ก่อนอื่นเลยขอแนะนำตัวคร่าวๆนะค่ะพวกเราเป็นนักศึกษาปี 4 ที่กำลังจะเรียนจบปีนี้แล้ว (พูดถึงเรียนจบแล้วเศร้าใจ ไม่อยากคิดถึงชีวิตมนุษย์เงินเดือน) เลยคิดกันว่าช่วงเวลาว่างที่ยังพอมีต้องจัดสักทริป และเวลาว่างที่เรามีก็ช่วงเดือนมกราคมพอดี ภาคเหนือกำลังหนาว ทริปนี้จึงมาลงเอยที่ภาคเหนือนี่แหละจ้าวววว^^ และเนื่องจากนี่เป็นกระทู้รีวิวครั้งแรกของพวกเรา ทุกคนต่างตื่นเต้นกับการบอกเล่าความรู้สึกที่ไปพบเจอมาในทริปนี้จึงอาจจะบรรยายเยอะหน่อยนะค่ะ แต่หากใครอยากทราบวิธีไปม่อนจองแบบเร่งด่วนเราก็มีสรุปวิธีการเดินทางและค่าใช้จ่ายไว้ให้ค่ะ ส่วนลายละเอียดและความสนุกถ้าอยากรู้ว่าม่อนจองมันมีอะไรทำไมถึงต้องไปกันอ่านด้านล่างได้เลยจ้า
(รูปที่เอามาลงอาจไม่สวยเท่าไหร่นะค่ะ ถ่ายกับกล้องบ้างโทรศัพท์บ้างเพราะตอนไปไม่ได้คิดว่าจะมานั่งรีวิวกันแบบนี้)
การเดินทางไปม่อนจอง
- รถไฟสุไหงโกลก-กรุงเทพฯ ด่วนพิเศษ 339 บาท
- รถไฟกรุงเทพ-เชียงใหม่ ด่วน 271 บาท
- รถแดงหน้าสถานีรถไฟเชียงใหม่ไปที่พัก 30 บาท
- Chiang Mai City Court Hotel ห้อง 2 คน ห้องล่ะ 450 บาท
- รถตู้ไปศูนย์ทำการมูเซอที่ม่อนจอง คนละ 200 บาท
- ค่าเช่าเต็นท์แบบหลังล่ะสองคน หลังล่ะ 100 บาท
- ค่าถุงนอน ถุงละ 100 บาท
- ค่าลูกหาบ 600 บาท/คน (คิดเป็นวัน 600 คือ 1 คืน)
- ค่ารถ4W ไม่เกิน 5 คน 2500 บาท 5 คนขึ้นไป 3000 บาท (ไป-กลับ)
- ค่าเหมารถตู้กลับจากม่อนจองมาเชียงใหม่ 2500 บาท
- ค่ารถแดงไปที่พัก 20 บาท
- บุญมีเกสเฮ้าส์ ห้องละ 600 บาท (ขอลุงแกอยู่ด้วยกัน 4 คน)
- ค่ารถแดงไปสถานีรถไฟ 20 บาท
- รถไฟกรุงเทพ-เชียงใหม่ ด่วน 271 บาท
- รถไฟสุไหงโกลก-กรุงเทพฯ เร็ว แบบนั่งนอน พัดลม 580 บาท
รวมค่าเดินทางทั้งหมด 3,094 บาท/คน
**ที่ม่อนจองไม่มีของกินนะค่ะ ไม่มีที่พัก ต้องเอาของกินไปเองของกินเอาไปเผื่อลูกหาบด้วยนะค่ะ หม้อต้มน้ำด้วยค่ะ แบกกันไปเหมือนไปเข้าค่ายเลยทีเดียว
**การจะขึ้นไปม่อนจองได้ต้องไปถึงที่ทำการศูนย์มูเซอก่อนเที่ยงค่ะ ไม่งั้นจะต้องนอนหน้าศูนย์มูเซอก่อน 1 คืน เพราะการเดินทางไปจุดกลางเต็นท์ไกลนิดหน่อย
**ดอยม่อนจองเปิดให้ท่องเที่ยวในช่วงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึง 15 กุมภาพันธ์ หลังจากนั้นจะปิดไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้น
**ก่อนขึ้นไปม่อนจองต้องโทรไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ก่อนนะค่ะ เบอร์โทร 080-1333907, 086-1822477
พาม่อนจองมาเล่าสู่กันฟัง ^^
เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะไปแอ่วเหนือกันก็เริ่มลงมือหาข้อมูลทันที ไล่มันตั้งแต่เชียงรายลงมาที่ไหนน่าไปและคนไม่เยอะบ้าง หาจนตาลายจนเพื่อนคนนึงบอกว่าอยากไปเที่ยวแบบลุยๆ กางเต้นท์นอน นางเลยเสนอภูสอยดาวมาค่า ก็จัดเลยค่ะคลิกกูเกิลดูรูป อ่านรีวิว จนหน่ำใจจนรู้สึกอินโคตรๆ อยากไปใจจะขาดแต่แล้วฝันก็สลายเพราะช่วงที่พวกเราจะไปกันภูสอยดาวกำลังจะปิด หัวใจนี่เหี่ยวกันเลยทีเดียว แต่ชีวิตต้องไม่สิ้นหวังใช่มั้ยค่ะทุกคนนน เมืองไทยเขาเยอะจะตายไป ไปที่อื่นก็ได้เนอะ หาไปหามาไปเจอเขาช้างเผือกจ้า คลิกกูเกิลดูภาพตามเคยถึงนางจะไม่ได้อยู่ภาคเหนือแต่ โอ้โห!! สวยอะ อยากไปๆ จินตนาการถึงการเดินทางถ้าได้ไปกับเพื่อนคงสนุกแน่งานนี้ เดินกันมันส์ แต่แล้วฝันก็สลายเป็นครั้งที่สองค่ะท่านผู้ชมมม ช่วงที่จะไปเขาช้างเผือกปิดจ้า ตอนนั้นในใจนี่บ่นรัวๆทำไมต้องมาปิดช่วงนี้ หืมมมม.
หลังจากผิดหวังมาสองครั้งครั้งนี้เลยเบนเข็มมาเจาะที่เชียงใหม่เลยเพราะส่วนตัวอยากไปเชียงใหม่ และที่เที่ยวก็เยอะมันคงไม่ปิดมันทั้งจังหวัดแน่นอน มั่นใจ! ที่ที่เลือกจะไป คือ ดอยอ่างขางค่ะเพราะอยากเห็นดอกพญาเสือโคร่งเลยไม่มีเหตุผลอะไรมากมาย และที่ดอยก็กางเต็นท์นอนได้ อากาศหนาว ตรงตามความต้องการของพวกเราเป๊ะ
คราวนี้ก็ลงมือหาข้อมูลต่อค่า ถามเพื่อนที่เคยไปมาหมด แบบละเอีบดยิบๆจนเสร็จเรียบร้อย อยู่ๆนางคนเดิมผู้อยากเที่ยวแบบลุยๆก็เสนอ “ม่อนจอง” ขึ้นมาค่ะ ตอนนั้นเราสามคน (ทริปนี้ไปกัน 4 คนค่ะ แต่ช่วยกันคิดสามคน อีกคนเอาไปเป็นตัวหารตังค์ 555 นางบอกไปไหนก็ได้) สุมหัวอยู่ในห้องค่ะเพื่อจัดทริปเพราะใกล้วันเดินทางแล้ว และก็จัดเสร็จแล้วด้วยค่ะ แต่พอแม่หญิงสายลุยเสนอม่อนจองมาเราก็ต้องมานั่งหาข้อมูลกันใหม่อีกกกก ตานี่จะปิดกันหมดแล้ว จำไม่ได้ว่าตอนนั้นตีเท่าไหร่ รู้แต่ว่าง่วงมากกก แต่ในที่สุดเราก็เจอกระทู้ในพันทิปนี่แหละค่ะช่วยชีวิตที่บอกว่าจะขึ้นไปดอยม่อนจองยังไงถึงได้แยกย้ายกันกลับห้องไปนอนได้
ร่ายมาเยอะประหนึ่งว่ากำลังเขียนบทนำ อิอิ คราวนี้เป็นการเดินทางของจริงแล้วค่ะ วิถีชาวแบ่วของพวกเรากำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว ตื่นเต้นๆๆ
8 มกราคม 2559 >> วันออกเดินทาง
