขนาดของเนื้องอกได้ถึง 25-40% ดังนั้น มันจึงสามารถลดอัตราการเสี่ยงที่จะป่วยเป็นมะเร็งได้สูงถึง 30-50% นอกจากนั้นยังพบ Quercetin ซึ่งบ่งชี้แน่ชัดว่ามีความสามารถคล้ายยาปฏิชิวน่ะ ป้องกันการติดเชื้ออีกด้วย
Azadirachin เป็นสารมีมีอยู่ในเมล็ดสะเดา ใช้ระงับการกระจายและเจริญเติบโตของเชื้อรา Fungus ได้ ซึ่งเรารู้ว่าฤทธิ์ของมันสามามารถนำมาฆ่าแมลงและวัชพืชได้นั้นเอง Fungal Infection จึงเป็นต้นเหตุทำให้มะเร็งลุกลามได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการกำจัด Fungal Infection จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งในการรักษามะเร็งไปในตัว
ในเมล็ดสะเดายังพบสาร Quinone ซึ่งโครงสร้างจะเป็นส่วนในการสร้าง Hydrogen Peroxide ซึ่งมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้นั่นเอง 0จากงานวิจัยทางด้านชีววิทยา ยังพบสาร nimbin, nimbidin, nimbinin, nimbisterin, bakayanin เป็นสารรถขมที่พบในสะเดา ตามลำต้น ใบ มะเล็ด และดอก เป็นตัว Antioxidant และยังทำตัวมีส่วนสำคัญในการสร้าง Antibody เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมอย่างไวรัสและแบคทีเรียในร่างกายอีกดวย
ด้วยคุณสมบัติพิเศษของสะเดาอีกหลายประการณ์ทำให้มันเป็นสมุนไฟรที่เหมาะกับการรักษาโรคมะเร็งเป็นอย่างยิ่ง เช่น ช่วยคลายความเครียด ช่วงรักษาระบบน้ำเหลือง เป็นยาระบาย เป็นต้น
ในสะเดายังมีแหล่งรควัตถุที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า Chlorophylls ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นทางแสงสำหรับคลื่นความถี่ 650nm ได้เป็นอย่างดี ส่วนความถี่อื่นก็จะตอบสนองแตกต่างกัน เหมาะสำหรับการบำบัดด้วย Photodynamic เป็นอย่างดี ซึ่งในการบำบัดเรียกตัวประตุ้นทางแสงว่า Photo sensitizer
หลักการของว Photodynamic
ด้วยแสงเมื่อวิ่งผ่านเซลล์ผิวหนัง หากไม่มีตัวทำให้เกิดความไวแสง แสงนั้นๆก็จะไม่มีความหมายที่จะทำให้ Cell เกิดการกระตุ้นการทำงานได้ แต่เมื่อแสงเดินทางผ่านเซลล์และมีตัวกระตุ้นทางแสง เซลล์ก็จะทำงานและสร้างสารเคมีต่างๆเกิดขึ้น
หลักการประยุกต์ใช้ Photodynamic ในการรักษาผู้ป่วยเนื้องอกและมะเร็ง
จากการศึกษาเมื่อแสงเดินทางผ่านเซลล์ที่มีตัวกระตุ้นความไวแสง เซลล์จะเกิดการการสังเคราะห์ Reactive Oxygen Species ซึ่งมีส่วนประกอบของออกซิเจนในระดับโมเลกุล Singlet Oxygen ซึ่งมีบทบาทสำคุญในการสร้างเซลล์ใหม่แทนที่เซลล์เก่า ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์เสมอ และมีคุณสมบัติการห้ามเลือด เมื่อเลือดไม่ถูกส่งไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง เซลล์ก็จะตายเอง ROS เป็นแหล่งออกซิเจนที่สำคัญในการสร้าง SuperOxide และ Hydrogen Peroxide ซึ่งจะนำไปสู่กระบวนการสร้างคอลลาเจนเองภายในเซลล์ สำหรับสร้างเซลล์ใหม่ที่มีคุณภาพ ด้วยคุณสมบัติของ Hydrogen Peroxide มันจึงสามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรียในระดับเซลล์ได้นั่นเอง เมื่อเซลล์ที่ร่ายล้อมเซลล์มะเร็งถูกกระตุ้นให้สร้างใหม่ขึ้นมาแทน เซลล์ที่สร้างใหม่ที่แข็งแรงมันก็จะหยุดส่งเลือดไม่ให้ส่งอาหารให้เซลล์มะเร็ง เซลล์มะเร็งก็จะเริ่มตายและฝ่อไปเองนั้นคือหลักการคร่าวๆ
จะเห็นว่าความถี่ของแสงที่ตอบสนองต่อ Photosensitizer นั้นจะเป็นความถี่ในย่านของ Laser ซึ่งความถี่ของเลเซอร์แต่ละความถี่ก็จะมีความสามารถแตกต่างออกกันไป
การประยุกต์ใช้งาน Photodynamic หรือ Photochemotherapy จึงมีทั้งเพื่อความงาม การรักษาโรคมะเร็งและเนื้องอก การรักษาผู้ป่วยมีอาการปวดเรื้อรัง เช่นปวดเขา ปวดหลัง หรือเซลล์เสื่อมเร็วผิดปกติ อย่างผู้ป่วยพาร์กินสันเป็นต้น
