เรื่องราวต่อไปนี้ผมมีความประสงค์ที่จะเชิดชูครู เนื่องในวันครูประจำปีนี้
เป็นเรื่องราวสมัยมัธยมซึ่งผ่านมาแล้วกว่า 8 ปี
ผมเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ณ โรงเรียนชื่อดังย่านปากเกร็ด
คุณครูที่รู้จักกันเป็นอย่างดีและมีชื่อเสียงกิตติศัพท์ความเป็นคนเคร่งและเป็นครูแบบฉบับโบราณของท่าน ทำให้เด็กทั้งโรงเรียน หงอกันไปตามๆกัน
ท่านตัวเล็ก แต่จิตใจเข้มแข็ง หนักแน่น ท่านมีห้องพักครูอยู่ที่ชั้นลอยของอาคารเรียน
ผมและเพื่อนๆ มักเรียกว่า ห้องเย็น...
ท่านชื่อ อาจารย์ฉันทวุฒิ เป็นครูที่มีวิธีการอบรมและดูแลวินัยลูกศิษย์ในแบบที่ครูน้อยคนในสมัยนี้จะทำได้ ท่านจะมีไม้เรียวอันนึง เดินถือไปมาติดตัวตลอด
เวลาเข้าแถว ท่านก็จะเดินตรวจแถว เอาไม้ชี้แล้วกระดิกเล็กน้อย เด็กๆในแถวก็จะปัดไปมาตามระดับการแกว้วงไม้ของท่าน หรือถ้าท่านขึ้นไปอยู่บนอาคาร ชี้ไม้ลงมาเมื่อไหร่ แถวที่หยุกหยิกก็เป็นอันนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรกันอีกเลย
ท่านลงโทษเด็ก โดยให้เด็กแต่ละคนที่ทำผิดเหลาไม้เรียวของตัวเอง แล้วเขียนชื่อลงในไม้เรียวนั้น พอถึงเวลาทำโทษ ก็ให้ไปเอาไม้เรียวชื่อตัวเองนั่นแหละมาลงโทษ
ท่านสอนวิชากฏหมาย ซึ่งผมเองได้รับอิทธิพลจากท่านมาไม่น้อยในการเรียนต่อคณะนิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ตอนนั้น สภาพครอบครัวของผมมีความลำบากด้วยหนี้สิน ที่กู้ยืมมาทำธุรกิจ ประกอบกับ
ผมอาศัยอยู่กับ คุณแม่ เพียงสองคน โดยส่วนตัวผมชอบทำงานจิตอาสาอยู่แล้ว
และมักเป็นแกนนำในการทำกิจกรรมร่วมกับโรงเรียนของผม และโรงเรียนอื่นเสมอๆ
ผมมักชอบไปนั่งที่ห้องท่านเวลาส่งงานของเพื่อน ในฐานะหัวหน้าห้อง
ก็มักได้รับความรู้ ความเข้าใจใหม่ๆ วิธีใช้ชีวิตจากท่านเสมอ
วันหนึ่ง แม่ของผมเดินมาหาผมในตอนเช้า ก่อนที่จะไปโรงเรียน น้ำตาแม่ซึมเล็กน้อย
ในมือกำพระเครื่องใส่กรอบองค์หนึ่งส่งมาให้ผม แล้วบอกว่า
"เอาไปหาครูคนนึง แล้วบอกคุณครูว่า แม่ผมจะขอเอามาจำนำไว้
ขอเงินสัก 2000 บาท มาใช้จ่ายในครอบครัว"
ผมในตอนนั้น ไม่เคยยืมเงินใครมาก่อนเลย รู้สึกทั้งลำบากใจ และอึดอัดใจ
แต่ด้วยความเป็นลูก ผมก็รับมาไว้ และเดินทางไปเรียนตามปกติ
ผมมองดูพระเครื่ององค์นั้น อย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปหาใคร
ผมรอจนถึงตอนเย็น ในใจก็คิดว่าจะกลับไปเลยดีไหม
ถึงจะโดนแม่ว่า ก็คงต้องบอกไปตามจริง แต่แล้วผมก็รวบรวมความกล้า
ตอนที่ผมเดินผ่านห้อง คุณครูฉันทวุฒิ ตอนนั้นเป็นเวบาเย็นแล้ว ผมคิดว่าท่านอาจจะกลับไปแล้ว แต่ตอนนั้น ท่านยังอยู่ นั่งอ่านหนังสือในอิริยาบทสบายๆ
ผมเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นลอย ท่านเหลือตามามองผมผ่านแว้นสายตาทรงกลมคู่ประจำ
แล้วถามว่า "มีอะไรเหรอ ถึงมาหาครู"
ผมชะงัก แต่ก็ค่อยๆคลานเข่าเข้าไปหาท่าน จนไปถึงยังเก้าอี้ที่ท่านนั่งอยู่
ผมบอกเล่ารายละเอียดแล้วล้วงมือไปหยิบพระเครื่ององค์เดิม มาไว้ในมือ
ผมส่งให้ท่านดู ตอนนั้นยังไม่ได้บอกท่านว่า ต้องการเงินเท่าไหร่
ท่านรับไปดู พลิกไป พลิกมาอยู่ครู่หนึ่ง ท่านก็ยิ้มน้อยๆ แล้วถามว่า
"ที่เอามาเนี่ย จะเอามาฝากจำนำเหรอ" ผมพยักหน้าตอบ
ท่านเว้นระยะไปครู่หนึ่งก็ บอกว่า "ไหนแบมือซิ"
ผมยื่นมือออกไปแล้วแบไว้ตรงนั้น พร้อมกับมองหน้าท่านอย่างคะเนความรู้สึก
ท่านส่งพระคืนมาไว้ในมือของผม ผมคิดในใจว่า คงหมดหวังแล้ว
ผมกำลังจะยกมือไหว้และลาท่านเพื่อกลับบ้าน ท่านก็บอกผมมาคำหนึ่ง
เป็นคำที่ผมจำไว้จนตลอดชีวิตไม่รู้ลืม ท่านบอกว่า
"จำคำครูไว้นะ ความดีของเธอน่ะ เป็นเครื่องค้ำประกันที่ดีที่สุด พระเครื่องที่เธอเอามาครูไม่รับเอาไว้ แต่ครูจะเอาความดีของเธอเป็นของ จำนำ"
แล้วท่านก็ถามผมว่าต้องการเงินเท่าไหร่ ผมลอกจำนวน ท่านยิ้มให้ที่มุมปาก
แล้วล้วงเงินสดจำนวนตามที่ผมต้องการออกมาให้ ผมกราบลงแทนคำขอบคุณ
และหลังจากนั้น ก็เงินจำนวนนั้นไปคืนท่านได้ในเวลาต่อมา
เรื่องราวนี้ ทำให้ผมมั่นใจว่า คุณงามความดีใดที่เราทำ ในสายตาครูนั้น
เป็นความชื่นใจอย่างที่สุดเสมอ เทียบไม่ได้กับสิ่งของใดๆที่เราเอาไปให้เลย
เนื่องในวันครู ผมขอกราบบูชาพระคุณของครูทุกท่านมา ณ กระทู้นี้
และขอให้เพื่อนๆสมาชิกทุกท่านได้ระลึกถึงพระคุณของครูอีกหลายๆท่านด้วย
สุดท้ายนี้ หากเรื่องราวที่ผมเล่าจะเป็นประโยชน์ และได้รับการแชร์ออกไป หรือทำให้ใครมีความรู้สึกซาบซึ้งใจใดๆ ต่อพระคุณของครูได้ ผมขอยกคุณงามความดีนั้น ให้คุณครูของผมเสียในโอกาสนี้ เพราะ ผมมีทุกวันนี้ได้ เพราะมีครูที่ดี และให้โอกาสผมอยู่เสมอ... ขอบพระคุณครับ
เรื่องเล่าวันครู : เมื่อผมจำเป็นต้องเอาพระเครื่องไปจำนำไว้กับ "คุณครู"
เป็นเรื่องราวสมัยมัธยมซึ่งผ่านมาแล้วกว่า 8 ปี
ผมเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ณ โรงเรียนชื่อดังย่านปากเกร็ด
คุณครูที่รู้จักกันเป็นอย่างดีและมีชื่อเสียงกิตติศัพท์ความเป็นคนเคร่งและเป็นครูแบบฉบับโบราณของท่าน ทำให้เด็กทั้งโรงเรียน หงอกันไปตามๆกัน
ท่านตัวเล็ก แต่จิตใจเข้มแข็ง หนักแน่น ท่านมีห้องพักครูอยู่ที่ชั้นลอยของอาคารเรียน
ผมและเพื่อนๆ มักเรียกว่า ห้องเย็น...