ทริปนี้พาหะนะของพวกเราคือ รถไฟค่ะ และเราก็จัดรถไฟแบบนั่งชั้นสามไปจนถึงเชียงใหม่เลย สี่คนนั่งกันมุ้งมิ้งมาก งานนี้ตูดใครแหลมก็ตายไปก่อนนะจ้ะ หลังจากที่ดูเวลารถไฟแล้ว รอบของพวกเรา คือ 18.10 น. ดังนั้นพอห้าโมงพวกเราก็เริ่มออกจากหอพักไปสถานีรถไฟ ระหว่างรอก็ถ่ายรูปเล่นตามประสาคนกำลังตื่นเต้นจิได้ไปเที่ยวเชียงใหม่ครั้งแรกเว้ยยยยย จนเสียงประชาสัมพันธ์สาวสุดน่ารักประกาศว่ารถไฟขบวนที่ 38 สุไหงโกลก-กรุงเทพ จะมาช้ากว่าเวลาจริง โอโห้!!!! เลยจ้า ปกติรถไฟสายใต้ออกตรงเวลากว่าจะถึงจุดหมายก็เลทอยู่แล้วนี่เล่นมาช้าเป็นชั่วโมงแล้วพวกตูจะถึงกรุงเทพกี่โมงเนี่ยย รถไฟจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ออก 13.45 น.นะเหวยยย บ่นไปก็เท่านั้นในเมื่อทริปนี้มีงบจำกัดจึงได้แต่รอๆๆ และรอ พอรถไฟมาปุ๊บก็รีบขึ้นด้วยความดีใจแต่พอหันไปเห็นโอปป้าที่นั่งข้างๆเท่านั้นแหละค่ะ อัตราความเร็วของหัวใจลดลงอย่างฮวบหาบ โอปป้าสายใต้บางทีก็เข้มไปนะค่ะ พวกหนูแอบหวั่นเกรง ถึงกับคิดหนักว่าคืนนี้จะนอนหลับกันมั้ยแกรรร แต่แล้วความง่วงก็ชนะความกลัวพวกเราค่อยๆหลับกันทีละคนๆ ไม่รู้เพื่อนหลับสนิทมั้ยแต่เราเนี่ยอย่าเรียกว่าหลับเลยจ้า พอเคลิ้มๆกำลังจะหลับก็หันไปสบตากับโอปป้าสายใต้ หื้อฮืออ..ตาสว่างอย่างกับกินกาแฟมาสิบแก้ว
หลังจากนั่งรถไฟจากหาดใหญ่มาประมาณ 13 ชั่วโมงก็ถึงหัวลำโพงสักทีค่ะทุกท่าน ตอนนั้นนี่รู้สึกเหมือนตูดพังไปแล้วซีกนึง แต่ละนางเปลี่ยนท่านอน ท่านั้งไม่ต่ำกว่าสิบท่า ก็ได้เวลาให้ตูดได้หายใจบ้างแล้ว
9 มกราคม 2559>> ถึงหัวลำโพง ตูดพวกเรายังโอเค ^^
ลงรถไฟปุ๊บพวกเราก็มุ่งตรงไปช่องขายตั๋วทันทีตั้งใจว่าจะซื้อตั๋วรถไฟแบบตู้นอนเพราะให้นั่งอีกคงไม่ไหวแต่แล้วก็ฝันสลายอีกแล้วว่ะเห้ยยย (ทริปนี้มีตัวซวยป่าวว่ะ ทำพี่เจ็บเหลือเกินนน) ตั๋วรถไฟไปเชียงใหม่เต็มหมดเหลือแบบให้ยืนไปอย่างเดียว ส่ายหัวแรงมากค่ะ ใครจะยืนไปอีก 13 ชั่วโมงแล้วแต่เลยเอาที่สบายใจ แต่กรุขอบายจ้า ตูดยังไม่หายชาเลยถ้ายืนไปอีกช่วงล่างพังยันนิ้วเท้าแน่นอน ในที่สุดทุกคนก็ตกลงกันว่าจะไปรอบสี่ทุ่มคืนนี้ซึ่งเป็นรถไฟแบบนั่งชั้นสามตามเดิมค่ะ ยิ้มสวยๆสามที
ตอนนี้ประมาณบ่ายสองกว่าๆหลังจากที่อาบน้ำที่หัวลำโพงกันเสร็จแล้วพวกเราก็เอาสัมภาระที่ลำบากลำบนขนมาไปฝากแล้วก็ออกไปหาข้าวกิน จากนั้นก็ไปเดินเล่นกันแถวเยาวราชซึ่งมันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ที่กิมหยงหาดใหญ่มากกกก เดินเล่นไปเรื่อยๆเจอทุเรียนหมอนทองน้ำลายนี่ท่วมปากเลยแต่พอหันไปเห็นราคายุมละ 100 เท่านั้นแหละจ้ะกลืนน้ำลายกลับแทบไม่ทัน
(น้ำทับทิมขายกันเยอะมากที่เยาวราช ขวดละ 40 บาท รสชาติก็อร่อยดี ดื่มแก้ร้อนได้)
(ขนมอะไรไม่รู้รู้แต่ว่าอยากกินมากกก)