แต่มีข้อด้อยคือ การกระตุ้นนั้นไม่สามารถใช้เวลานานๆได้เพราะเซลล์จะเกิดการปรับตัวทำให้การกระตุ้นด้อยลงแปรตามกับเวลาที่ใช้ โดยทั่วไปการกระตุ้นนิยมทำกัน 30-60 นาที วันล่ะ 1-2 ครั้ง เท่านั้น และการรักษาต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
ดังนั้นจึงไม่เป็นที่นิยมนำมารักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง แต่หากสังเกตุว่าการรักษามะเร็งระยะ 3-4 ด้วย Radiation Chemotherapy นั้น จะพบว่าผู้ป่วย 98% ส่วนใหญ่จะเสียชีวิต ผู้ที่รอดชิวิตนั้นเป็นผู้ป่วยที่มีสภาพร่างกายที่ยังแข็งแรงเท่านั้น เนื่องจากการรักษาดังกล่าวมีผลกระทบข้างเคียงค่อนข้างสูง ทำให้ผู้ป่วยเบื่ออาหาร ซึ่งทำให้ความสามารถในการรับประทานอาหารได้น้อยลง ความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกันก็น้อยลงไปด้วย แถมผู้ป่วยก้เจ็บปวดทรมานจากการบำบัด ผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่มีความต้องการโปรตีนสูงหลังจากการผ่าตัด หรือการทำเคมีบำบัด แต่ผู้ป่วยยังเข้าใจผิดว่าการรับประทานโปรตีนนั้นเป็นการป้อนและเสริมอาหารให้มะเร็งแทน
ดังนั้นหลังการผ่าตัดมะเร็ง การรักษาแบบ Photodynamic จึ่งเป็นการรักษาทางเลือกอีกแบบหนึ่งโดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องทนทุกทรมานเหมือนกับการบำบัดด้วยเคมี
การรักษาแบบ PDT ประกอบไปด้วย
1. Blood Circulation เป็นการฆ่าเชื้อมะเร็งในกระแสเลือดหลังจากการผ่าตัด
2. Stem Cell Activation เป็นการกระตุ้นไขสันหลังให้สร้างถูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโรค
3. Would Healing เป็นการฆ่าเชื้อและสมานแผลผ่าตัด ระงับการลุกลาม
ในการรักษาโดยทั้วไปจะใช้ Photosensitizerอย่าง Chloride E6 เข้าสู่เนื้องอกหรือมะเร็งโดยตรงนั้น E6 จะทำตัวเป็นตัวเป็น
Photosensitizer ที่ค่อนข้างใช้กันแพร่หลายในทางการแพทย์แต่ราคาแฟง เพื่อให้เซลล์มะเร็งฝ่อและสลายตัวเอง แต่บางครั้งก้มีการเพิ่ม Oxygen g-hเข้าไปยัง Cell เป้าหมายด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัด ซึ่งราคาก็ยังสูงอยู่ ในทางเลือกของสมุนไพรเราจึง ต้องใช้ สะเดา (neem) ซึ่งมีสรรพคุณเป็นทั้ง Photosensitizer ตัวยาระงับมะเร็งและเนื้องอกและสร้าง Immunity ภายในตัวเดียว แต่ข้อเสียคือสะเดามีรสขม อย่าง Nimbins และ Bakayanin เป็นสารที่มีรถขม ซึ่งก็มีประโยชน์ มีส่วนในการสร้าง Antibody and Antioxidant โดย Y-Shapped Protien จะถูกสร้างโดย Plasma Cell ซึ่งโปรตีนชนิดนี้ใช้ในการสร้างหรือเสริมระบบภูมิคุมกันแก่ร่างกาย นั้นเป็นเหตุผลว่าเมื่อเราเป็นมะเร็งเราต้องกินโปรตีนให้เพียงพอ มีหลายงานวิจัยแน่ะนำให้รับประทานเนื้อดิบแทนกันเลยที่เดียวซึ่งโปรตีนจะยังคงสมบูรณ์ เพราะกรรมวิธีอื่นเป็นการทำลายโครงสร้างของโปรตีน
ประโยชน์และการใชงานเลเซอร์แต่ละชนิดพอสังเขป
Yellow Light Therapy – Toning
Yellow light stimulates the nervous and lymphatic systems, toning and strengthening the muscles under the
epidermis, bringing tightness back to skin, aiding the anti-aging process. stimulates the mitochondrial respiratory chain at complex II (cytochromes) detoxifying anti- depressive effect
advanced of Yellow Light
• The yellow laser stimulates the strongest natural photosensitizer – Hypericin out of St. Johns wort – and is therefore the most efficient laser in photodynamic cancer therapy.