ท่านชื่อ อาจารย์ฉันทวุฒิ เป็นครูที่มีวิธีการอบรมและดูแลวินัยลูกศิษย์ในแบบที่ครูน้อยคนในสมัยนี้จะทำได้ ท่านจะมีไม้เรียวอันนึง เดินถือไปมาติดตัวตลอด
เวลาเข้าแถว ท่านก็จะเดินตรวจแถว เอาไม้ชี้แล้วกระดิกเล็กน้อย เด็กๆในแถวก็จะปัดไปมาตามระดับการแกว้วงไม้ของท่าน หรือถ้าท่านขึ้นไปอยู่บนอาคาร ชี้ไม้ลงมาเมื่อไหร่ แถวที่หยุกหยิกก็เป็นอันนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรกันอีกเลย
ท่านลงโทษเด็ก โดยให้เด็กแต่ละคนที่ทำผิดเหลาไม้เรียวของตัวเอง แล้วเขียนชื่อลงในไม้เรียวนั้น พอถึงเวลาทำโทษ ก็ให้ไปเอาไม้เรียวชื่อตัวเองนั่นแหละมาลงโทษ
ท่านสอนวิชากฏหมาย ซึ่งผมเองได้รับอิทธิพลจากท่านมาไม่น้อยในการเรียนต่อคณะนิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ตอนนั้น สภาพครอบครัวของผมมีความลำบากด้วยหนี้สิน ที่กู้ยืมมาทำธุรกิจ ประกอบกับ
ผมอาศัยอยู่กับ คุณแม่ เพียงสองคน โดยส่วนตัวผมชอบทำงานจิตอาสาอยู่แล้ว
และมักเป็นแกนนำในการทำกิจกรรมร่วมกับโรงเรียนของผม และโรงเรียนอื่นเสมอๆ
ผมมักชอบไปนั่งที่ห้องท่านเวลาส่งงานของเพื่อน ในฐานะหัวหน้าห้อง
ก็มักได้รับความรู้ ความเข้าใจใหม่ๆ วิธีใช้ชีวิตจากท่านเสมอ
วันหนึ่ง แม่ของผมเดินมาหาผมในตอนเช้า ก่อนที่จะไปโรงเรียน น้ำตาแม่ซึมเล็กน้อย
ในมือกำพระเครื่องใส่กรอบองค์หนึ่งส่งมาให้ผม แล้วบอกว่า
"เอาไปหาครูคนนึง แล้วบอกคุณครูว่า แม่ผมจะขอเอามาจำนำไว้
ขอเงินสัก 2000 บาท มาใช้จ่ายในครอบครัว"
ผมในตอนนั้น ไม่เคยยืมเงินใครมาก่อนเลย รู้สึกทั้งลำบากใจ และอึดอัดใจ
แต่ด้วยความเป็นลูก ผมก็รับมาไว้ และเดินทางไปเรียนตามปกติ
ผมมองดูพระเครื่ององค์นั้น อย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปหาใคร
ผมรอจนถึงตอนเย็น ในใจก็คิดว่าจะกลับไปเลยดีไหม
ถึงจะโดนแม่ว่า ก็คงต้องบอกไปตามจริง แต่แล้วผมก็รวบรวมความกล้า
ตอนที่ผมเดินผ่านห้อง คุณครูฉันทวุฒิ ตอนนั้นเป็นเวบาเย็นแล้ว ผมคิดว่าท่านอาจจะกลับไปแล้ว แต่ตอนนั้น ท่านยังอยู่ นั่งอ่านหนังสือในอิริยาบทสบายๆ
ผมเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นลอย ท่านเหลือตามามองผมผ่านแว้นสายตาทรงกลมคู่ประจำ
แล้วถามว่า "มีอะไรเหรอ ถึงมาหาครู"
ผมชะงัก แต่ก็ค่อยๆคลานเข่าเข้าไปหาท่าน จนไปถึงยังเก้าอี้ที่ท่านนั่งอยู่
ผมบอกเล่ารายละเอียดแล้วล้วงมือไปหยิบพระเครื่ององค์เดิม มาไว้ในมือ
ผมส่งให้ท่านดู ตอนนั้นยังไม่ได้บอกท่านว่า ต้องการเงินเท่าไหร่
ท่านรับไปดู พลิกไป พลิกมาอยู่ครู่หนึ่ง ท่านก็ยิ้มน้อยๆ แล้วถามว่า
"ที่เอามาเนี่ย จะเอามาฝากจำนำเหรอ" ผมพยักหน้าตอบ
ท่านเว้นระยะไปครู่หนึ่งก็ บอกว่า "ไหนแบมือซิ"
ผมยื่นมือออกไปแล้วแบไว้ตรงนั้น พร้อมกับมองหน้าท่านอย่างคะเนความรู้สึก
ท่านส่งพระคืนมาไว้ในมือของผม ผมคิดในใจว่า คงหมดหวังแล้ว
ผมกำลังจะยกมือไหว้และลาท่านเพื่อกลับบ้าน ท่านก็บอกผมมาคำหนึ่ง
เป็นคำที่ผมจำไว้จนตลอดชีวิตไม่รู้ลืม ท่านบอกว่า
"จำคำครูไว้นะ ความดีของเธอน่ะ เป็นเครื่องค้ำประกันที่ดีที่สุด พระเครื่องที่เธอเอามาครูไม่รับเอาไว้ แต่ครูจะเอาความดีของเธอเป็นของ จำนำ"
แล้วท่านก็ถามผมว่าต้องการเงินเท่าไหร่ ผมลอกจำนวน ท่านยิ้มให้ที่มุมปาก
แล้วล้วงเงินสดจำนวนตามที่ผมต้องการออกมาให้ ผมกราบลงแทนคำขอบคุณ
และหลังจากนั้น ก็เงินจำนวนนั้นไปคืนท่านได้ในเวลาต่อมา
เรื่องราวนี้ ทำให้ผมมั่นใจว่า คุณงามความดีใดที่เราทำ ในสายตาครูนั้น
เป็นความชื่นใจอย่างที่สุดเสมอ เทียบไม่ได้กับสิ่งของใดๆที่เราเอาไปให้เลย
เนื่องในวันครู ผมขอกราบบูชาพระคุณของครูทุกท่านมา ณ กระทู้นี้
และขอให้เพื่อนๆสมาชิกทุกท่านได้ระลึกถึงพระคุณของครูอีกหลายๆท่านด้วย
สุดท้ายนี้ หากเรื่องราวที่ผมเล่าจะเป็นประโยชน์ และได้รับการแชร์ออกไป หรือทำให้ใครมีความรู้สึกซาบซึ้งใจใดๆ ต่อพระคุณของครูได้ ผมขอยกคุณงามความดีนั้น ให้คุณครูของผมเสียในโอกาสนี้ เพราะ ผมมีทุกวันนี้ได้ เพราะมีครูที่ดี และให้โอกาสผมอยู่เสมอ... ขอบพระคุณครับ