22.00 น. ได้เวลาออกเดินทางไปเชียงใหม่ค่ะ คราวนี้ได้เจอกับโอปป้าสายเหนือใจนี่สั่นรัวๆเลยจ้า นางเป็นโอปป้าเกาหลีค่ะพี่น้อง พวกเรามองหน้ากันยิ้มกริ้มแบบกรุรู้เมิงคิดอะไรอยู่ 5555 ถึงโอปป้าจะนั่งเยื้องๆกับพวกเราก็ไม่เป็นไรแค่นี้ก็ดีใจแระ ถามว่าคราวนี้นอนหลับมั้ย ตอบเลยว่าไม่ค่ะ ไม่ใช่เพราะกลัวแต่อย่างใดแต่เพราะเขินล้วนๆ 555 ชะนีไทยมาแรงง..
ส่วนที่นั้งข้างๆเป็นโอปป้าฝรั่งค่ะอันนี้มาเป็นคู่ นางเป็นแฟนกัน นั่งกอดกันน่ารักมาก ทริปนี้เจอฝรั่งเยอะมากและรู้สึกว่าผู้ชายฝรั่งดูแลแฟนดีสุดๆ เห็นแล้วอิจโคตรๆ รู้สึกมีไฟลุกอยู่ในตา พิมพ์ไปถ่างตาจ่อพัดลมไป ร้อนในตาแรงง
ผ่านไปเกินครึ่งทางใกล้ถึงเชียงใหม่แระ อยู่ๆก็มีการเปลี่ยนโบกี้รถไฟ ผู้โดยสารจากโบกี้หน้าต้องมานั่งโบกี้ที่พวกเรานั่งอยู่ และนั้นแหละค่ะจุดพีคของการนั่งรถไฟรอบนี้เลย
เพราะมีโอปป้าเกาหลีนางนึงมานั่งกับพวกเราจ้า ที่นั่งพวกเราเป็นแบบนั่งสามคนแต่เพราะไปกันสี่คนเลยนั่งฝั่งล่ะสองทำให้ตรงริมทางเดินมีที่ว่างโอปป้าจึงนั่งลง และแล้วการสบตากันแบบไม่ได้นัดหมายก็เกิดขึ้นอีกครั้งถึงแม้ทุกคนจะมี mask ปิดหน้าแต่รู้จากสายตาเลยว่าพวกแกกำลังยิ้มและกรีดร้องอยู่ในใจใช่มั้ยยยย โอปป้าหน้าตาน่ารักมากๆค่ะบอกเลย น่าใสโคตรๆ ถึงแม้พอนางมานั่งปุ๊บนางจะไขว้หาง และยกนิ้วสไลด์โทรศัพท์แบบรัวๆ แบบว่าดูโดยรวมแล้วโอปป้าออกแนวไม่ค่อยแมนนะค่ะแต่พวกเราก็ยังแอบกรี๊ดกันอยู่ในใจ ยิ่งตอนโอปป้าหยิบแว่นดำในกระเป๋าขึ้นมาใส่แอบเหล่จากหางตานี่อย่างหล่อเลย พอโอปป้าหลับเท่านั้นแหละ นางค่อยๆก้มหน้าลงจึงได้ทีหันไปมองแบบเต็มๆตา วินาทีนี้ขอซึมซับเถอะ ซารางเฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ^^
ที่เราใส่ mask กันไม่ได้เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจนะค่ะแต่เพราะรถไฟฝุ่นเยอะมาก ขนาดใส่ mask แทบจะตลอดเวลาพอแคะขี้มูกดูออกมาเป็นก้อนด๊ำดำ ลองเช็ดหน้ากับทิชชูเปียกก็โอ้โห!! นี่หน้าคนหรืออุปกรณ์ดักจับฝุ่นค่ะเนี่ยยยย และที่สำคัญใครนอนอ้าปาก น้ำลายไหล mask ช่วยคุณได้ค่ะ รับรองว่าคืนนั้นบนรถไฟคุณจะหลับสบายหายห่วงแน่นอน
สำหรับคนที่นอนน้ำลายไหลแนะนำให้เอา mask ไปเปลี่ยนตอนเช้าด้วยค่ะไม่งั้นคุณอาจเมาน้ำลายบูดได้แล้วการนั่งรถไฟจะไม่ใช่เรื่องง่ายทันที นี่คือคำเตือนจากบุคคลที่ผ่านเวลาอันยากลำบากตรงจุดๆนั้นมาแล้ว
[CR] ..แว๊นรถไฟไปม่อนจอง.. l หาดใหญ่ - เชียงใหม่ l ^__^
การเดินทางไปม่อนจอง