• Combined with Hypericin, yellow lasers are applicable for the treatment of viral and chronical bacterial infections.
• Application in photodynamic tumor therapy (in combination with Hypericin): significant reduction of tumormarkers.
(กระตุ้นระบบการทำงานของประสาทและต่อมน้ำเหลือง ปรับสีผิว ทำให้กร้ามเนื้อผิวแข็งแรงสำหรับต่อการการมีอายุ คลายเคลียด)
Orange Light Therapy – Vitalizing
Orange light returns a vitality to skin that has lost its sheen. Especially recommended for wedding days and portraits, orange light works on dull complexions to bring out a brilliant healthy glow.
(ทำให้ผิวผ่องเปล่งปรั่งมีชิวิตชีวา)
Red Light Therapy – Rejuvenating
Red light is good for all skin types. It rejuvenates the skin by improving blood flow and increasing collagen production. It doesn’t just leave the skin looking younger, but makes it feel younger deep down.
(ใช้ในการฟื้นพูผิวให้กลับมามีชิวิตชีวาดูหนุ่มสาว ลดเลือนริ้วรอย คุณสมบัติของแสงสีแดงยังมีความสามารถลดความหนืดในการไหลเวียนของเลือด(Blood Circulation) จึงนำมาใช้ในทางการแพทย์เพื่อพื้นฟูผู้ป่วยจากการผ่าตัด ป้องกันStrokes และ กระตั้นการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรง และ รักษาอาการเจ็บปวดต่างๆ ดังนั้นจึงทำให้แผลหายเร็วและสนิท กระตุ้นและพื้นฟูกล้ามเนื้อหัวใจ)
• Arthrosis of the knee
• Arthrosis of the hip
• Chronic shoulder syndromes
• Arthrosis of the ankle
Aqua Light Therapy – Activating
Aqua light activates the skin. Excellent for mature skin, aqua helps to restore elasticity and suppleness to the skin.
(ทำให้ผิวหนังนุ่มและมีความยืดหยุ่น)
Green Light Therapy – Calming
Green light is found at the center of the visible spectrum, bringing balance and calm to the skin and reducing redness. The calming effect also has anti-inflammatory properties and can even help reduce hyper-pigmentation.
(ทำให้ผิวสม่ำเสมอและสมดุล ไม่มีจุดด่างดำ และป้องกันการอักเสษ ร่วมถึงช่วยลดเลือดการเกิดเม็ดสีของผิว)
Blue & Violet Light Therapy – Relaxing & Purifying
The blue and violet wavelengths have powerful anti-bacterial properties that cleanse and purify the skin. They kill the acne-causing bacteria P. acne, and have anti-spasmodic properties that relieve tension.
