ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 5 แสนคน มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ปีละ 8,000 คน และเสียชีวิตจากโรคเอดส์ปีละประมาณ 20,000 คน ขณะที่การรักษาโดยเฉพาะการให้ยาต้านไวรัสเอชไอวียังอิงจากฐานข้อมูลต่างประเทศ โดยเฉพาะฐานข้อมูลจากฝั่งยุโรป ทั้งที่คนไทยและคนต่างชาติมีสรีระต่างกันมาก โดยคนยุโรปเฉลี่ยน้ำหนักตัวประมาณ 70-80 กิโลกรัม ส่วนคนไทยมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 60 กิโลกรัม แต่กลับรับประทานยาต้านไวรัสในปริมาณ 300 มิลลิกรัมเท่ากัน ซึ่งเท่ากับว่าคนได้รับยาในปริมาณที่สูงกว่าถึงร้อยละ 30-40 ดังนั้น คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จึงได้ร่วมกับศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย และได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนการวิจัย(สกว.) ศึกษาขนาดยาที่เหมาะสมสำหรับคนไทยที่ติดเชื้อเอชไอวีที่ดื้อต่อยาต้านไวรัส สูตรแรก ซึ่งพบว่ามีอยู่ประมาณ 30,000 คน
ศ.นพ.เกียรติกล่าวต่อว่า จากการศึกษาโดยให้กลุ่มตัวอย่าง 600 คน รับประทานยาต้านไวรัสเอทาซานาเวีย (Atazanavir) ในปริมาณ 200 มิลลิกรัม และกลุ่มตัวอย่างอีก 600 คน รับประทานยาตัวเดียวกันนี้ในปริมาณ 300 มิลลิกรัม ติดตามผล 1 ปี พบว่ากลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่มนั้นมีผลการรักษาที่ดีเหมือนกันร้อยละ 90 โดยคุมเชื้อเอชไอวีอยู่ในประมาณ 50 ตัวต่อซีซี แต่
ในคนที่รับประทานยาขนาด 200 มิลลิกรัมนั้น พบมีผลข้างเคียงลดลงทั้งในเรื่องตัวเหลือง ตาเหลือง หรือภาวะทนต่อยาไม่ได้จนทำให้ต้องเลิกรับประทานยาไปก่อน ตรงนี้ก็ลดลงจากร้อยละ 10 เหลือเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น ส่วนที่ยังมีปัญหาคุมเชื้อ
ไวรัส ไม่ได้อีกร้อยละ 10 นั้นมีปัญหามาจากการ รับประทานยาไม่ครบโดส รับประทานไม่ตรงเวลา เป็นต้น ทั้งนี้ การวิจัยดังกล่าวได้รับการยอมรับระดับนานาชาติและอยู่ระหว่างการนำไปสู่การจัดทำแนวปฏิบัติในการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้ในอนาคต ทั้งนี้ เมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายพบว่า หากปรับการให้ยาต้านไวรัสสูตร 2 เหลือเพียง 200 มิลลิกรัมซึ่งนอกจากจะให้ผลการรักษาที่ดีแล้วยังพบว่าหากให้กับผู้ติดเชื้อจำนวน 5,000 คน จะสามารถประหยัดงบของประเทศได้ปีละ 1,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานประกันสังคม องค์กรวิชาชีพ และสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทยได้นำเอาผลวิจัยดังกล่าวมาพัฒนาเป็นแนวทางการรักษาของประเทศต่อไป.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
Report by LIV APCO
จุฬาฯ วิจัยพบสูตรยาต้านไวรัสเอชไอวี - ลดโดสยาให้เหมาะสมกับคนป่วย
ศ.นพ.เกียรติกล่าวต่อว่า จากการศึกษาโดยให้กลุ่มตัวอย่าง 600 คน รับประทานยาต้านไวรัสเอทาซานาเวีย (Atazanavir) ในปริมาณ 200 มิลลิกรัม และกลุ่มตัวอย่างอีก 600 คน รับประทานยาตัวเดียวกันนี้ในปริมาณ 300 มิลลิกรัม ติดตามผล 1 ปี พบว่ากลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่มนั้นมีผลการรักษาที่ดีเหมือนกันร้อยละ 90 โดยคุมเชื้อเอชไอวีอยู่ในประมาณ 50 ตัวต่อซีซี แต่
ในคนที่รับประทานยาขนาด 200 มิลลิกรัมนั้น พบมีผลข้างเคียงลดลงทั้งในเรื่องตัวเหลือง ตาเหลือง หรือภาวะทนต่อยาไม่ได้จนทำให้ต้องเลิกรับประทานยาไปก่อน ตรงนี้ก็ลดลงจากร้อยละ 10 เหลือเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น ส่วนที่ยังมีปัญหาคุมเชื้อ
ไวรัส ไม่ได้อีกร้อยละ 10 นั้นมีปัญหามาจากการ รับประทานยาไม่ครบโดส รับประทานไม่ตรงเวลา เป็นต้น ทั้งนี้ การวิจัยดังกล่าวได้รับการยอมรับระดับนานาชาติและอยู่ระหว่างการนำไปสู่การจัดทำแนวปฏิบัติในการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้ในอนาคต ทั้งนี้ เมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายพบว่า หากปรับการให้ยาต้านไวรัสสูตร 2 เหลือเพียง 200 มิลลิกรัมซึ่งนอกจากจะให้ผลการรักษาที่ดีแล้วยังพบว่าหากให้กับผู้ติดเชื้อจำนวน 5,000 คน จะสามารถประหยัดงบของประเทศได้ปีละ 1,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานประกันสังคม องค์กรวิชาชีพ และสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทยได้นำเอาผลวิจัยดังกล่าวมาพัฒนาเป็นแนวทางการรักษาของประเทศต่อไป.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
Report by LIV APCO