- รถไฟสุไหงโกลก-กรุงเทพฯ ด่วนพิเศษ 339 บาท
- รถไฟกรุงเทพ-เชียงใหม่ ด่วน 271 บาท
- รถแดงหน้าสถานีรถไฟเชียงใหม่ไปที่พัก 30 บาท
- Chiang Mai City Court Hotel ห้อง 2 คน ห้องล่ะ 450 บาท
- รถตู้ไปศูนย์ทำการมูเซอที่ม่อนจอง คนละ 200 บาท
- ค่าเช่าเต็นท์แบบหลังล่ะสองคน หลังล่ะ 100 บาท
- ค่าถุงนอน ถุงละ 100 บาท
- ค่าลูกหาบ 600 บาท/คน (คิดเป็นวัน 600 คือ 1 คืน)
- ค่ารถ4W ไม่เกิน 5 คน 2500 บาท 5 คนขึ้นไป 3000 บาท (ไป-กลับ)
- ค่าเหมารถตู้กลับจากม่อนจองมาเชียงใหม่ 2500 บาท
- ค่ารถแดงไปที่พัก 20 บาท
- บุญมีเกสเฮ้าส์ ห้องละ 600 บาท (ขอลุงแกอยู่ด้วยกัน 4 คน)
- ค่ารถแดงไปสถานีรถไฟ 20 บาท
- รถไฟกรุงเทพ-เชียงใหม่ ด่วน 271 บาท
- รถไฟสุไหงโกลก-กรุงเทพฯ เร็ว แบบนั่งนอน พัดลม 580 บาท
รวมค่าเดินทางทั้งหมด 3,094 บาท/คน
**ที่ม่อนจองไม่มีของกินนะค่ะ ไม่มีที่พัก ต้องเอาของกินไปเองของกินเอาไปเผื่อลูกหาบด้วยนะค่ะ หม้อต้มน้ำด้วยค่ะ แบกกันไปเหมือนไปเข้าค่ายเลยทีเดียว
**การจะขึ้นไปม่อนจองได้ต้องไปถึงที่ทำการศูนย์มูเซอก่อนเที่ยงค่ะ ไม่งั้นจะต้องนอนหน้าศูนย์มูเซอก่อน 1 คืน เพราะการเดินทางไปจุดกลางเต็นท์ไกลนิดหน่อย
**ดอยม่อนจองเปิดให้ท่องเที่ยวในช่วงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึง 15 กุมภาพันธ์ หลังจากนั้นจะปิดไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้น
**ก่อนขึ้นไปม่อนจองต้องโทรไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ก่อนนะค่ะ เบอร์โทร 080-1333907, 086-1822477
เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะไปแอ่วเหนือกันก็เริ่มลงมือหาข้อมูลทันที ไล่มันตั้งแต่เชียงรายลงมาที่ไหนน่าไปและคนไม่เยอะบ้าง หาจนตาลายจนเพื่อนคนนึงบอกว่าอยากไปเที่ยวแบบลุยๆ กางเต้นท์นอน นางเลยเสนอภูสอยดาวมาค่า ก็จัดเลยค่ะคลิกกูเกิลดูรูป อ่านรีวิว จนหน่ำใจจนรู้สึกอินโคตรๆ อยากไปใจจะขาดแต่แล้วฝันก็สลายเพราะช่วงที่พวกเราจะไปกันภูสอยดาวกำลังจะปิด หัวใจนี่เหี่ยวกันเลยทีเดียว แต่ชีวิตต้องไม่สิ้นหวังใช่มั้ยค่ะทุกคนนน เมืองไทยเขาเยอะจะตายไป ไปที่อื่นก็ได้เนอะ หาไปหามาไปเจอเขาช้างเผือกจ้า คลิกกูเกิลดูภาพตามเคยถึงนางจะไม่ได้อยู่ภาคเหนือแต่ โอ้โห!! สวยอะ อยากไปๆ จินตนาการถึงการเดินทางถ้าได้ไปกับเพื่อนคงสนุกแน่งานนี้ เดินกันมันส์ แต่แล้วฝันก็สลายเป็นครั้งที่สองค่ะท่านผู้ชมมม ช่วงที่จะไปเขาช้างเผือกปิดจ้า ตอนนั้นในใจนี่บ่นรัวๆทำไมต้องมาปิดช่วงนี้ หืมมมม.