(สามารถฆ่าเชือโรคและแบคทีเรียได้ จึงนำมาใช้รักษาสิว และมะเร็งรวมถึงเนื้องอกเป็นส่วนใหญ่)
ตัวอย่างการรักษามะเร็งเต้านม
การรักษาผู้ปวดหัวเข่าเรื้อรัง
การรักษาผู้ปวดหลังเรื้อรัง
การประยุกต์ใช้สะเดาสมุนไพร เป็นตัว Photosensitizer ในงาน Photodynamic
โครงสร้างทางเคมีของ Polysaccharides
โครงสร้างทางเคมีของ Lumoniod
จากการค้นคว้ายังพบอีกว่า Limonoidในใบสะเดา มีความสามารถในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก และ มะเร็งในเชิงเคมีได้ จากการทดลองกับผู้ป่วยที่เป้นเนื้องอกพบว่า มันสามารถลดขนาดของเนื้องอกได้ถึง 25-40% ดังนั้น มันจึงสามารถลดอัตราการเสี่ยงที่จะป่วยเป็นมะเร็งได้สูงถึง 30-50% นอกจากนั้นยังพบ Quercetin ซึ่งบ่งชี้แน่ชัดว่ามีความสามารถคล้ายยาปฏิชิวน่ะ ป้องกันการติดเชื้ออีกด้วย
Azadirachin เป็นสารมีมีอยู่ในเมล็ดสะเดา ใช้ระงับการกระจายและเจริญเติบโตของเชื้อรา Fungus ได้ ซึ่งเรารู้ว่าฤทธิ์ของมันสามามารถนำมาฆ่าแมลงและวัชพืชได้นั้นเอง Fungal Infection จึงเป็นต้นเหตุทำให้มะเร็งลุกลามได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการกำจัด Fungal Infection จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งในการรักษามะเร็งไปในตัว
ในเมล็ดสะเดายังพบสาร Quinone ซึ่งโครงสร้างจะเป็นส่วนในการสร้าง Hydrogen Peroxide ซึ่งมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้นั่นเอง 0จากงานวิจัยทางด้านชีววิทยา ยังพบสาร nimbin, nimbidin, nimbinin, nimbisterin, bakayanin เป็นสารรถขมที่พบในสะเดา ตามลำต้น ใบ มะเล็ด และดอก เป็นตัว Antioxidant และยังทำตัวมีส่วนสำคัญในการสร้าง Antibody เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมอย่างไวรัสและแบคทีเรียในร่างกายอีกดวย
ด้วยคุณสมบัติพิเศษของสะเดาอีกหลายประการณ์ทำให้มันเป็นสมุนไฟรที่เหมาะกับการรักษาโรคมะเร็งเป็นอย่างยิ่ง เช่น ช่วยคลายความเครียด ช่วงรักษาระบบน้ำเหลือง เป็นยาระบาย เป็นต้น
ในสะเดายังมีแหล่งรควัตถุที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า Chlorophylls ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นทางแสงสำหรับคลื่นความถี่ 650nm ได้เป็นอย่างดี ส่วนความถี่อื่นก็จะตอบสนองแตกต่างกัน เหมาะสำหรับการบำบัดด้วย Photodynamic เป็นอย่างดี ซึ่งในการบำบัดเรียกตัวประตุ้นทางแสงว่า Photo sensitizer
หลักการของว Photodynamic
ด้วยแสงเมื่อวิ่งผ่านเซลล์ผิวหนัง หากไม่มีตัวทำให้เกิดความไวแสง แสงนั้นๆก็จะไม่มีความหมายที่จะทำให้ Cell เกิดการกระตุ้นการทำงานได้ แต่เมื่อแสงเดินทางผ่านเซลล์และมีตัวกระตุ้นทางแสง เซลล์ก็จะทำงานและสร้างสารเคมีต่างๆเกิดขึ้น
หลักการประยุกต์ใช้ Photodynamic ในการรักษาผู้ป่วยเนื้องอกและมะเร็ง
จากการศึกษาเมื่อแสงเดินทางผ่านเซลล์ที่มีตัวกระตุ้นความไวแสง เซลล์จะเกิดการการสังเคราะห์ Reactive Oxygen Species ซึ่งมีส่วนประกอบของออกซิเจนในระดับโมเลกุล Singlet Oxygen ซึ่งมีบทบาทสำคุญในการสร้างเซลล์ใหม่แทนที่เซลล์เก่า ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์เสมอ และมีคุณสมบัติการห้ามเลือด เมื่อเลือดไม่ถูกส่งไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง เซลล์ก็จะตายเอง ROS เป็นแหล่งออกซิเจนที่สำคัญในการสร้าง SuperOxide และ Hydrogen Peroxide ซึ่งจะนำไปสู่กระบวนการสร้างคอลลาเจนเองภายในเซลล์ สำหรับสร้างเซลล์ใหม่ที่มีคุณภาพ ด้วยคุณสมบัติของ Hydrogen Peroxide มันจึงสามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรียในระดับเซลล์ได้นั่นเอง เมื่อเซลล์ที่ร่ายล้อมเซลล์มะเร็งถูกกระตุ้นให้สร้างใหม่ขึ้นมาแทน เซลล์ที่สร้างใหม่ที่แข็งแรงมันก็จะหยุดส่งเลือดไม่ให้ส่งอาหารให้เซลล์มะเร็ง เซลล์มะเร็งก็จะเริ่มตายและฝ่อไปเองนั้นคือหลักการคร่าวๆ