หลังจากผิดหวังมาสองครั้งครั้งนี้เลยเบนเข็มมาเจาะที่เชียงใหม่เลยเพราะส่วนตัวอยากไปเชียงใหม่ และที่เที่ยวก็เยอะมันคงไม่ปิดมันทั้งจังหวัดแน่นอน มั่นใจ! ที่ที่เลือกจะไป คือ ดอยอ่างขางค่ะเพราะอยากเห็นดอกพญาเสือโคร่งเลยไม่มีเหตุผลอะไรมากมาย และที่ดอยก็กางเต็นท์นอนได้ อากาศหนาว ตรงตามความต้องการของพวกเราเป๊ะ คราวนี้ก็ลงมือหาข้อมูลต่อค่า ถามเพื่อนที่เคยไปมาหมด แบบละเอีบดยิบๆจนเสร็จเรียบร้อย อยู่ๆนางคนเดิมผู้อยากเที่ยวแบบลุยๆก็เสนอ “ม่อนจอง” ขึ้นมาค่ะ ตอนนั้นเราสามคน (ทริปนี้ไปกัน 4 คนค่ะ แต่ช่วยกันคิดสามคน อีกคนเอาไปเป็นตัวหารตังค์ 555 นางบอกไปไหนก็ได้) สุมหัวอยู่ในห้องค่ะเพื่อจัดทริปเพราะใกล้วันเดินทางแล้ว และก็จัดเสร็จแล้วด้วยค่ะ แต่พอแม่หญิงสายลุยเสนอม่อนจองมาเราก็ต้องมานั่งหาข้อมูลกันใหม่อีกกกก ตานี่จะปิดกันหมดแล้ว จำไม่ได้ว่าตอนนั้นตีเท่าไหร่ รู้แต่ว่าง่วงมากกก แต่ในที่สุดเราก็เจอกระทู้ในพันทิปนี่แหละค่ะช่วยชีวิตที่บอกว่าจะขึ้นไปดอยม่อนจองยังไงถึงได้แยกย้ายกันกลับห้องไปนอนได้
ร่ายมาเยอะประหนึ่งว่ากำลังเขียนบทนำ อิอิ คราวนี้เป็นการเดินทางของจริงแล้วค่ะ วิถีชาวแบ่วของพวกเรากำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว ตื่นเต้นๆๆ
8 มกราคม 2559 >> วันออกเดินทาง
ทริปนี้พาหะนะของพวกเราคือ รถไฟค่ะ และเราก็จัดรถไฟแบบนั่งชั้นสามไปจนถึงเชียงใหม่เลย สี่คนนั่งกันมุ้งมิ้งมาก งานนี้ตูดใครแหลมก็ตายไปก่อนนะจ้ะ หลังจากที่ดูเวลารถไฟแล้ว รอบของพวกเรา คือ 18.10 น. ดังนั้นพอห้าโมงพวกเราก็เริ่มออกจากหอพักไปสถานีรถไฟ ระหว่างรอก็ถ่ายรูปเล่นตามประสาคนกำลังตื่นเต้นจิได้ไปเที่ยวเชียงใหม่ครั้งแรกเว้ยยยยย จนเสียงประชาสัมพันธ์สาวสุดน่ารักประกาศว่ารถไฟขบวนที่ 38 สุไหงโกลก-กรุงเทพ จะมาช้ากว่าเวลาจริง โอโห้!!!! เลยจ้า ปกติรถไฟสายใต้ออกตรงเวลากว่าจะถึงจุดหมายก็เลทอยู่แล้วนี่เล่นมาช้าเป็นชั่วโมงแล้วพวกตูจะถึงกรุงเทพกี่โมงเนี่ยย รถไฟจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ออก 13.45 น.นะเหวยยย บ่นไปก็เท่านั้นในเมื่อทริปนี้มีงบจำกัดจึงได้แต่รอๆๆ และรอ พอรถไฟมาปุ๊บก็รีบขึ้นด้วยความดีใจแต่พอหันไปเห็นโอปป้าที่นั่งข้างๆเท่านั้นแหละค่ะ อัตราความเร็วของหัวใจลดลงอย่างฮวบหาบ โอปป้าสายใต้บางทีก็เข้มไปนะค่ะ พวกหนูแอบหวั่นเกรง ถึงกับคิดหนักว่าคืนนี้จะนอนหลับกันมั้ยแกรรร แต่แล้วความง่วงก็ชนะความกลัวพวกเราค่อยๆหลับกันทีละคนๆ ไม่รู้เพื่อนหลับสนิทมั้ยแต่เราเนี่ยอย่าเรียกว่าหลับเลยจ้า พอเคลิ้มๆกำลังจะหลับก็หันไปสบตากับโอปป้าสายใต้ หื้อฮืออ..ตาสว่างอย่างกับกินกาแฟมาสิบแก้ว
หลังจากนั่งรถไฟจากหาดใหญ่มาประมาณ 13 ชั่วโมงก็ถึงหัวลำโพงสักทีค่ะทุกท่าน ตอนนั้นนี่รู้สึกเหมือนตูดพังไปแล้วซีกนึง แต่ละนางเปลี่ยนท่านอน ท่านั้งไม่ต่ำกว่าสิบท่า ก็ได้เวลาให้ตูดได้หายใจบ้างแล้ว
9 มกราคม 2559>> ถึงหัวลำโพง ตูดพวกเรายังโอเค ^^
ลงรถไฟปุ๊บพวกเราก็มุ่งตรงไปช่องขายตั๋วทันทีตั้งใจว่าจะซื้อตั๋วรถไฟแบบตู้นอนเพราะให้นั่งอีกคงไม่ไหวแต่แล้วก็ฝันสลายอีกแล้วว่ะเห้ยยย (ทริปนี้มีตัวซวยป่าวว่ะ ทำพี่เจ็บเหลือเกินนน) ตั๋วรถไฟไปเชียงใหม่เต็มหมดเหลือแบบให้ยืนไปอย่างเดียว ส่ายหัวแรงมากค่ะ ใครจะยืนไปอีก 13 ชั่วโมงแล้วแต่เลยเอาที่สบายใจ แต่กรุขอบายจ้า ตูดยังไม่หายชาเลยถ้ายืนไปอีกช่วงล่างพังยันนิ้วเท้าแน่นอน ในที่สุดทุกคนก็ตกลงกันว่าจะไปรอบสี่ทุ่มคืนนี้ซึ่งเป็นรถไฟแบบนั่งชั้นสามตามเดิมค่ะ ยิ้มสวยๆสามที
ตอนนี้ประมาณบ่ายสองกว่าๆหลังจากที่อาบน้ำที่หัวลำโพงกันเสร็จแล้วพวกเราก็เอาสัมภาระที่ลำบากลำบนขนมาไปฝากแล้วก็ออกไปหาข้าวกิน จากนั้นก็ไปเดินเล่นกันแถวเยาวราชซึ่งมันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ที่กิมหยงหาดใหญ่มากกกก เดินเล่นไปเรื่อยๆเจอทุเรียนหมอนทองน้ำลายนี่ท่วมปากเลยแต่พอหันไปเห็นราคายุมละ 100 เท่านั้นแหละจ้ะกลืนน้ำลายกลับแทบไม่ทัน
22.00 น. ได้เวลาออกเดินทางไปเชียงใหม่ค่ะ คราวนี้ได้เจอกับโอปป้าสายเหนือใจนี่สั่นรัวๆเลยจ้า นางเป็นโอปป้าเกาหลีค่ะพี่น้อง พวกเรามองหน้ากันยิ้มกริ้มแบบกรุรู้เมิงคิดอะไรอยู่ 5555 ถึงโอปป้าจะนั่งเยื้องๆกับพวกเราก็ไม่เป็นไรแค่นี้ก็ดีใจแระ ถามว่าคราวนี้นอนหลับมั้ย ตอบเลยว่าไม่ค่ะ ไม่ใช่เพราะกลัวแต่อย่างใดแต่เพราะเขินล้วนๆ 555 ชะนีไทยมาแรงง..