จะเห็นว่าความถี่ของแสงที่ตอบสนองต่อ Photosensitizer นั้นจะเป็นความถี่ในย่านของ Laser ซึ่งความถี่ของเลเซอร์แต่ละความถี่ก็จะมีความสามารถแตกต่างออกกันไป
การประยุกต์ใช้งาน Photodynamic หรือ Photochemotherapy จึงมีทั้งเพื่อความงาม การรักษาโรคมะเร็งและเนื้องอก การรักษาผู้ป่วยมีอาการปวดเรื้อรัง เช่นปวดเขา ปวดหลัง หรือเซลล์เสื่อมเร็วผิดปกติ อย่างผู้ป่วยพาร์กินสันเป็นต้น
แต่มีข้อด้อยคือ การกระตุ้นนั้นไม่สามารถใช้เวลานานๆได้เพราะเซลล์จะเกิดการปรับตัวทำให้การกระตุ้นด้อยลงแปรตามกับเวลาที่ใช้ โดยทั่วไปการกระตุ้นนิยมทำกัน 30-60 นาที วันล่ะ 1-2 ครั้ง เท่านั้น และการรักษาต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
ดังนั้นจึงไม่เป็นที่นิยมนำมารักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง แต่หากสังเกตุว่าการรักษามะเร็งระยะ 3-4 ด้วย Radiation Chemotherapy นั้น จะพบว่าผู้ป่วย 98% ส่วนใหญ่จะเสียชีวิต ผู้ที่รอดชิวิตนั้นเป็นผู้ป่วยที่มีสภาพร่างกายที่ยังแข็งแรงเท่านั้น เนื่องจากการรักษาดังกล่าวมีผลกระทบข้างเคียงค่อนข้างสูง ทำให้ผู้ป่วยเบื่ออาหาร ซึ่งทำให้ความสามารถในการรับประทานอาหารได้น้อยลง ความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกันก็น้อยลงไปด้วย แถมผู้ป่วยก้เจ็บปวดทรมานจากการบำบัด ผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่มีความต้องการโปรตีนสูงหลังจากการผ่าตัด หรือการทำเคมีบำบัด แต่ผู้ป่วยยังเข้าใจผิดว่าการรับประทานโปรตีนนั้นเป็นการป้อนและเสริมอาหารให้มะเร็งแทน
ดังนั้นหลังการผ่าตัดมะเร็ง การรักษาแบบ Photodynamic จึ่งเป็นการรักษาทางเลือกอีกแบบหนึ่งโดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องทนทุกทรมานเหมือนกับการบำบัดด้วยเคมี
การรักษาแบบ PDT ประกอบไปด้วย
1. Blood Circulation เป็นการฆ่าเชื้อมะเร็งในกระแสเลือดหลังจากการผ่าตัด
2. Stem Cell Activation เป็นการกระตุ้นไขสันหลังให้สร้างถูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโรค
3. Would Healing เป็นการฆ่าเชื้อและสมานแผลผ่าตัด ระงับการลุกลาม
ในการรักษาโดยทั้วไปจะใช้ Photosensitizerอย่าง Chloride E6 เข้าสู่เนื้องอกหรือมะเร็งโดยตรงนั้น E6 จะทำตัวเป็นตัวเป็น
Photosensitizer ที่ค่อนข้างใช้กันแพร่หลายในทางการแพทย์แต่ราคาแฟง เพื่อให้เซลล์มะเร็งฝ่อและสลายตัวเอง แต่บางครั้งก้มีการเพิ่ม Oxygen g-hเข้าไปยัง Cell เป้าหมายด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัด ซึ่งราคาก็ยังสูงอยู่ ในทางเลือกของสมุนไพรเราจึง ต้องใช้ สะเดา (neem) ซึ่งมีสรรพคุณเป็นทั้ง Photosensitizer ตัวยาระงับมะเร็งและเนื้องอกและสร้าง Immunity ภายในตัวเดียว แต่ข้อเสียคือสะเดามีรสขม อย่าง Nimbins และ Bakayanin เป็นสารที่มีรถขม ซึ่งก็มีประโยชน์ มีส่วนในการสร้าง Antibody and Antioxidant โดย Y-Shapped Protien จะถูกสร้างโดย Plasma Cell ซึ่งโปรตีนชนิดนี้ใช้ในการสร้างหรือเสริมระบบภูมิคุมกันแก่ร่างกาย นั้นเป็นเหตุผลว่าเมื่อเราเป็นมะเร็งเราต้องกินโปรตีนให้เพียงพอ มีหลายงานวิจัยแน่ะนำให้รับประทานเนื้อดิบแทนกันเลยที่เดียวซึ่งโปรตีนจะยังคงสมบูรณ์ เพราะกรรมวิธีอื่นเป็นการทำลายโครงสร้างของโปรตีน