ส่วนที่นั้งข้างๆเป็นโอปป้าฝรั่งค่ะอันนี้มาเป็นคู่ นางเป็นแฟนกัน นั่งกอดกันน่ารักมาก ทริปนี้เจอฝรั่งเยอะมากและรู้สึกว่าผู้ชายฝรั่งดูแลแฟนดีสุดๆ เห็นแล้วอิจโคตรๆ รู้สึกมีไฟลุกอยู่ในตา พิมพ์ไปถ่างตาจ่อพัดลมไป ร้อนในตาแรงง
ผ่านไปเกินครึ่งทางใกล้ถึงเชียงใหม่แระ อยู่ๆก็มีการเปลี่ยนโบกี้รถไฟ ผู้โดยสารจากโบกี้หน้าต้องมานั่งโบกี้ที่พวกเรานั่งอยู่ และนั้นแหละค่ะจุดพีคของการนั่งรถไฟรอบนี้เลย เพราะมีโอปป้าเกาหลีนางนึงมานั่งกับพวกเราจ้า ที่นั่งพวกเราเป็นแบบนั่งสามคนแต่เพราะไปกันสี่คนเลยนั่งฝั่งล่ะสองทำให้ตรงริมทางเดินมีที่ว่างโอปป้าจึงนั่งลง และแล้วการสบตากันแบบไม่ได้นัดหมายก็เกิดขึ้นอีกครั้งถึงแม้ทุกคนจะมี mask ปิดหน้าแต่รู้จากสายตาเลยว่าพวกแกกำลังยิ้มและกรีดร้องอยู่ในใจใช่มั้ยยยย โอปป้าหน้าตาน่ารักมากๆค่ะบอกเลย น่าใสโคตรๆ ถึงแม้พอนางมานั่งปุ๊บนางจะไขว้หาง และยกนิ้วสไลด์โทรศัพท์แบบรัวๆ แบบว่าดูโดยรวมแล้วโอปป้าออกแนวไม่ค่อยแมนนะค่ะแต่พวกเราก็ยังแอบกรี๊ดกันอยู่ในใจ ยิ่งตอนโอปป้าหยิบแว่นดำในกระเป๋าขึ้นมาใส่แอบเหล่จากหางตานี่อย่างหล่อเลย พอโอปป้าหลับเท่านั้นแหละ นางค่อยๆก้มหน้าลงจึงได้ทีหันไปมองแบบเต็มๆตา วินาทีนี้ขอซึมซับเถอะ ซารางเฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ^^
ที่เราใส่ mask กันไม่ได้เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจนะค่ะแต่เพราะรถไฟฝุ่นเยอะมาก ขนาดใส่ mask แทบจะตลอดเวลาพอแคะขี้มูกดูออกมาเป็นก้อนด๊ำดำ ลองเช็ดหน้ากับทิชชูเปียกก็โอ้โห!! นี่หน้าคนหรืออุปกรณ์ดักจับฝุ่นค่ะเนี่ยยยย และที่สำคัญใครนอนอ้าปาก น้ำลายไหล mask ช่วยคุณได้ค่ะ รับรองว่าคืนนั้นบนรถไฟคุณจะหลับสบายหายห่วงแน่นอน สำหรับคนที่นอนน้ำลายไหลแนะนำให้เอา mask ไปเปลี่ยนตอนเช้าด้วยค่ะไม่งั้นคุณอาจเมาน้ำลายบูดได้แล้วการนั่งรถไฟจะไม่ใช่เรื่องง่ายทันที นี่คือคำเตือนจากบุคคลที่ผ่านเวลาอันยากลำบากตรงจุดๆนั้นมาแล้ว