ประโยชน์และการใชงานเลเซอร์แต่ละชนิดพอสังเขป
Yellow Light Therapy – Toning
Yellow light stimulates the nervous and lymphatic systems, toning and strengthening the muscles under the
epidermis, bringing tightness back to skin, aiding the anti-aging process. stimulates the mitochondrial respiratory chain at complex II (cytochromes) detoxifying anti- depressive effect
advanced of Yellow Light
• The yellow laser stimulates the strongest natural photosensitizer – Hypericin out of St. Johns wort – and is therefore the most efficient laser in photodynamic cancer therapy.
• Combined with Hypericin, yellow lasers are applicable for the treatment of viral and chronical bacterial infections.
• Application in photodynamic tumor therapy (in combination with Hypericin): significant reduction of tumormarkers.
(กระตุ้นระบบการทำงานของประสาทและต่อมน้ำเหลือง ปรับสีผิว ทำให้กร้ามเนื้อผิวแข็งแรงสำหรับต่อการการมีอายุ คลายเคลียด)
Orange Light Therapy – Vitalizing
Orange light returns a vitality to skin that has lost its sheen. Especially recommended for wedding days and portraits, orange light works on dull complexions to bring out a brilliant healthy glow.
(ทำให้ผิวผ่องเปล่งปรั่งมีชิวิตชีวา)
Red Light Therapy – Rejuvenating
Red light is good for all skin types. It rejuvenates the skin by improving blood flow and increasing collagen production. It doesn’t just leave the skin looking younger, but makes it feel younger deep down.
(ใช้ในการฟื้นพูผิวให้กลับมามีชิวิตชีวาดูหนุ่มสาว ลดเลือนริ้วรอย คุณสมบัติของแสงสีแดงยังมีความสามารถลดความหนืดในการไหลเวียนของเลือด(Blood Circulation) จึงนำมาใช้ในทางการแพทย์เพื่อพื้นฟูผู้ป่วยจากการผ่าตัด ป้องกันStrokes และ กระตั้นการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรง และ รักษาอาการเจ็บปวดต่างๆ ดังนั้นจึงทำให้แผลหายเร็วและสนิท กระตุ้นและพื้นฟูกล้ามเนื้อหัวใจ)
• Arthrosis of the knee
• Arthrosis of the hip
• Chronic shoulder syndromes
• Arthrosis of the ankle
Aqua Light Therapy – Activating
Aqua light activates the skin. Excellent for mature skin, aqua helps to restore elasticity and suppleness to the skin.
(ทำให้ผิวหนังนุ่มและมีความยืดหยุ่น)
Green Light Therapy – Calming
Green light is found at the center of the visible spectrum, bringing balance and calm to the skin and reducing redness. The calming effect also has anti-inflammatory properties and can even help reduce hyper-pigmentation.
(ทำให้ผิวสม่ำเสมอและสมดุล ไม่มีจุดด่างดำ และป้องกันการอักเสษ ร่วมถึงช่วยลดเลือดการเกิดเม็ดสีของผิว)
Blue & Violet Light Therapy – Relaxing & Purifying
The blue and violet wavelengths have powerful anti-bacterial properties that cleanse and purify the skin. They kill the acne-causing bacteria P. acne, and have anti-spasmodic properties that relieve tension.
(สามารถฆ่าเชือโรคและแบคทีเรียได้ จึงนำมาใช้รักษาสิว และมะเร็งรวมถึงเนื้องอกเป็นส่วนใหญ่)
ตัวอย่างการรักษามะเร็งเต้านม
การรักษาผู้ปวดหัวเข่าเรื้อรัง
การรักษาผู้ปวดหลังเรื้อรัง